ตอนที่ 747 เรือรบสามเสากระโดง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 747 เรือรบสามเสากระโดง

เยี่ยนซีเหวินรีบสั่งให้ผู้ช่วยไปเตรียมสุราและอาหารรสเลิศมา

วันนี้คือวันพิเศษอันใดกัน ? คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะวิ่งแร่มาจนถึงเขตเหยา อีกทั้งยังพาองค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้ามาด้วย !

ตอนนี้มิว่าผู้ใดในราชวงศ์หยูที่ขอเพียงมิได้ตาบอด ย่อมมองออกว่าเยี่ยงไรเสียองค์ชายห้าพระองค์นี้ต้องได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ถัดไปของราชวงศ์หยูอย่างแน่นอน

สำหรับฟู่เสี่ยวกวนนั้น เยี่ยนซีเหวินเองก็เข้าใจได้อย่างแจ่มชัดแล้วว่า ถึงเยี่ยงไรอีกฝ่ายก็ต้องกลับไปเป็นจักรพรรดิของราชวงศ์อู๋

การมาเยือนของว่าที่โอรสสวรรค์ทั้งสองคนนี้ เยี่ยนซีเหวินรู้สึกราวกับได้รับความโปรดปรานอย่างมิเคยคาดฝันมาก่อน

แต่ทว่าบางทีอาจจะเพราะได้รับอิทธิพลมาจากฟู่เสี่ยวกวน จึงทำให้ท่าทีที่เขาแสดงออกมาเฉยชาได้มากถึงเพียงนี้

หลังจากกล่าวทักทายกันเล็กน้อยเสร็จแล้ว จัวหลิวหวินก็ออกไปล้างหน้าล้างตาส่วนเยี่ยนซีเหวินกำลังต้มชากาใหม่ ฟู่เสี่ยวกวนจึงถือโอกาสนี้เอ่ยถามถึงเรื่องของจัวหลิวหวิน

“คนผู้นี้มีความสามารถยิ่ง ยามที่หยูเวิ่นชูอยู่ในจินหลิงเขายังเอ่ยปากชมว่าการปกครองในเขตหยุนไหลของเขานั้นเป็นขั้นเป็นตอน น่าเสียดายที่เขตหยุนไหลยากจนเกินไป จึงยังมิใช่ในอีกปีสองปีนี้ที่จะได้เห็นผลลัพธ์ จากที่ใคร่ครวญดูก็เหมือนว่าฝ่าบาทจะเข้าพระทัยเขาผิดไป”

เยี่ยนซีเหวินเพิ่งได้เข้าใจ “เดิมทีข้าตั้งใจให้เขามาเป็นผู้ช่วย แต่เขาบอกว่าอยากทำการค้า… ถ้าเช่นนั้นเมื่อกลับไปจินหลิง เจ้าลองทูลฝ่าบาทสักหน่อยได้หรือไม่ ? หรือองค์ชายจะช่วยออกหน้าได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? มิเช่นนั้นก็น่าเสียดายอย่างแท้จริง”

ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองทางหยูเวิ่นเต้าแล้วแบสองมือออกมา “นี่ถือเป็นน้ำใจ เจ้ายอมทำก็ทำ มิทำก็แค่ปัดทิ้งไปเสีย”

“หากเป็นเยี่ยงนั้นจริง ๆ ข้าย่อมต้องการคนผู้นี้ มิต้องไปทูลขอเสด็จพ่อหรอก ข้าจะให้เขาคอยอยู่ข้างกาย”

“ย่อมได้ ! คาดว่าฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ฝ่าบาทจะแต่งตั้งเจ้าเป็นองค์รัชทายาท จากนั้นเจ้าต้องไปฝึกทหาร ส่วนตำหนักบูรพาต้องมีคนคอยดูแล”

จัวหลิวหวินที่อาบน้ำอยู่กำลังตระหนักถึงความไม่เที่ยงของโชคชะตา ในวันนี้คุณชายเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียงได้กลายเป็นเต้าถายของมณฑลหนึ่งอีกทั้งยังได้เป็นติ้งอันป๋อ ผิดกับตนที่ทรมานอยู่ในเขตหยุนไหลมาถึง 2 ปีจนมิเหลืออันใดสักอย่างแล้ว

โชคชะตามิเที่ยงแท้ แน่นอนว่าเขาก็ยังมิทราบว่าด้วยคำเอ่ยเดียวของฟู่เสี่ยวกวนจะทำให้เขาได้เป็นขุนนางข้างกายขององค์รัชทายาท

ในยามนี้เยี่ยนซีเหวินเองก็ประหลาดใจยิ่ง เกรงว่าเงิน 500 ตำลึงนั้นจะมีค่าเกินไปแล้ว ถึงกับทำให้จัวหลิวหวินได้เชื่อมกับดวงชะตาฟ้าเลยทีเดียว !

“ปีใหม่นี้จะกลับเมืองหลวงหรือไม่ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนดื่มชาพลางเอ่ยถาม

“กลับสิ ข้าพร้อมออกเดินทางวันที่ยี่สิบ”

“ตลอดทางที่ข้าและองค์ชายผ่านมา เห็นว่าเจ้าดูแลเขตเหยาได้มิเลวเลยทีเดียว”

“เจ้าอย่าทำร้ายข้าเลย ก็เพราะได้รับคำแนะนำจากเจ้าทั้งนั้น สถานที่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในตอนนี้คือที่แห่งใดกัน ? มันคือว่อเฟิงเต้า ! แม้แต่คนค้าขายของเขตเหยาก็ย้ายไปว่อเฟิงเต้าหลายสิบคนแล้ว ข้ายังกังวลว่าอย่าให้ที่ตรงนั้นของเจ้าดูดเงินทุนของพ่อค้าทั้งราชวงศ์ไปจนหมดสิ้น เยี่ยงนั้นคงทำให้พวกข้าได้ทานแกลบแทนข้าวเป็นแน่ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะยกใหญ่ “การลงทุนของว่อเฟิงเต้ามีขีดจำกัด พวกเรามิต้องการเงินลงทุนที่ต่ำกว่า 1,000,000 ตำลึงหรอก”

เยี่ยนซีเหวินตกตะลึงงัน จากนั้นก็จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอยู่เนิ่นนาน “เงินเฟ้อถึงเพียงนั้นแล้วหรือ ? เงินลงทุนมากที่สุดในเขตของข้าก็เป็นเจ้า เอาแบบนี้ดีหรือไม่ เจ้าช่วยแนะนำพ่อค้าที่เจ้ามิต้องการมาให้ข้าสิ จะรายเล็กหรือใหญ่ก็ได้ทั้งสิ้น”

“ข้าย่อมแนะนำให้เจ้าได้อยู่แล้ว แต่ทว่าพื้นที่เขตเหยานั้นเล็กเกินไปหน่อย”

หยูเวิ่นเต้าที่ได้ยินดังนั้นก็เข้าใจขึ้นมาทันพลัน ความจริงเป็นตนเองที่ได้รับการสอนสั่งจากฟู่เสี่ยวกวนมาตลอดทาง

“เมื่อกลับจินหลิงแล้ว ข้าจะทูลเสด็จพ่อว่าให้มอบหลินเจียงให้แก่เจ้า เยี่ยงนั้นสถานที่ก็จะใหญ่พอแล้วใช่หรือไม่ ? ”

เมื่อเยี่ยนซีเหวินได้ยินดังนั้น ก็คิดไปว่าหรือนี่จะเป็นการเลื่อนขั้นกัน ?

ได้ฝึกฝีมืออยู่ในเขตเหยามา 2 ปี เขาจึงมิกลัวที่จะเป็นจือโจว ความจริงแล้วท่านปู่เยี่ยนเป่ยซีก็มีแผนนี้อยู่ในใจแล้วเช่นกัน แต่ทว่าในยามนี้คำเอ่ยได้ออกมาจากพระโอษฐ์ขององค์ชายห้าเอง เขาย่อมน้อมรับความเมตตานี้ไว้อย่างแน่นอน

ตอนนี้ไร้ปัญหาเรื่องลำดับขั้นแล้ว เยี่ยนซีเหวินจึงโค้งคำนับให้หยูเวิ่นเต้าและหัวเราะน้อย ๆ “เรื่องนี้ต้องขอพึ่งพาองค์ชายแล้ว ! ”

หลังจากนั้นก็สามารถสนทนาได้เป็นกันเองมากยิ่งขึ้น มีเพียงจัวหลิวหวินที่เพิ่งเสร็จจากการอาบน้ำ และเมื่อได้ฟังแผนการขององค์ชายห้าจนเสร็จสิ้น เขารู้สึกค่อนข้างดีใจแต่ก็ยังมิสบายใจที่ตนได้รับความโปรดปราน

นี่เรียกว่าพ่ายแพ้จากทางนี้ แล้วค่อยไปหาทดแทนจากอีกทางใช่หรือไม่ ?

……

……

ยามอู่ คนของเยี่ยนซีเหวินจัดสำรับอาหารขึ้นโต๊ะอย่างท้วมท้น แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนมิอยากดื่มสุราสักเท่าใดนัก

“ที่มาในครานี้เพราะอยากดูว่าการสร้างเรือเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

“พวกช่างต่อเรือกล่าวว่ามิเคยเห็นสิ่งที่เจ้าวาดในชีวิตจริงมาก่อน มันใหญ่ยิ่งกว่าเรือในตอนนี้ของราชวงศ์อู๋และโครงสร้างซับซ้อนมากยิ่งนัก ต้องคลำหาทั้งหมดส่งผลให้ความคืบหน้าล่าช้า… มาดื่มหนึ่งจอก”

เยี่ยนซีเหวินยกจอกสุราขึ้นมาชนกับฟู่เสี่ยวกวนและดื่มจนหมด “มิใช่ว่าข้ามิพยายามอย่างเต็มที่ อย่างน้อยในทุกเดือนข้าก็วิ่งไปดูถึง 3 ครา ฝ่ายช่างเรือเหล่านั้นก็ขยันขันแข็งเป็นอย่างมาก พวกเขาเอ่ยว่าเพียงสร้างเรือลำแรกได้สำเร็จ ลำอื่นก็มิใช่เรื่องยากแล้ว”

“อือ…” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “ประเดี๋ยวจะไปดู”

หยูเวิ่นเต้าเพิ่งทราบว่าฟู่เสี่ยวกวนได้สร้างอู่ต่อเรือแห่งหนึ่งขึ้นในเขตเหยา…

“มิเหมือนกับโหลวฉวนที่แม่น้ำแยงซีหรอกหรือ ? ”

“ใหญ่กว่าโหลวฉวนเหล่านั้นมากนัก เขากล่าวว่านี่คือเรือรบ” เยี่ยนซีเหวินอธิบาย

“เรือรบเยี่ยงนั้นหรือ ? ของสิ่งนี้มีประโยชน์อันใดกัน ? ” หยูเวิ่นเต้ารู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะหึหึ “เรือรบย่อมมีไว้เพื่อทำสงคราม… เจ้าลองคิดดูเถิดว่าหากสองฟากฝั่งเจี้ยนหนานเกิดเหตุวุ่นวายเยี่ยงที่เซวี๋ยติ้งชานก่อขึ้น แล้วพวกเรามีเรือรบอยู่ในมือ เพียงล่องไปตามแม่น้ำแยงซีก็จะไปถึงหยูโจวได้โดยตรง ต่อให้มิสามารถระเบิดศัตรูได้แต่ก็ยังสามารถเคลื่อนย้ายทหารได้”

“แล้วโหลวฉวนมิดีต่อการเคลื่อนย้ายทหารหรือ ? ”

“โหลวฉวนเคลื่อนตัวช้าและเล็กจนเกินไป หากต้องการเคลื่อนย้ายทัพใหญ่ 300,000 นายต้องใช้โหลวฉวนกี่ลำ ? หากรอจนโหลวฉวนแล่นไปถึงที่นั่นก็เกรงว่าจะมิเหลือแม้แต่กำแพงเมืองให้เห็น”

เหมือนว่าจะค่อนข้างสมเหตุสมผล หยูเวิ่นเต้าจึงเริ่มสนใจอยากจะไปดูว่าเรือรบนั้นมีรูปลักษณ์เป็นเยี่ยงไร

มีเพียงเยี่ยนซีเหวินเท่านั้นที่รู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนใช้เงินและพลังมากถึงเพียงนี้ เพื่อสร้างของสิ่งนี้ที่ยังค่อนข้างคลุมเครือ เกรงว่ามิได้ง่ายดายเฉกเช่นที่กล่าวออกมาหรอก

ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิได้เอ่ยว่าเป้าหมายของการสร้างเรือรบก็เพื่อล่องไปด้านล่างของแม่น้ำแยงซี แล้วหาทางออกสู่มหาสมุทรอันกว้างใหญ่

เมื่อพวกเขาทานอาหารจนอิ่มแล้วก็ตรงดิ่งไปยังท่าเรือทันที

ถนนจากเขตเหยาไปถึงท่าเรือได้เชื่อมต่อกันแล้ว มันเป็นถนนปูนซีเมนต์ที่กว้างขวางอีกทั้งยังมีชั้นหิมะบาง ๆ ปกคลุม รถม้าจึงวิ่งได้ราบรื่นเป็นอย่างมาก

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดรถม้าก็มาถึงท่าเรือ

ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ลงมาจากรถม้า เมื่อมองจากตรงนี้จะสามารถเห็นท่าเรือที่เงียบสงบและอู่ต่อเรือขนาดใหญ่ที่อยู่อีกฟากของท่าเรือได้

“ในปีหน้า ทางนี้จะสร้างโกดังขึ้นมา ส่วนท่าเรือเขตเหยาจะเปิดในปีหน้าเช่นเดียวกัน…” เยี่ยนซีเหวินอธิบายให้ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นเต้าฟัง “การออกแบบของโกดังคือสามารถจัดเก็บสินค้าได้มากถึง 300 ล้านกงจิน ท่าเรือสามารถจอดโหลวฉวนในเวลาเดียวกันได้ถึง 8 ลำ ในปีหน้าสินค้าทั้งหมดที่ผลิตในเขตเหยาก็จะสามารถส่งไปยังสถานที่ต่าง ๆ ของสองฟากฝั่งแม่น้ำแยงซีได้แล้ว”

“ไปเถิด ข้าจะพาพวกเจ้าไปดูอู่ต่อเรือ”

ช่างกว่าหนึ่งร้อยคนในอู่ต่อเรือกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น หัวหน้าผู้รับผิดชอบเรือรบสามเสากระโดงนี้คือถานเหล่าเกินช่างต่อเรืออาวุโสที่เดินทางมาจากราชวงศ์อู๋

ในยามนี้เขายืนอยู่บนโครงรับน้ำหนักขนาดใหญ่ของเรือรบและสำรวจอย่างตั้งใจ

สร้างเรือมาทั้งชีวิตแต่ยังมิเคยสร้างเรือที่ใหญ่และซับซ้อนถึงเพียงนี้มาก่อน !

นี่คือเรือรบที่องค์ชายเป็นผู้ออกแบบด้วยพระองค์เอง มันแตกต่างจากเรือรบอื่น ๆ ที่ถานเหล่าเกินรู้จักมา !

ความยาวทั้งหมดมากถึง 15 จั้งและสูง 3 ชั้น คาดว่าหลังจากสร้างเสร็จแล้วน้ำหนักต้องเกิน 300,000 กงจินอย่างแน่นอน !

มีหลายส่วนที่แตกต่างไปจากเรือรบอื่น ๆ โดยเฉพาะดาดฟ้าด้านหน้าและด้านหลังชั้นที่สองและชั้นที่สาม เนื่องจากมีการติดตั้งปืนใหญ่เรือที่ศูนย์วิจัยซีซานผลิตออกมาเอาไว้ด้วย !

เขาเคยเห็นอานุภาพของปืนใหญ่เรือนี้มาแล้ว ถานเหล่าเกินจึงตั้งตารอการกำเนิดของเรือรบนี้เป็นอย่างมาก คาดว่าภายใต้การโจมตีของปืนใหญ่เรือนี้ ย่อมไร้เรือรบลำใดในใต้หล้าสามารถต่อกรได้

องค์ชายประทานนามให้เรือรบลำนี้ว่า อู่เว้ยห้าว มันย่อมมิเกรงกลัวต่อสิ่งใดทั้งสิ้น !