เสียงร้องของผู้คนที่เดินผ่านตรงนั้นเลือนรางราวกับเสียงสะท้อน แต่ดูเหมือนว่ามอเตอร์ไซค์ที่บิดหันไปอีกทางจะไม่มีเวลาให้ได้ลดความเร็วลงเลย ต้องช่วย! แต่ร่างกายของเขาไม่สามารถขยับเขยื้อนใดๆ ได้ต่างกับความคิด จนกระทั่งคนขับกระโดดลงมาอย่างน่าหวาดเสียวแล้วกลิ้งตัวกับพื้นหนึ่งรอบ ปล่อยมอเตอร์ไซค์ปะทะกับต้นไม้ริมถนน
สตั๊นท์? หรือว่ากล้องแอบถ่าย? ความคิดมากมายตีกันไปมาในหัว จากนั้นคนขับก็ค่อยๆ ลุกขึ้นและจ้องมองอึยชานผ่านหมวกกันน็อคสีดำ สายตานั้นแทงทะลุเข้ามาถึงหัวใจราวกับคมมีด
เจ็บจัง สัมผัสถึงความเจ็บปวดอันมหาศาลตรงคอด้านซ้าย รู้สึกเจ็บกับผู้หญิงชุดสีดำที่ปรากฏอยู่เต็มสายตา ระหว่างอึยชานกำลังแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น อีกฝ่ายก็เดินเข้ามาตรงหน้าเขาและเอ่ยอย่างเย็นชา
“นี่”
เมื่อกี้ว่าไงนะ ชั่วขณะที่ได้ยินเสียงเธอ หัวใจของเขาก็กลับมาเต้นใหม่อีกครั้ง ความเจ็บปวดเหมือนกับถูกแทงคอด้วยสิ่งของมีคมก็หายเช่นกัน เสียงโดยรอบที่ได้ยินไกลๆ สายตาที่เป็นภาพช้าก็กลับมาสู่สภาวะปกติ อึยชานกำลังจะเปิดปากกล่าวขอโทษ แต่หญิงสาวไม่เปิดโอกาสให้เขาและพ่นคำสบถใส่
“เฮ้ย ไอ้ลูกแมว”
มีคำว่าไอ้ แสดงว่าต้องเป็นคำด่าหรือเปล่านะ แต่ใช้คำว่าแมวแทนหมา หรือว่าจะไม่ใช่คำด่า? ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสับสนก่อนจะย้อนถามอย่างมึนงง
“ลูกแมว?”
“มีเก้าชีวิตหรือไง ไอ้นี่นิ”
น่าจะเป็นคำด่าจริงๆ ช่างเป็นเช้าที่วุ่นวาย จาฮอนรีบลงมาจากรถ ก่อนจะดันคนยืนนิ่งและก้มหัวขอโทษแทน
“ขอโทษครับ ขอโทษครับ! พี่ มัวทำอะไรอยู่! เก้าโมงห้าสิบเจ็ดนาทีแล้ว!”
พอจาฮอนตะโกนบอกเวลา เงาดำก็โผล่ออกมาเหมือนกับนกคุกคูบนนาฬิกาบอกเวลา อึยชานที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ในความสับสนมองดูแผ่นหลังของคู่กรณีออกตัววิ่งนำหน้า แล้วก็ตั้งสติได้เพราะเสียงตะโกนโหยหวนของจาฮอน
“พี่! วิ่ง! ห้าสิบแปดแล้ว!”
ร่างกายอึยชานขยับเขยื้อนก่อนความคิด เพราะไม่มีคำว่าสายสำหรับอึยชานผู้เจ็บป่วยขนาดไหนก็กินยาและทำงานต่อได้ เขาวิ่งโดยไม่สนใจสายตารอบข้างจนแทรกตัวเข้าไปในลิฟต์ที่กำลังจะปิดได้ทัน
“ฟู่”
ห้าสิบเก้า อึยชานถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะรับรู้ถึงสายตาเสียดแทงจากด้านหลัง พอย่นหน้าผากและหันหลังกลับไปมองก็เห็นหมวกกันน็อคสีดำเมื่อสักครู่ แต่ต่างจากเมื่อกี้นิดหน่อยตรงที่มันไม่ได้อยู่บนหัวของคนขับ แต่ถูกหนีบอยู่ตรงเอวแทน
“ลูกแมว?”
“สตั๊นท์?”
เขารู้สึกคุ้นหน้าหญิงสาวหลังถอดหมวกกันน็อคเป็นอย่างมาก เคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ แต่ลิฟต์ก็หยุดพอดีโดยไม่ให้โอกาสนึกทบทวนความทรงจำ สิบโมง… เขาออกมาจากลิฟต์และลดความเร็วลงเมื่ออยู่ตรงหน้าห้องประชุม ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปด้วยท่าทีวางเฉย
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ”
มีเสียงไล่หลังมาติดๆ หลังจากเข้ามาทักทายโดยทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนั้นอึยชานถึงนึกออกว่าเคยเห็นเธอจากที่ไหน
ซอยูมิน นักแสดงหญิงที่รับบทนางรองของละครเรื่องใหม่ ‘วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์’ ที่กำลังจะเริ่มอ่านบทตอนนี้ แถมยังเป็นคู่พระนางของเขาอีกด้วย
ซวยจริงๆ และนี่คือวันแรกของยูมิน
ตาเธอบวมฉึ่งเพราะร้องห่มร้องไห้ขณะฝันแปลกๆ และอย่าว่าแต่จะแต่งหน้าเลย พอตื่นสาย แม้แต่เวลาทำให้ตาหายบวมก็ยังไม่มี แม้แต่พี่สาวแท้ๆ ที่มาปลุกยังเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าจากเมื่อคืน เธอคลานสี่ขาเข้ามาปลุกก่อนจะกลับไปนอนแผ่ที่ห้องรับแขกเหมือนเดิม สายที่ไม่ได้รับยี่สิบเก้าสาย และสายที่สามสิบก็โทรมาอีกครั้ง
– กริ๊งงง กริ๊งงง
“ตื่นแล้ว”
[พี่! เกิดอะไรขึ้นครับ!]
“กำลังจะออกไปแล้ว ทำไมไม่มาปลุก?”
[รถติดมากเลย ไม่มีทางไปได้ทันเวลาแน่ๆ ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเลยครับ!]
กึก ยูมินวางสายทันทีที่ชองอูพูดจบก่อนจะขยับตัวอย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลามาสนใจใบหน้าบวมฉึ่งจนลืมตาไม่ค่อยขึ้น หลังจากล้างหน้าแปรงฟันพร้อมๆ กัน ทาโลชั่น เธอก็จบการแต่งหน้าด้วยการทาบีบีครีมลวกๆ
“เดี๋ยวกลับมานะ”
หลังจากเตรียมตัวเสร็จภายในสิบนาที ยูมินก็โค้งลายูฮาที่นอนแผ่เหมือนขยะอยู่บนโซฟาแล้ววิ่งออกจากห้อง ถ้าเป็นตามที่คำนวณ เธอจะถึงห้องประชุมตอนเก้าโมง ห้าสิบนาทีพอดี ถ้าหากไม่มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ลงมาจากรถตอนกำลังเลี้ยวขวาตรงทางแยกล่ะก็
“ไอ้ลูกแมวนี่”
เธอหยุดยั้งการสูญเสียชีวิตได้ด้วยการพุ่งมอเตอร์ไซค์ไปที่ต้นไม้ข้างถนน แต่ดูเหมือนว่ามอเตอร์ไซค์ ของรักของหวงอันดับหนึ่งจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว เพราะผู้ชายแปลกๆ ที่จ้องมองเธอเหมือนคนโง่นั่น แต่ไม่มีเวลาแล้ว
ยูมินออกตัววิ่งด้วยพลังทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังห้องประชุมทันทีที่รู้ตัวว่าเหลือเวลาอีกแค่สองนาทีเท่านั้น ซึ่งจุดพีคที่สุดของช่วงเช้าอันแสนซวยซ้ำซวยซ้อนนี้ก็คือช่วงที่ต้องแนะนำตัวกับไอ้ลูกแมวบ้าข้างๆ ด้วยท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนี่แหละ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมนักแสดงอีอึยชาน รับบทเป็นองค์ชายรอง อีชานครับ”
แปะๆ เธอตบมือให้ส่งๆ ก่อนจะลุกจากที่นั่ง
“ซอยูมิน รับบทเป็นซอมินอา ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ”
หลังจากโค้งตัวและกำลังจะนั่งลง ยูมินก็หันไปสบตากับอึยชาน
เสร็จแล้ว เรามีเรื่องค่าชดเชยมอเตอร์ไซค์ที่ต้องคุยกัน คิดเช่นนั้นพร้อมกับผงกศีรษะ อึยชานคิดว่าเธอทักทายตนเองจึงยื่นมือไปขอจับมือ
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ คุณซอยูมิน”
แต่ยูมินมองปราดด้วยหางตาแทนจะจับมือตอบทันที ไม่รู้ว่าขอจับด้วยความสัมพันธ์ดีๆ หรือเปล่า แต่อย่างไรก็ตามที่นี่คืองานทางการ ไม่ใช่ว่าอยู่ด้วยกันแค่สองคน เธอจึงจับมือกลับอย่างแน่นมากๆ
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
เกิดริ้วรอยตื้นๆ ขึ้นบนหน้าผากราบเรียบของอึยชาน ตั้งใจจะสู้หรือแรงเยอะแบบนี้อยู่แล้วนะ แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหน เขาก็รู้สึกเจ็บมือขวาที่อีกฝ่ายกำลังจับและเขย่าสุดๆ เจ็บมากจนเหมือนเลือดทั้งตัวมาออตรงนั้น
“ทักทายกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ทุกคนได้รับบทละครแล้วใช่ไหมครับ”
ผู้กำกับปรบมือขึ้นเบาๆ ทำให้บรรยากาศอึดอัดผ่อนคลายขึ้น ด้วยเหตุนั้นเขาเลยเป็นอิสระก่อนมือจะถูกบดขยี้ให้แหลก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอจับมือแรงไปหรือเปล่า มือถึงไม่มีแรงจนทำบทละครตกลงพื้น
“อ่า”
อึยชานรู้สึกหัวหมุนเล็กน้อยตอนยืดตัวหลังจากก้มหยิบบท เขายื่นมือออกไปจับอะไรสักอย่างเพื่อผยุงตัวตามสัญชาตญาณ และหลังจากนั้นไม่กี่วินาทีก็รู้ตัวว่าสิ่งที่จับอยู่เรียกว่าขา แน่นอนว่าไม่ใช่ขาโต๊ะ แต่เป็นขาผู้หญิง
“โอ๊ะ”
“ทำอะไรคะคุณอีอึยชาน”
เสียงของยูมินแผ่วเบาแค่ให้อึยชานได้ยินคนเดียว ในทางกลับกันก็มีความเย็นยะเยือกในน้ำเสียงจนเหมือนแผ่นน้ำแข็งร่วงหล่น เช่นเดียวกับดวงตาที่จ้องมองตรงๆ เพื่อให้เขาขอโทษ
นั่นก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา ดวงตาเปล่งประกายอย่างเยือกเย็นใต้หนังตาบวมตุ่ยนั่น ถ้าให้พูดดีๆ คือมันดูแปลก แต่ถ้าให้พูดตามตรงล่ะก็ มันดู…ตลก
“หึ!”
เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้ยูมินขมวดคิ้วเล็กน้อย จนหนังตาบวมตุ่ยย่นตาม หลังเห็นภาพนั้น อึยชานก็แทบบ้าทันที ถึงจะรู้ว่าไม่ควรหัวเราะ แต่ไม่สามารถบังคับตัวเองได้อีกต่อไป
“ขอตัวสักครู่ หึๆ ขอโทษครับ”