สุดท้ายเขาก็เลือกจะลุกขึ้น ยูมินพึมพำเบาๆ ใส่หลังคนที่รีบปิดปากเดินออกจากห้องประชุม
“เป็นคนยังไงของเขา”
เนื่องจากได้รับบทบาทสำคัญแม้จะเป็นแค่นางรองก็ตาม เธอจึงดื่มฉลองกับพี่สาวอย่างยูฮา แต่ถ้รู้ว่าคนแบบนั้นมาเล่นบทคู่ตัวเอง เธอก็คงจะไม่ดีใจขนาดนั้น
หลังจากอึยชานกลับเข้ามา การอ่านบทแรกก็สำเร็จลุล่วงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีโชคดีในโชคร้ายอยู่ เพราะพวกเขาแทบจะไม่มีบทโรแมนติกด้วยกันเลยถึงจะคู่กันก็ตาม ยูมินรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมพร้อมนักแสดงคนอื่น
“พี่!”
ชองอู ผู้จัดการไร้ความรับผิดชอบที่บอกว่ามาปลุกไม่ได้เพราะรถติดเดินเข้ามาหาเธอ แต่ยูมินกลับคว้าแขนของอึยชานแทนการตอบรับการทักทายของอีกฝ่าย
“คุณอีอึยชาน”
“ครับ? อ๋อ คุณซอยูมิน”
เจ้าของชื่อหยุดยืนและพยายามไม่มองดวงตาบวมตุ่ยนั่น แต่ท่าทางของเขาทำให้ยูมินอารมณ์เสียถึงขีดสุด อย่างไรก็ต้องแก้ปัญหาที่ควรแก้ไขก่อน
นั่นคือมอเตอร์ไซค์ที่เธอเพิ่งได้มาเมื่อสองสัปดาห์ก่อน หลังจากอ้อนขอยูฮาที่เอาแต่บ่นว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะทำยังไงมาหนึ่งปีเต็ม แต่เธอไม่อยากคุยต่อหน้าจึงเหลือแค่เพียงวิธีเดียวเท่านั้น
“ขอเบอร์หน่อยค่ะ”
“เบอร์… โทรศัพท์?”
นันย์ตาดำของอึยชานสั่นไหวอย่างรุนแรง
“ค่ะ เบอร์โทรศัพท์”
ยูมินย้ำอีกครั้งพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ไปตรงหน้าเขา มือใหญ่กดเลขด้วยความร้อนผ่าวราวกับมีไฟลุกโชน อึยชานกดปุ่มโทรออกแล้ววางก่อนจะคืนโทรศัพท์ให้ยูมิน
“ฉันจะติดต่อผ่านทางนี้นะคะ ไปกันเถอะคุณชองอู”
มีความนอบน้อมแต่ก็เฉียบคมในเวลาเดียวกัน ขณะอึยชานกำลังลังเลว่าต้องทำอย่างไรกับความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยนี้ดี ยูมินก็ผงกศีรษะให้หนึ่งทีแล้วเดินไปกับผู้จัดการส่วนตัวอย่างรวดเร็ว
พอมองพวกเขาเดินหายไปครู่หนึ่ง ก็นึกขึ้นได้ว่าผู้จัดการส่วนตัวของตัวเองยังไม่ขึ้นมาเลย คงจะทำตัวขี้เกียจสันหลังยาวอยู่ที่ลานจอดรถแน่ๆ หลังคิดเช่นนั้น อึยชานก็ลงไปที่ลานจอดรถใต้ดิน เมื่อหารถตู้ของตัวเองเจอ จาฮอนก็กำลังเอนเบาะคนขับนอนขี้เกียจอยู่จริงๆ
“เสร็จเร็วนี่ครับ”
อีกฝ่ายตั้งเบาะขึ้นมานั่งตามมารยาทที่มีน้อย เอ่ยถามคล้ายนึกไม่ถึง
“อือ แล้วจัดการอุบัติเหตุนั้นยังไง”
“ผมกำลังจะเรียกประกัน แต่มีผู้จัดการส่วนตัวของใครบางคนมาจัดการก่อนน่ะครับ ซอยูมิน? ใช่ไหมนะ”
“ถูกแล้ว นามบัตรล่ะ?”
“นี่”
“ช่างเถอะ เก็บไว้”
อะไรของเขา จาฮอนบ่นพึมพำเบาๆ พลางโยนนามบัตรไปข้างๆ จากนั้นก็จับพวงมาลัย แสงแดดสว่างจ้าสาดส่องลงมาโดยไม่ทันตั้งตัว พอมาถึงทางออกหลังจากขับวนไปวนมาในลานจอดรถซับซ้อน โทรศัพท์มือถือก็ส่งเสียงดังขึ้น
– กริ๊งงง
ถึงจะเป็นเบอร์แปลก แต่ก็เหมือนจะเดาได้ว่าเป็นใคร อึยชานขจัดความกังวลทิ้งแล้วกดปุ่มรับสาย
“ฮัลโหล”
[ซอยูมินค่ะ]
“ครับ ว่ามาได้เลย”
[ได้ยินมาว่าผู้จัดการส่วนตัวของฉันจัดการเรื่องอุบัติเหตุเรียบร้อยแล้ว การเรียกประกันน่าจะไม่ดีต่อทั้งสองฝ่ายก็เลยแค่แลกนามบัตรกันก่อนน่ะค่ะ]
“ผมก็ว่าอย่างนั้นครับ อ๋อ ตอนนั้นไม่มีเวลาเลยไม่ได้ถาม คุณโอเคดีใช่ไหมครับ ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่หรือเปล่า”
[ถามเร็วดีนะคะ ฉันสบายดีค่ะ ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน แต่มอเตอร์ไซค์พังไม่มีชิ้นดีเลย]
ลืมถามไปซะสนิทเพราะว่าเธอดูสบายดีเกินไป แต่มันเป็นความผิดของเขาอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงไม่มีอะไรเถียงเมื่อโดนโต้กลับอย่างรุนแรง
“ขอโทษครับ ถ้าส่งมอเตอร์ไซค์ไปที่ศูนย์ ผมจะชดใช้ค่าซ่อมทั้งหมดให้นะครับ แน่นอนว่าไม่มีบริษัทประกันภัยมาเกี่ยวข้อง”
[ไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้ค่ะ]
เป็นการถ่อมตัวตามมารยาท แต่ชานก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ไม่ครับ เป็นความคิดผมเองที่ลงจากรถโดยไม่เช็คด้านหลัง…”
[ค่ะ ถ้าอย่างนั้นช่วยซื้อให้ด้วยนะคะ คันใหม่ ฉันเพิ่งถอยคันนั้นมาได้สองอาทิตย์ เพิ่งขี่เป็นครั้งที่สาม แต่ก็พังไม่เหลือชิ้นดีซะแล้ว]
ยกเลิกการถ่อมตัว
“มันไม่ถึงกับพังไม่เหลือชิ้นดีไม่ใช่เหรอครับ”
[มันถึงขนาดนั้นค่ะ ถ้าหากมันไม่ได้พังไม่เหลือชิ้นดี คุณอีอึยชานนั่นแหละค่ะที่จะไม่เหลือชิ้นดี]
“คุณพูดแรงเกินไปหน่อยนะ”
[สิ่งที่รุนแรงคือหนวดเคราของคุณต่างหากล่ะคะ เดี๋ยวฉันส่งชื่อรุ่นให้ ซื้อรุ่นนั้นมานะคะ แค่นี้ค่ะ ไว้เจอกันตอนถ่ายทำ]
พูดจบ อีกฝ่ายก็ตัดสายทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ตอบอะไรด้วยซ้ำ สิ่งที่รุนแรงคือหนวดเคราของคุณต่างหากล่ะคะ คำพูดทิ้งท้ายของเธอดังก้องและวนเวียนในหัวของอึยชานราวกับเสียงระฆังในวันปีใหม่
“คุณซอยูมินเหรอครับ หรือว่าผู้จัดการส่วนตัว?”
“…ฮอน”
“ครับพี่”
“วันนี้หนวดฉันเยอะเกินเหรอ”
“ผมก็ถามตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วไง ว่าจะมาด้วยสภาพนั้นเหรอ”
อย่างนั้นสินะ อึยชานพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์พลางเปิดกล้องหน้าสำรวจตัวเอง หนวดเครายาวขึ้นเป็นสีดำครึ้มภายในสองวัน
“ซื้อเครื่องโกนหนวดไฟฟ้าติดรถอันนึงด้วย”
“ไม่เห็นจำเป็นเลย”
“เอาอันดีๆ ล่ะ”
“ครับ กลับบ้านเลย หรือจะกินข้าวก่อน?”
“กินข้าวก่อน คุณซอยูมินให้ซื้อมอเตอร์ไซค์คันใหม่คืน นายไปหามา”
หลังผ่านแยกนี้ไป รถคันอื่นๆ ก็มุ่งขึ้นสะพาน พวกเขาจึงเร่งความเร็วเพิ่มได้นิดหน่อย แต่แล้วรถตู้ก็ต้องติดไฟแดงและเบรกตรงหน้าเส้นหยุดอย่างหวาดเสียวอีกครั้ง ช่วงเวลาสั้นๆ นั้น จาฮอนก็เอาแขนพาดที่นั่งข้างคนขับและหันมองข้างหลัง
“ซื้อเหรอครับ คันใหม่?”
“เออ เธอบอกว่าถ้ามันไม่ได้พังไม่เหลือชิ้นดี ก็เป็นฉันเนี่ยแหละที่จะไม่เหลือชิ้นดีเอง”
“มันก็ถูก แต่พี่คงจะปวดใจหน่อยนะครับ”
“ทำไม”
ติ๊ง! โทรศัพท์มือถือส่งเสียงดังขึ้น ชื่อรุ่นของมอเตอร์ไซค์ที่อีกฝ่ายบอกว่าจะส่งมาให้ปรากฏบนหน้าจอ ระหว่างเขากำลังเช็คข้อความ สัญญาณไฟจราจรก็เปลี่ยนพอดี จาฮอนจึงเหยียบคันเร่งอีกครั้งพร้อมให้คำตอบ
“ทำไมอะไรเล่า ถ้าผมจำไม่ผิด… มันน่าจะประมาณเจ็ดสิบแปดสิบล้านเลยนะครับ เราจะหาได้ไหม”
ว่าไงนะ อึยชานก็อปปี้ชื่อรุ่นแล้วค้นหา ไม่มีข้อมูลราคา แต่มีข่าวเล็กๆ น้อยๆ ลงว่านักแสดงหญิงย. ซื้อมอเตอร์ไซค์แบรนด์หรูนำเข้าหนึ่งในห้าคันของประเทศ
“ให้ไปซื้อมอเตอร์ไซค์นี่ใหม่งั้นเหรอ”
เขาย้อนถามคนไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ อย่างจาฮอนเหมือนไม่อยากเชื่อ
ภายในเวลาเดียวกันในรถตู้อีกคัน ชองอูก็ถามคำถามเดียวกันใส่ยูมิน
“ให้ไปซื้อมอเตอร์ไซค์นี่ใหม่งั้นเหรอครับ”
“อืม”
“กว่าพี่ซื้อคันสุดท้ายมาได้ก็ยากมากนี่นา”
“ไม่ต้องสนใจหรอก ระวังอย่าให้เรื่องถึงหูยูฮาก็พอ”
“น่าจะได้ยินแล้วล่ะมั้ง”
โทรศัพท์ดังขึ้นทันทีที่ชองอูพูดจบ ตายยากจริงๆ ยูมินกดรับสายและเอาโทรศัพท์แนบหูอย่างระวัง
“อืม”
[นี่! เป็นอะไรไหม เกิดอะไรขึ้น!]
“ไม่เป็นไร”
[บอกแล้วไงว่าอย่าซื้อ! เอาไปทิ้งเดี๋ยวนี้เลยนะ!]
“ก็บอกว่าไม่ได้บาดเจ็บไง แล้วก็ไม่ทิ้งด้วย”
[จะเอาแบบนี้ใช่ไหม]
น้ำเสียงของยูฮาสงบเยือกเย็นเป็นพิเศษ นั่นคือสัญญาณอันตราย
“เปล่านะ ฟังก่อน ฉันกำลังขับมาดีๆ ความเร็วคงที่ แต่…”
[ระงับบัตรเครดิต แล้วอย่าได้คิดจะกลับเข้าบ้าน จนกว่าเธอจะเอามันไปทิ้ง หรือไม่ก็ให้คนอื่นซะ]
“แต่ฉันได้งานถ่ายละครแล้วนะ”
[เพราะฉะนั้นก็ทิ้งมันซะแล้วกลับบ้าน ก่อนชีวิตของเธอจะถูกทำลาย]
กึก สายตัดด้วยประโยคนั้น ตอนนี้ยูฮาคงกำลังโทรหาบริษัทบัตรเครดิตแน่ๆ ไม่สิ อาจจะเปลี่ยนรหัสประตูบ้านก่อนก็ได้