TB:บทที่ 300 การต่อสู้เป็นสิ่งที่จำเป็น

 

“เจ้าของร้านหลิว เจ้านายของพี่หม่า เขาแข็งแกร่งจริงๆหรือ” หลังจากที่เห็นพลังของเขาแล้ว เจ้าของร้านหลิวยังห่วงตัวเขาเองด้วย เฉินหลงรู้สึกสนใจในตัวเจ้านายของพี่หม่าอย่างมาก

 

“ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แต่ฉันรู้มาว่านั่นคือการชุมนุมที่เก่าแก่นี้ชื่อว่า “เชินต้า” พวกเขาราวกับเทพจุติ พวกเขาช่างแข็งแกร่งราวกับว่าเป็นอมตะ” เจ้าของร้านหลิวกล่าวด้วยท่าทางจริงจังราวกับว่าเขาเคยเห็นหัวหน้าของนิกายนี้

 

““เชินต้าหรือ” เป็นเรื่องจริงหรือ” เฉินหลงรู้สึกสนใจเรื่องที่เจ้าของร้านหลิวบอกว่า เจ้านายของคนเหล่านี้แขร็งแกร่งราวกับพระเจ้า ขึ้นมา เฉินหลงมีสกิล “อัญเชิญเทพมาสถิตยังร่าง” เขาจะต้องเห็นคนที่มีความสามารถแบบนี้ให้ได้

 

เมื่อเห็นว่าเฉินหลงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสนใจ เจ้าของร้านหลิวมีท่าทีกระวนกระวาย “หนุ่มน้อย ไม่ต้องไปสนหรอกว่าจริงหรือไม่ จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ นายควรรีบไปได้แล้วตอนนี้ยังทันเวลา”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงไป ผมไม่กลัวแม้เขาจะแข็งแกร่งเหมือนเทพเจ้าก็ตาม” เฉินหลงยิ้มให้เจ้าของร้านหลิว

 

เมื่อเห็นว่าหว่านล้อมเฉินหลงไม่ได้ เจ้าของร้านหลิวจึงไม่กล่าวให้เปลืองน้ำลายอีก เมื่อเขาอยากเจอดี คนหนุ่มอย่างเฉินหลงคงได้เรียนรู้บทเรียนสักอย่าง เพื่อว่าเขาจะเรียนรู้การเป็นคนดีได้

ลูกน้องพี่หม่าไม่ปล่อยให้เฉินหลงคอยนานเกินรอ เขาพาคนที่แต่งตัวด้วยชุดจงชางและตัดผมเกรียน เขาไม่ได้สูงหรือเตี้ย ไม่อ้วนหรือผอม ตาของเขาดูลึก เขาอายุราวๆสามสิบปี

เมื่อเห็นชายคนนี้ เฉินหลงรู้ถึงพลังของเขาได้ในทันทีว่าเป็นระดับกำเนิด

 

ภายนอกร้านอาหาร ลูกพี่หม่าชี้ไปที่เฉินหลงและกระซิบหูชายคนนั้นเบาๆ

ชายคนนั้นมองเฉินหลงและพยักหน้า จากนั้นจึงกล่าวกับลูกพี่หม่า “ไม่จำเป้นต้องแจ้งเจ้านาย  เรียกเขาออกมา เราจะจัดการปัญหานี้กันข้างนอก”

เมื่อได้ยินคำของเจ้านายเขาแล้ว ลูกพี่หม่าเดินเข้าไปในร้านอาหารทันที เขาไปหาเฉินหลงและกล่าวว่า “ไอ้หนู เจ้านายของฉันสั่งให้นายออกไปน่ะ”

 

เฉินหลงเหลือบตามองลูกพี่หม่า เขายังคงนั่งอยู่ สายตาอ่อนโยน “จะพูดอย่างไรดี บทเรียนนั้นคงดีไม่พอสินะ อยากจะให้ผมเตะสักทีไหม”

คำและสายตาของเฉินหลงทำให้ร่างของลูกพี่หม่าสั่นพักหนึ่ง แล้วจากนั้นเขาทำได้แค่กล่าวอย่างอ่อนโยนกับเฉินหลง “คุณครับ พี่ของผมอยากให้คุณออกไปข้างนอกและกล่าวอะไรสักหน่อยครับ คิดว่าอย่างไร”

 

“ถ้ามีอะไรก็ให้เข้ามาในร้าน อย่าคิดว่ามีเงินเล็กน้อยแล้วจะมาขู่ผมได้” เฉินหลงกล่าวอย่างไม่สุภาพ

“คุณครับ เจ้านายของเราบอกว่าเห็นแก่ธุรกิจของร้านนี้ด้วย เขาไม่ต้องการจะรอ หากว่ามีปัญหาอะไรกับคุณ เจ้าของร้านหลิวต้องรับความสูญเสียนะครับ” หลังจากพูดเหตุผลกับเฉินหลงแล้ว เสียงของลูกพี่หม่ามียังคงอ่อนโยน

“นาย นี่ขู่ฉันหรือ” เฉินหลงมองลูกพี่หม่าด้วยสีหน้าเย็นชา

“ไม่ครับ ไม่ ผมแค่คิดเรื่องเจ้าของร้านหลิวอยู่” ลูกพี่หม่าจ้องเฉินหลง ขาเขาสั่นไหวเล็กน้อย

เฉินหลงจ้องมองลูกพี่หม่าอยู่หลายสิบวินาที แล้วเขาก็ยืนขึ้นและเดินออกไปภายนอกร้านอาหาร

 

เมื่อเฉินหลงออกมาภายนอก ลูกพี่หม่าอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เขารีบตามเฉินหลงไปนอกร้านอาหาร เมื่อครู่หากเฉินหลงจ้องมองเขานานกว่านั้น เขาคงกลัวจนฉี่ราด

อย่างไรเสีย ในตอนนั้น เฉินหลงพลันหันหลังและมองลูกพี่หม่าพร้อมกล่าวว่า

“ทำไมเขาถึงเรียกนายว่าพี่หม่า”

 

จู่ๆเฉินหลงก็ถามไป ลูกพี่หม่าจึงนิ่งอึ้ง หลังจากสองสามวินาทีผ่านไป เขาตอบกลับว่า “นามสกุลของผมคือหม่า ส่วนชื่อผมคือหม่าเหวิน เจ้านายเรียกผมว่าเสี่ยวหม่า ตามปกติแล้ว พวกเขาเรียกผมว่าพี่หม่า”

“ไม่ว่าในอนาคตนายจะใช้วิธีอะไรนะ แต่นายไม่ได้รับอนุญาตให้โดนเรียกว่าพี่หม่าอีกต่อไปแล้ว จริงๆแล้วคำนั้นไม่สมควรเป็นชื่อนาย” เฉินหลงว่า

 

พี่หม่า คือตัวอักษรที่หาได้ง่ายในหนังของเสี่ยงเจียง ชื่อนี้มีความเป็นวีรบุรุษมาก แต่ตอนนี้ชื่อพวกนี้ตกเป็นของพวกอันธพาลง่อยๆที่เก็บค่าคุ้มครอง ไม่เหมาะสมเลยจริงๆ ดังนั้นเฉินหลงจึงอยากให้พี่พี่หม่านี่เปลี่ยนชื่อ

 

“เพื่อนเอ๋ย ชื่อนี่พ่อแม่ของคนอื่นให้มานะ หากว่าขอให้เขาเปลี่ยนชื่อแล้ว คงจะโอนอ่อนไปหน่อย ถ้าฉันขอให้นายเปลี่ยนชื่อเป็น “หมาเวร” บ้างนายจะเปลี่ยนชื่อไหม” ตอนนั้นเองที่เจ้านายของพี่หม่าจ้องมองเฉินหลงและกล่าวไป

 

“อย่างนั้นหรือ ผมอยากให้คุณยุ่งแต่เรื่องตัวเองครับ ถ้าชื่อของเขาไม่ใช่พี่หม่า ผมคงไม่พูดอะไรผิดถ้าจะไปเปลี่ยนชื่อเขา อีกอย่างหนึ่ง ทำไมปากคุณเหม็นจังครับ กินมูลมาหรือไงครับ” เมื่อเจ้านายของพี่หม่าไม่สุภาพกับเขาแล้ว คงเป็นปกติที่เฉินหลงจะไม่สุภาพด้วย อีกอย่างหนึ่งคือเขามีพลังแค่ระดับกำเนิดที่อ่อนแอ เฉินหลงฆ่าเขาได้เพียงหายใจรด

 

“เยี่ยมมาก นี่ก็พักใหญ่ๆแล้วที่ไม่มีใครกล้ามาพูดกับวู่เต๋าเทียนแบบนี้ นายเป็นคนแรกเลย เพื่อจะขอบคุณนาย ฉันตัดสินใจจะทำให้นายเป็น “เค้กเละตุ้มเป๊ะ”” มีความสบายๆในสายตาของวู่เต๋าเทียน

ตอนนั้นเองที่เทียชินและพวกของเขาปรากฏกายในไชน่าทาวน์

เมื่อวาน เฉินหลงบอกกับเทียชินว่าเขาจะไปไชน่าทาวน์ แน่นอนว่าเทียชินไม่ได้อยู่ไกลออกไปจากไชน่าทาวน์นัก เขารอให้เฉินหลงเรียก

ก่อนหน้านั้นสักครู่ ตอนที่เจ้าของร้านหลิวหล่าวว่าวู่เต๋าเทียน แข็งแกร่งเหมือนเทพจุติ เฉินหลงได้ขอให้เขามาเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงมาถูกเวลาพอดี

หลังจากที่วู่เต๋าเทียนหันหน้าไปและเห็นพวกของเขาหลายคนแล้ว ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป เนื่องขากเขารู้สึกได้ถึงพลังของคนเหล่านั้น ที่มาที่นี่แบบเดียวกับเขา

 

“คุณอยากจะสู้หรือ ผ่านพวกเขาไปให้ได้ก่อน อย่าห่วงไปเราไม่โกงแม้แต่น้อย เราจะสู้กับคุณแค่ทีละคนท่านั้น แน่ละว่าหากคุณอยากได้พวก คุณก็เรียกพวกเขาออกมาได้” หลังจากที่เฉินหลงกล่าวจบ เขาก็ยืมเก้าอี้มาจากร้านอาหารและนั่งที่ข้างหนึ่งของถนน

 

“นายเป็นใคร ลูคเรียกนายมาหรือ” ทันทีที่ใบหน้าของวู่เต๋าเทียนเปลี่ยนไป เขาคิดว่าเฉินหลงต้องมาหาเรื่องแบบคิดรอบคอบมาแล้วแน่ๆ

“ผมไม่รู้ว่าลูคคือใคร หากว่าคุณจะไม่สู้ ผมก็จะดูถูกคุณ ตัวใหญ่ซะเปล่า เป็นผู้ชายแบบไหนกัน” เฉินหลงนั่งลงบนเก้าอี้ของเขาและมองวู่เต๋าเทียน

“หมายความว่าต้องสู้สินะ” วู่เต๋าเทียนมองเฉินหลงและกล่าวไป

แม้วู่เต๋าเทียนจะใช้พลังเทพจุติเอาชนะเทียชินได้ แต่อย่างไรเสียมันมีผลกระทบกับร่างของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเฉินหลงอีกคนที่เขามองไม่เห็นเบื้องลึก วู่เต๋าเทียนจึงไม่มั่นใจเล็กน้อย

คนคนนั้นที่เกิดมาพร้อมกับหลังระดับนั้น วู่เต๋าเทียนไม่คิดว่าพลังของเฉินหลงจะต่ำกว่าระดับกำเนิดของเขา

“ใช่ต้องสู้” ตอนนั้นเองที่เทียชินพูด หากว่าคนพวกนี้กล้าจะมามีปัญหากับเจ้านายของพวกเขา พวกเขาก็จะสู้