GGS:บทที่ 776 ปะทะ
“แกไม่รู้ว่าตัวเองแกร่งแค่ไหนเนี่ยนะ ฉันว่าแกอ่อนแอจนไม่รู้ว่าอ่อนแอแค่ไหนมากกว่านะ” ไป๋ฮิตูสบถออกมา
พอถึงตอนนี้ซูจิ้งขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไป แน่นอนว่าเขาในตอนนี้สามารถเห็นสแตนด์ของไป๋ฮิตูอย่างถนัดตา และดูเหมือนว่าเป็นสแตนด์ประเภทโจมตีซะด้วย
ให้พูดตามจริงก็คือไป๋่ฮิตูบ้าบิ่นมาก ไม่เพียงจะใช้ฮอร์โมนเสริมร่างกายแล้วยังปลุกสแตนด์อีก นี่เรียกว่าเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตามยิ่งเขาเห็นว่าไป๋ฮิตูเป็นผู้ใช้สแตนด์เขายิ่งจะไม่ยอมปล่อยหมอนี่หนีรอดได้อย่างแน่นอน
ดวงตาของไป๋ฮิตีจ้องซูจิ้งเขม็ง ทันได้นั้นสแตนด์ที่อยู่ข้างหลังของเขาได้ยกปืนขึ้นมาแล้วพุ่งดาบปลายปืนแทงไปยังซูจิ้งในทันที
ด้วยความเร็วประดุจสายฟ้านั้นแทบจะบอกได้ว่าเกือบจะในทันทีจนเกิดแรงลมหมุนวนพุ่งตรงออกมาดีไม่ดีเร็วกว่ากระสุนปืนปกติซะอีก มันดูเหมือนจะรุนแรงยิ่งกว่ากระสุนปกติบนโลกหลายเท่า
ในมือของซูจิ้งในตอนนี้อยู่ๆก็ได้มีกระบี่ใหญ่ปรากฎขึ้นอยู่ในมือ เหมือนเสกมันออกมาจากอากาศ
เมื่อไป๋ฮิตูที่เห็นฉากนี้ถึงกับผงะเล็กน้อย ทันใดนั้นซูจิ้งเองก็ก็ได้สวนหอกลมที่เกิดจากดาบปลายปืนนั้นเพียงด้วยการวาดกระบี่ธรรมดาเท่านั้น
แต่เมื่อซูจิ้งวาดกระบี่ก็ได้เกิดรังสีกระบี่ปัดเป่าหอกลมนั้นให้หายไปแทบจะในทันที
เพียงการวาดกระบี่เพียงครั้งเดียวก็ทำให้หอกลมอันรุนแรงก็หายไปในพริบตา
ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากระบี่ของจริงทำอะไรสแตนด์ไม่ได้ล่ะก็ ป่านนี้เขาจะเอากระบี่ไปจ่อคอหอยสแตนด์เรียบร้อยแล้ว
“แกเห็นร่างวิญญาณของฉันได้ แถมยังตอบโต้มันได้อีก เป็นไปไม่ได้ มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ”
ไป๋ฮิตูถึงกับนิ่งอิ้งไปพักนึง หลังจากนั้นก็การเป็นบ้าคลั่งขึ้นมา เมื่อเขาตั้งสติได้
เขารีบใช้มือสั่งการสแตนด์ในทันที มันเหมือนเป็นการเพิ่มอัตราความเร็วของสแตนด์ในการแทงดาบปลายปืนไปยังซูจิ้ง จนแทบได้ว่าเป็นห่าฝนของหอกเลยก็ว่าได้
ท่าทางของซูจิ้งเองในตอนนี้ก็เหมือนมือกระบี่ที่เข้าใจวิถีแห่งกระบี่
เขาเผชิญหน้าห่าฝนหอกลมที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ไหวติง เมื่อปลายหอกลมเข้ามาเกือบถึงซูจิ้ง
เขาเริ่มขยับตัว หากมองใกล้ๆจะเหมือนกับเขาเบี่ยงตัวหลบเพียงเล็กน้อย
แต่หากมองจากระยะไกลจะเห็นว่าซูจิ้งพริ้วไหวประดุจดั่งสายลม
เขานั้นได้เข้าใจวิถีแห่งดาบซึ่งได้เรียนรู้มาจากห้วงเวลาฯDesolate Era
ซึ่งเขาได้ฝึกฝนจากการตัดใบไม้ใบหญ้าและผัก
ตอนแรกเขาเองก็แค่จะเล่นฟันกระบี่ค่าเวลาเฉยๆ แล้วจินตนาการว่าตัวเองเป็นผู้นำของกลุ่มกระบี่เทพ
แต่กลายเป็นว่ายิ่งเล่นเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกเข้ามือเข้าท่าเข้าทางมากขึ้นทำให้เขาไม่กล้าใช้เล่นๆอีกต่อไปเพราะกลัวอานุภาพของท่วงท่า
เอาจริงๆนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เข้าได้นำมาใช้ในการต่อสู้แบบนี้
“ตูม ตูม ตูม” เสียงลมอัดปะทะกันจนดังสนั่น ในตอนไป๋ฮิตูได้ถอยหลังกลับไปสามก้าวพร้อมทั้งกระอักเลือดออกมา
ตามความคิดของไป๋ฮิตูนั้นกระบี่จริงๆไม่สมควรจะทำอะไรร่างวิญญาณได้ ไป๋ฮิตูเองก็ถึงกับงงในทันทีที่เห็นว่าร่างวิญญาณของเขาได้รับบาดเจ็บและร่างกายของเขาเองก็บาดเจ็บเช่นกัน
เอาจริงๆเหตุการณ์เมื่อกี้ชุลมุนมากจนเขาไม่รู้เลยว่าร่างกายของเขาบาดเจ็บแล้วส่งผลกระทบต่อร่างวิญญาณหรือร่างวิญญาณของเขาบาดเจ็บจนทำให้ร่างกายของเขาบาดเจ็บตาม
ต่อให้ซูจิ้งได้เรียนเพลงกระบี่มาจริงก็ถือว่าน่ากลัวสำหรับเขาอยู่ดี เพราะเพลงกระบี่ของซูจิ้งสามารถทำอันตรายต่อร่างวิญญาณของเขาได้
หากคนทั่วไปแค่เห็นการวาดกระบี่ของซูจิ้งก็แทบจะกลัวจนฉี่ราดทันที
เพราะการจะวาดกระบี่ได้นั้นจำเป็นต้องปล่อยรังสีแห่งการฆ่าออกมามหาศาล
นี่ขนาดไป๋ฮิตูในตอนนี้เหนือกว่าคนธรรมดาอย่างมากก็ยังต้องกลัวจนแทบจะฉี่ราด จะเรียกว่ากลัวจนตัวแข็งไปเลยก็ว่าได้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไป๋ฮิตูตอนนี้เขาไม่อยากจะยอมรับมันเลยแม้แต่น้อยทั้งๆทีตัวเองกระอักเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า
ตอนนี้ใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดงเข้ม แม้แต่สแตนด์เองก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเช่นกัน แดงจนเริ่มรู้สึกได้ถึงกลิ่นไหม้เลยก็ว่าได้
ทันได้นั้น ห่าพายุหอกลมก็ได้พุ่งเข้าใส่ซูจิ้งด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม ความเร็วสูงจนเกิดเป็นกระแสลมร้อนและลุกเป็นไฟกลางอากาศ
“พอแล้วล่ะ ฉันไม่อยากจะเล่นกับนายแล้ว” มือซ้ายของซูจิ้งได้ยกสูงขึ้น ทันใดนั้นก็ได้ปรากฏไฟออกมาบนฝ่ามือของเขา ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เปิดกระเป๋ามิติออกมา ทันใดนั้นไฟบนฝ่ามือข้างซ้ายก็ได้ลุกโชนจนกลายเป็นรูปร่างมังกรไฟขนาดใหญ่ และได้พุ่งเข้าใส่ไป๋ฮิตู
“บูมมมมมมมม” ไป๋ฮิตูไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น
มันเหมือนกับว่ามีปืนไฟมหากาฬยิงเขาในระยะเผาขน อกของเขาถูกโจมตีเข้าด้วยมังกรไฟตัวเขื่องจนทำให้ร่างกายของเขาลอยกระเด็นไปอัดเข้ากับกำแพงในทันที โชคดีที่ไม่มีคนอื่นอยู่ในห้องนั้น
ซึ่งแน่นอนว่าเป็นไปตามที่ซูจิ้งคาดการณ์ไว้ว่าไป๋ฮิตูจะไล่คนอื่นออกไปเพราะไม่อยากให้ใครเห็นรูปลักษณ์ของเขา
และดังที่เขาเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางปล่อยไป๋ฮิตูให้หนีไปได้เพียงแค่ซูจิ้งออกแรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“แกใช้ทักษะอะไรกันแน่ แล้วทำไมแกถึงมีมันได้” ไป๋ฮิตูในตอนนี้กระอักเลือดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ
ถึงแม้ว่าไฟนี้จะแทบทำอะไรสแตนด์ไม่ได้เลย แต่มันรุนแรงต่อร่างเนื้ออย่างแน่นอน และนั่นเองก็ได้ทำให้สแตนด์อ่อนแอลงด้วยเช่นกัน
ในตอนนี้ร่างกายของไป๋ฮิตูได้รับบาดเจ็บหนัก แต่กำลังภายในของเขาบาดเจ็บหนักยิ่งกว่า
ถึงแม้ไป๋ฮิตูจะน่าอัศจรรย์ขนาดไหนที่ถือครองพลังทั้งฮอร์โมนเสริมพลังกายและสแตนด์เอาไว้ได้ด้วยกัน แต่เมื่อเทียบกับความสามารถของซูจิ้งแล้วก็เทียบอะไรไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยว
“เฮ้อออออ ฉันก็บอกไปแล้วนี่ว่าความสามารถของนาย แทบจะเดินไปได้ทั่วทุกย่อมหญ้า ก็แค่โชคร้ายนิดหน่อยแค่เดินมาเจอฉันแค่นั้นเอง” ซูจิ้งค่อยๆเดินตรงไปยังไป๋ฮิตูที่กำลังอยู่คากำแพงทีละก้าวทีละก้าว
“อ๊ากกกกก” ไป๋ฮิตูกู่ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงอันน่าสะพรึงกลัว ร่างกายของเขาพุ่งไปยังประตูในขณะที่บังคับสแตนด์ของเขาให้พุ่งดาบปลายปืนไปยังซูจิ้ง
เขานั้นต้องการพุ่งทะลุประตูออกมานั่นเป็นทางรอดเดียวที่เขาพอจะนึกออกในตอนนี้เพื่อที่จะได้จับไอ้เด็กนั่นเป็นตัวประกัน ในเมื่อซูจิ้งมาที่นี่เพราะเด็กนั่นสมควรที่เด็กนั่นจะมีค่าพอจะจับเป็นตัวประกันได้
“นายเนี่ยน้า ไม่เข็ดไม่หลาบเลยจริงๆ” ซูจิ้งยิ้มเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ได้ยินของแหลมเล็กๆแหวกอากาศออกมาดัง “ฉึบ”
ไป๋ฮิตูไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นจากด้านหลัง เขารู้ตัวอีกทีตอนที่ล้มลงจนหน้ากระแทกพื้นดังปึ้กไปแล้ว จนเพิ่งรู้สึกเจ็บที่เข่า แขน และมือ
ตอนนี้สภาพของไป๋ฮิตูเหมือนหมาที่หมดเรี่ยวแรงจนลงไปนอนกองกับพื้น
เขาชำเลืองมองไปยังบริเวณที่รู้สึกเจ็บปวดก็เห็นเข็มสามเล่มแทงอยู่
แล้วทันใดนั้นมันก็ดีดตัวเองออกไปกลับไปยังที่ศีรษะของซูจิ้ง เมื่อเขาเห็นดังนั้นเขายิ่งไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าไปใหญ่
“เอาหล่ะ ที่นี้เราลองมาว่ากันดูซิว่าทักษะของฉัน กับความสามารถของนาย ของใครน่าสนใจกว่ากัน”
ซูจิ้งเดินเข้าไปยังไป๋ฮิตูที่นอนกองอยู่กับพื้นอย่างช้าๆที่ทำได้เพียงมองซูจิ้งด้วยความโกรธแค้นเท่านั้น
เขาเองก็ได้ลองที่จะส่งร่างวิญญาณของเขาไปลอบโจมตีซูจิ้ง แต่ทันทีที่เขาเรียกร่างวิญญาณออกมามันก็เหมือนถูกตรึงเอาไว้ทำอะไรไม่ได้
สาเหตุนั่นก็เป็นเพราะสแตนด์นั้นก็คือร่างวิญญาณที่มีร่างเนื้อเป็นพื้นฐาน แต่ซูจิ้งนั้นมีพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีความบริสุทธิ์กว่าจึงแน่นอนว่ากดข่มกันได้
เรื่องนี้ถ้าหากซูจิ้งต้องเจอคนระดับเดียวกันย่อมมองกันออก เหมือนกับที่คนที่มีสแตนด์รับรู้ถึงการมีอยู่ของคนที่มีสแตนด์ด้วยกัน แต่ไป๋ฮิตูนั้นอยู่คนละระดับกับซูจิ้งย่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“แก แก… เป็นใครกันแน่” ไป๋ฮิตูนั้นมองซูจิ้งด้วยความหวาดกลัว
“เฮ้อออ นายไม่ต้องรู้หรอกว่าฉันเป็นคน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือเจ้าเศษเหล็กนั่นอยู่ไหน” ซูจิ้งถามออกมาอย่างขึงขัง
“ฉันบอกแกไปแกจะไว้ชีวิตฉันรึเปล่าหล่ะ” ไป๋ฮีตูนั้นไม่โง่พอที่จะเสียโอกาสรอดชีวิตนี้ไปได้ “แกพอฉันไปหาพ่อของฉันสิ แล้วแลกฉันกับเศษเหล็กนั่น เขาย่อมยินดีแลกอย่างแน่นอน”
“นายนี่น้า โกหกไม่เป็นเวล่ำเวลา โง่งมแท้ๆ ช่างมันเถอ ถือว่าฉันไม่ได้ถามไปละกัน”
ซูจิ้งได้ปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ใส่สแตนด์ของไป๋ฮิตูจนมันส่งเสียงกรีดร้องออกมาจากด้านหลัง
หลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้ปล่อยกระแสจิตอัดเข้าไปยังสมองของไป๋ฮิตูแล้วทำการสะกดจิตเขาในทันที
ด้วยการที่สแตนด์ของไป๋ฮิตูอ่อนแอทำให้เขาถูกสะกดจิตจนสำเร็จได้ในทันที
ด้วยการที่การตื่นของสแตนด์ของไป๋ฮิตูไม่เหมือนกับการตื่นของสแตนด์ของหยางเฉียนรุยที่ร่างกายยังไม่สามารถรองรับการใช้สแตนด์หนักๆ
แต่ไป๋ฮิตูนั้นปรับสภาพร่างกายเรียบร้อยแล้วทำให้มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งมากพอที่จะทำให้ซูจิ้งใช้วิธีนี้ในการสะกดจิตได้
แต่ยังซะนี่ก็เป็นการสะกดจิตธรรมดาเท่านั้นไม่ใช่การสะกดจิตสมบูรณ์ นั่นก็เพราะไม่ง่ายเลยที่จะทำการสะกดจิตแบบสมบูรณ์กับคนที่มีพลังงานวิญญาณที่เสถียรแล้วแบบนี้
“บอกมาสิว่าชิ้นส่วนนั่นอยู่ไหน” ซูจิ้งถามออกมา
“มันอยู่ในสถาบัน…” ไป๋ฮิตูได้บอกความจริงออกมาแต่นั่นทำให้ซูจิ้งถึงกับทำตาเขม็ง ทำไมชื่อสถาบันวิจัยที่ไป๋ฮิตูบอกเขาช่างคุ้นหูเสียจริง เหมือนเคยไปที่นั่นมาก่อนด้วยซ้ำ