GGS:บทที่ 777 เยี่ยมเยียนบ้านเก่า
นอกห้อง หลิวเซียวฮุยตอนนี้อยากออกไปจากที่นี่เต็มแก่แล้ว แต่หลิวดาจูได้รั้งเขาไว้
ภายในห้องเองก็ได้มีเสียงการต่อสู้ดังสนั่นออกมา มีแม้กระทั่งแรงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นเหมือนกับจะทำให้ตึกโยกได้ด้วยซ้ำ พวกเขารู้สึกอึ้งกันไปหมด พวกเขารู้สึกว่าทั้งสองไม่ได้สู้กันเองแต่เหมือนทั้งสองกำลังโดนถล่มด้วยปืนใหญ่มากกว่า
ตอนนี้ลูกน้องของหลิวดาจูเองอดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า
“ทำไมผมรู้สึกว่าพวกเขาสู้กันได้โหดกันจริงๆ พวกเราควรจะเข้าไปช่วยพี่ไป๋รึเปล่าครับ”
“แกงี่เง่ารึเปล่า ลูกพี่ไป๋เนี่ยนะต้องให้แกช่วย”
“แกก็เห็นไม่ใช่หรอว่าพี่ไป๋น่ากลัวขนาดไหน พี่ไป๋แข็งแกร่งขนาดที่ว่าสู้กับวัวกระทิงได้ด้วยมือเปล่าเลยนะ”
“จริงหรอ”
“จะว่าฉันหลอกก็ได้ แต่ฉันเห็นกับตาตัวเอง แถมเพิ่งจะสู้กับกระทิงไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง พวกเราได้ไปที่สนามสู้วัวกระทิง ลูกพี่ไป๋ต้องการวัดฝึมือตัวเองด้วยการสู้กับกระทิงที่นั่น
ตอนแรกพวกเราได้ยินถึงกับขนหัวลุกเลย พวกเรายังนึกไปเลยว่าพี่ไป๋ต้องเกิดเรื่องแน่ๆคราวนี้แล้วจะไปรายงานกับลูกพี่ใหญ่ยังไงดี แต่กลายเป็นว่าพอไปถึงลูกพี่ไป๋ฆ่าวัวกระทิงทิ้งเป็นว่าเล่นไปสองสามตัวด้วยมือเปล่า”
ชายวัยกลางคนตัวสูงจำนวนสี่คนได้เดินไปที่หน้าประตูห้องโดยลูกน้องของหลิวดาจูเปิดทางให้แต่โดยดี พวกเขาเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูโดยไม่ได้พูดอะไรซักคำด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ไม่ว่าข้างในจะมีเสียงดังเกิดขึ้นมากแค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้หน้าของเขาเปลี่ยนสีแม้แต่น้อย
“อืมมมมม…. นี่ลูกพี่ไป๋ยังจัดการซูจิ้งไม่เสร็จอีกหรอ ถ้าซูจิ้งรอดไปได้ล่ะก็ ภายหลังจะต้องโดนซูจิ้งโกรธจนตามกลับมาล้างแค้นแน่ๆ”
หลิวดาจูยิ้มอย่างเลือดเย็นก่อนที่จะหันไปหาจูหยุนแล้วพูดออกมาว่า
“ตอนนี้ แกอยู่ฝั่งเดียวกับซูจิ้งและมีข้อมูลของพวกเรามากเกินไป ฉันจะบอกลูกพี่ไป๋เกี่ยวกับเรื่องนี้หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว ดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแก”
ใบหน้าของจูหยุนซีดเผือดในทันที เอาจริงๆเขายังไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับลูกพี่ไป๋เลยซักคำ
ปัญหาคือด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาตกอยู่ฝั่งซูจิ้งไปโดยปริยาย ถ้าหลิวดาจูใส่ไฟเรื่องนี้อีกล่ะก็ ลูกพี่ไป๋ต้องเล่นงานเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาต้องแอบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่หลิวดาจูเหมือนอ่านออกพาคนมาล้อมเขาไว้ไม่ให้ออกไปไหนได้ง่ายๆ
“แอ๊ดดดด……”
ประตูห้องได้เปิดออก หลิวดาจูได้รีบหันไปด้วยสีหน้าปลื้มปลื่ม แต่ทันใดนั้นเมื่อเขาได้เห็นว่าใครออกมาจากห้องหน้าของเขาเปลี่ยนสีจนยืนนิ่งไปในทันที แม้แต่เหล่าลูกน้องของเขาเองก็ยืนอึ้งไม่ต่างกัน
นั่นก็เพราะว่าภาพที่เห็นต่างกับสิ่งที่พวกเขานึกเอาไว้ ภาพที่ปรากฎต่อหน้าเขาก็คืนซูจิ้งกำลังลากไป๋ฮิตูออกมาเหมือนหมาตายซาก
“นายน้อยยยยย” ชายวัยกลางคนตะโกนสี่คนตะโกนออกมาดังลั่น จากใบหน้าที่นิ่งเฉยเปลี่ยนเป็นโกรธจัดพร้อมทำการพุ่งไปยังซูจิ้งในทันที สองคนได้เข้าไปปะทะกับซูจิ้งและอีกสองคนพยายามเข้าไปช่วยเหลือโดยเตรียมใช้ความสามารถของพวกเขาในการรักษาในทันที ความเร็วของพวกเขาเองก็เร็วเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะมองตามได้ทัน
“ปึ้ก ปึ้ก ปึ้ก ปึ้ก ปึ้ก ปึ้ก” ร่างกายของซูจิ้งเคลื่อนไหวราวกับสายลมแล้วปล่อยหมัดไปกระแทกทั้งสี่คนราวกับสายฟ้าฟาดจนทั้งสี่ลงไปหมอบกระแตหน้าจูบพื้นในทันที
หลิวดาจูและคนอื่นๆเองเมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นก็ได้แต่ทำหน้าโง่งม ทักษะอะไรกัน ทำไมความเร็วของเขาน่ากลัวอะไรขนาดนี้ แต่ซูจิ้งกับเหนือกว่าจนเห็นได้เลยว่าสี่คนนี้เทียบไม่ติด
ช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายสำหรับทุกคนที่อยู่ที่นี่จริงๆ
ลูกพี่ไป๋แพ้ต่อซูจิ้งอย่างราบคาบ แม้แต่สุดยอดผู้ติดตามของลูกพี่ไป๋ก็แทบจะตายในทันทีที่เจอหน้าซูจิ้ง ซูจิ้งเป็นใครกันแน่
หลิวดาจูและคนอื่นในตอนนี้รู้สึกช็อคจนชาไปทั้งตัวก็ว่าได้ ใจจริงพวกเขาก็อยากจะพุ่งเข้าไปอัดซูจิ้งตามทั้งสี่คนนั้น แต่ความกลัวได้แล่นเข้าสู่จิตใจพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“หลิวเซียวฮุย ทำไมนานยังไม่กลับบ้านอีกล่ะนั่น” ซูจิ้งถามออกมาในขณะที่จ้องมองเซียวฮุยด้วยความสงสัย
“พ่อของผมไม่ยอมให้กลับครับ” เซียวฮุยตอบกลับมาด้วยความเคารพเลื่อมใสในทันที
ซูจิ้งค่อยๆหันไปจ้องที่หลิวดาจูอย่างช้าๆจนทำให้หลิวดาจูกลัวจนตัวสั่น เขารีบปล่อยมือออกจากมือของหลิวเซียวฮุยในทันที ใบหน้าของเขาซีดขาวและแสดงความกลัวออกมา
“หลิวดาจู ฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง อย่ากลับไปยุ่มย่ามกับครูจางและลูกของเธออีกในภายภาคหน้า
หลิวเซียวฮุยเองมีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าเขาจะอยู่กับใคร
ถ้าแกยังก่อปัญหาให้สองคนนี้อีก หรือแม้แต่มีเรื่องที่ต้องให้สองคนนี้เดือดร้อนแม้แต่น้อย ฉันสัญญาเลยว่าแกจะอยากตายมากกว่าอยู่แน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเลือดเย็น
“คระ ครับ” หลิวดาจูที่เสียความตั้งใจไปแล้วในทันทีขานรับออกมา เขามีโอกาสจะตอบปฏิเสธด้วยอย่างงั้นหรอ ขนาดลูกพี่ไป๋ยังกลายเป็นหมาตายซากไปแล้ว นับประสาอะไรกับตัวเขากัน
“เซียวฮุย นายควรรีบออกไปจากที่นี่และอยู่กลับมายุ่มย่ามกับสถาที่แบบนี้อีกในอนาคต อ้อ รีบโทรกับไปหาแม่นายด้วย ตอนนี้น่าจะยังรอฟังข่าวอยู่ที่สถานีตำรวจนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ครับ” หลิวเซียวฮุยในตอนนี้ก็กลัวซูจิ้งไม่ใช่น้อย เขารีบออกมาแล้วขึ้นแท๊กซี่ออกไปในทันที
“แล้วก็” ซูจิ้งหันไปหาจูหยุนแล้วพูดว่า “จูหยุนคนนี้เป็นเพื่อนเก่าฉันเอง พวกนายเองก็ควรทำตัวดีๆกับเขาหน่อยล่ะนะ”
เหล่าลูกน้องของหลิวดาจูที่รุมล้อมจูหยุนในตอนนี้ได้ถอยกรูดกันออกมาอย่างรวดเร็ว
จูหยุนเองก็เหมือนอยากจะพูดอะไรกับซูจิ้งเหมือนกันแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา
เหตุผลที่เขาไม่ยอมทำการทำงานแต่เลือกที่จะมาอยู่กับนักเลงแบบนี้ก็เพียงเพราะว่าเขารู้สึกว่าถ้าเป็นหัวหน้าของกลุ่มนักเลงมันเท่ดีเท่านั้น
แต่เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าที่ซูจิ้งกำลังลากคอไป๋ฮิตูอยู่นั้น เขารู้สึกได้เลยว่าความรู้สึกก่อนหน้านี้ไม่ได้มีค่าอะไรเลย
ซูจิ้งไม่ได้สนใจเหล่านักเลงที่ออกันที่หน้าห้องอีกต่อไป เขาเดินลากไป๋ฮิตูออกมาข้างนอก เปิดประตูรถ แล้วโยนไป๋ฮิตูเข้าไป หลังจากนั้นก็ขับรถออกไปในทันที
หลิวดาจูและคนอื่นๆเองเมื่อเห็นว่าซูจิ้งออกไปจริงๆแล้วถึงรู้สึกเริ่มหายใจหายคอได้ พวกเขาก็มองหน้ากันแล้วรีบหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาไป๋จิ(ไป๋เก้อ)ในทันทีเพื่อรีบรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ในรถสปอร์ตคันหรู ไป๋ฮิตูที่สลบเหมือดเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา เขารู้สึกว่าทั้งมือของเขานั้นอ่อนแรงไปหมด
นั่นก็เพราะว่าซูจิ้งได้ใช้เข็มทองที่ทำขากขนลิงทิ่มไปบังไป๋ฮิตู ถามยังโดนซูจิ้งกระหน่ำแบบไม่ยั้งทำให้เขาขยับไม่ได้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามซูจิ้งแม้รู้ว่าไป๋ฮิตูจะเริ่มได้สติแต่ก็ไม่มีอารมณ์จะสนใจเรื่องสภาพของร่างกายของไป๋ฮิตู เขายังสะกดจิตไป๋ฮิตูให้บอกทางด้วยซ้ำ
องค์กรที่ไป๋ฮิตูสังกัดอยู่นั้นค่อนที่จะระวังตัวอย่างมาก ขนาดไป๋ฮิตูเองที่รู้ข้อมูลของเศษธนูก็ยังไม่แน่ใจว่าในสถาบันวิจัยแห่งนั้นมีอะไรอยู่บ้าง
มันเหมือนกับว่าเขาเองนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยยามที่เข้าไปมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ออกมาแล้วเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็น่าสนใจทีเดียว
ตอนนี้ซูจิ้งขับรถมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว อย่างน้อยก็ชั่วโมงนึงได้
หลังจากเริ่มขับรถเข้าสู่ถนนสายเล็กๆเส้นหนึ่ง ซูจิ้งขมวดคิ้วขึ้นมา หลังจากขับรถต่อมาอีกชั่วโมงหนึ่ง พวกเขาก็ถึงที่หมายในทันที
ซูจิ้งจ้องมองไปอย่างค้นเคยไปยังป้ายและตึกที่อยู่ตรงหน้าของเขา ป้ายเขียนไว้ว่า “สถานพักพิงและคุ้มครองสัตว์เมืองจงหยุน”
ถึงแม้ร่างกายของเขาจะพร้อมต่อการปะทะเรียบแล้วแต่อารมณ์ของซูจิ้งในตอนนี้กลับคุกรุ่นอยู่ข้างใน
ซูจิ้งเคยมาที่นี่เพราะว่าหลิวฉิงเคยแนะนำเขา เขามาในตอนนั้นเพื่อมาแข่งล่าหมูป่า
หลังจากชนะแล้วเขายังมาที่นี่เพื่อที่จะมาจัดการเรื่องเสือโคร่งจีนใต้
ตอนนั้นถึงแม้ว่าภายนอกสถาบันแห่งนี้จะดูโทรมก็ตามแต่ภายในกลับดูหรูหรา พร้อมทั้งมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย เขาเองก็ได้กล่าวชมเชยตงเซียวคนที่เป็นผู้อำนวยการไปไม่น้อยเลย
ไม่คิดมาก่อนเลยว่าสถานที่แห่งนี้จะส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องฮอร์โมนเสริมร่างกายและเศษลูกธนูไปได้
“นายแน่ใจนะว่าเป็นที่นี่” ซูจิ้งถามย้ำไปอีกครั้ง
“มันควรเป็นที่นี่นะ หลายๆคนที่มาที่นี่เองก็ได้ถูกนำมาในสภาพมึนๆงงๆแล้วจากไป
ตอนที่ฉันมาที่นี่เองนั้นเอาจริงๆก็จำไม่ได้หรอกว่าเป็นที่ไหน แต่ด้วยการที่พ่อของฉันเป็นคนหนึ่งในองค์กร เขาเลยเผลอหลุดปากออกมา ก็น่าจะเป็นที่นี่แหล่ะ” ไป๋ฮิตูตอบกลับมา
“ที่นี่มันสถานพักพิงและคุ้มครองสัตว์นี่ ไม่ใช่ว่าดูแลแต่สัตว์หรอกหรอ หรือว่าเลิกแล้ว”
“แค่ฉากหน้าน่ะ และตอนนี้ก็ยังเป็นสถานพักพิงและคุ้มครองสัตว์อยู่ แต่ที่นี่ก็ยังมีเบื้องหลังอยู่ ถ้าจะให้ขยายความละก็เบื้องหลังที่นี่เป็นสถานที่ทำการวิจัยเครื่องมือและค้นหาบุคลากรผู้มีความสามารถ ข้างล่างนี่เองก็ยังมีฐานลับอยู่ ที่นั่นเองคือพื้นที่วิจัยที่แท้จริง”
“แล้วตงเซียวมีหน้าที่อะไรที่นี่กัน”
“เรื่องนี้ฉันไม่แน่ใจนะ ถ้าฉันเข้าใจถูกต้องล่ะก็เขาสมควรจะเป็นผู้นำขององค์กร”
ซูจิ้งได้ถอนหายใจออกมายาวๆ ได้แต่โทษตัวเองว่าในตอนนั้นเขายังมีพลังจิตไม่เข้มแข็งพอจึงไม่สามารถค้นพบเรื่องนี้ได้เร็วกว่านี้ ใครจะไปคิดว่าสถานพักพิงและคุ้มครองสัตว์จะมีเบื้องหลังแบบนี้กัน
ซูจิ้งได้โยนไป๋ฮิตูเข้าถุงกักอสูร หลังจากนั้นเปิดประตูรถแล้วเดินออกมา เขาปลดปล่อยพลังวิญญาณเพื่อตรวจสอบพื้นที่โดยรอบโดยที่มีตัวเขาเป็นศูนย์กลาง หลังจากนั้นเขาได้รีบตรงเข้าไปยังประตูของสถานพักพิงฯในทันที