“ตอนนั้นลูกคนแรกของเหวินเอ๋อร์เป็นทารกตายในครรภ์ หมอบอกว่าต่อไปนางจะคลอดลูกไม่ได้อีก ตอนนั้นข้ารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบจะถล่มลงมา หากไม่ใช่เพราะความรักใคร่เอ็นดูของคุณลุงที่มีต่อเหวินเอ๋อร์ตั้งแต่เล็ก คงจะหาเมียน้อยให้เขาตั้งแต่นางยังอยู่ไฟไม่เสร็จแล้วล่ะ” 

 

 

พี่สะใภ้ใหญ่ของจวนเฝิงพยักหน้าสำทับ “ผู้ชายน่ะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผู้สืบเชื้อสาย แรกๆ อาจจะรักและหวงแหนผู้หญิงสักปีสองปี แต่เมื่อผ่านไปนานวันเข้า ก็ไม่คิดเช่นนั้นแล้ว หากไม่มีลูกอีก ก็จะครอบครองเขาไว้ไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีเรื่องแน่ แม้แต่คนปกติทั่วไปยังเป็นเช่นนี้ อย่าพูดถึงคนฐานะร่ำรวยเลย” 

 

 

เฝิงจิ้งเหวินก็พยักหน้าสำทับ “เมื่อครั้งตอนที่ท่านพี่ได้ยินว่าข้าคลอดลูกไม่ได้อีกแล้ว ก็เจ็บปวดมาก นิสัยเขาเปลี่ยนไปกลายเป็นคนพูดน้อยลง แม้ท่านปู่จะหาเมียน้อยให้ แต่เขาก็ยืนกรานปฏิเสธ แต่ข้ารู้ว่าในใจเขานั้นต้องการลูกเพียงไหน” 

 

 

“อีกอย่างนะ ข้าเองก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน มักรู้สึกว่าตัวเองเป็นหนี้บ้านตระกูลเหวิน อย่าว่าแต่ออกไปต้อนรับแขกบ้านเลย แม้แต่ในจวนเองยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับใครเลย ไม่กล้าแม้แต่เข้าไปอยู่ในที่ที่มีคน มองคนอื่นแล้วกลับมามองตัวเอง ก็สมเพชยิ่งนัก เพราะฉะนั้นผู้หญิงน่ะ ต้องมีลูกเป็นของตัวเอง ไม่เช่นนั้นชาตินี้คงไม่มีหน้าเผชิญกับใครอีกเลย” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดพลางยิ้มว่า “ผู้หญิงที่ให้กำเนิดลูกไม่ได้แท้จริงแล้วมีปัญหามากมายเช่นนี้” 

 

 

“ใช่น่ะสิ” ฮูหยินเฝิงกล่าวต่อ “แต่ว่า ผู้หญิงที่คลอดลูกไม่ได้น่ะ น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ลองหาทั้งเมืองหลวงคงไม่พบแม้แต่คนเดียว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า  

 

 

อาจเป็นเพราะเสียงพูดคุยของพวกเขาดังไปเกินไป จนปลุกให้เจ้าเด็กน้อยที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่ร้อง อุแว้ อุแว้ ออกมา  

 

 

ฮูหยินเฝิงรีบลุกขึ้นยืน เดินไปข้างเตียงอุ้มเจ้าเด็กน้อยขึ้นมา กล่อมเด็กน้อยสองสามที  

 

 

เจ้าเด็กน้อยหยุดร้องทันที  

 

 

ทุกคนต่างลุกขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวพยุงเฝิงจิ้งเหวินเดินไปหน้าฮูหยินเฝิง มองเจ้าเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดนาง  

 

 

สามวันแล้ว เจ้าเด็กน้อยลืมตาได้แล้ว ลูกตาดำในดวงตาดวงใหญ่ใสแป๋ว มองดูทุกคน ทำเอาฮูหยินเฝิงดีใจจนอุ้มทารกในอ้อมกอดโยกไปมา  

 

 

เมื่อตอนที่คลอดเจ้าเด็กน้อยสองสามคนของบ้านนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ข้างกายตลอด แต่ความรู้สึกตอนนั้น กลับไม่ได้รู้สึกเหมือนตอนนี้ที่ซับซ้อนและมีความสุขไปพร้อมกัน นางอดใจไม่ไหวยื่นมือออกไปสัมผัสแก้มน้อยๆ ของทารก  

 

 

เจ้าเด็กน้อยเหมือนจะรู้สึกได้ถึงสัมผัสของนาง เผยรอยยิ้มออกมา  

 

 

ฮูหยินเฝิงรู้สึกอัศจรรย์ พูดว่า “ปินเอ๋อร์ชะตาตรงกับแม่นางเมิ่งเสียจริง หยอกนิดเล่นหน่อยก็หัวเราะแล้ว” 

 

 

  

 

 

วันนี้เป็นวันสำคัญ หลินหันเยียนในฐานะที่เป็นลูกบุญธรรมของฉู่เหวินเจี๋ยจึงมาด้วยเช่นกัน  

 

 

เมื่อตอนที่รับฉู่เหวินเจี๋ยเป็นพ่อบุญธรรม เฝิงจิ้งซูยังไม่ได้แต่งเข้าบ้าน หลังจากที่แม่ทัพแต่งงานแล้ว หลินหันเยียนให้เหตุผลว่าร่างกายตนอ่อนแอ เกรงว่าจะแพร่เชื้อให้ทั้งสอง จึงไม่ได้มาแสดงความยินดี ตอนนี้ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ร่างกายนางก็ดีขึ้นแล้ว วันสำคัญเช่นนี้จะไม่มาไม่ได้ แต่จะให้เรียกผู้หญิงที่อายุเท่าตนว่าแม่บุญธรรม หลินหันเยียนพูดไม่ออก ตั้งแต่ที่ตามพ่อแม่มาถึงจวนแม่ทัพก็ยืดยาดอืดอาดไม่ยอมมา จนหลังจากฮูหยินราชเลขาเร่งนางนับครั้งไม่ถ้วน จึงตามนางมาอย่างไม่เต็มใจนัก  

 

 

ตามหลักแล้ววันสี่ซาน หากไม่ใช่ญาติใกล้ชิดจะไม่ได้เข้าห้องของผู้คลอด หลินหันเยียนเป็นลูกบุญธรรมของฉู่เหวินเจี๋ย ฮูหยินของท่านราชเลขาเป็นแม่ของหลินหันเยียน ถือว่าไม่ใช่คนนอก สำหรับการมาของทั้งสองที่ไม่ได้ถูกเชิญนั้น ทุกคนก็ไม่ได้มีความเห็นอะไร  

 

 

แต่บ้านตระกูลเฝิงและบ้านตระกูลเหวินเป็นบ้านนักการค้า เทียบกับฮูหยินราชเลขาแล้วก็ต่างกันอยู่หลายระดับ ฮูหยินเฝิงที่อุ้มเด็กอยู่ เฝิงจิ้งเหวินที่ท้องแอ่นโต และพี่สะใภ้ใหญ่ของจวนเฝิงต่างคารวะฮูหยินราชเลขา  

 

 

ฮูหยินราชเลขาเคยชินกับการอยู่เหนือผู้อื่น ปกติแล้วอนุของขุนนางชั้นผู้น้อยก็ยังไม่อยู่ในสายตา อย่าพูดถึงเหล่าผู้หญิงในบ้านนักการค้าเลย แต่สถานการณ์วันนี้ไม่เหมือนกัน พวกเขาเป็นญาติมิตรของฮูหยินแม่ทัพ จะให้ความกล้าหาญเพียงใดกับนางนางก็ไม่กล้าแสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมา จึงรีบพูดให้ละเว้นการคารวะพลางยิ้มว่า “เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ต่อไปมารยาทเหล่านี้ก็ละไว้เถอะ” 

 

 

ทุกคนกล่าวขอบคุณ  

 

 

หลินหันเยียนเดินไปหน้าเฝิงจิ้งซู ถอนสายบัวคารวะ “ลูกหลินหันเยียนขอคารวะท่านแม่บุญธรรมเจ้าค่ะ” 

 

 

แม้จะเตรียมใจมานานแล้ว แต่เมื่อได้ยินหญิงสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนเรียกตนว่าแม่บุญธรรม เฝิงจิ้งซูก็เกือบจะหลุดร้องขึ้นมา ใช้ความพยายามอย่างสูงจึงพยักหน้าด้วยความฝืน พูดขึ้นว่า “ร่างกายข้ายังไม่หายดี มาต้อนรับเจ้าไม่ได้ คุณหนูหลินตามสบายเถิด” 

 

 

หลินหันเยียนมาเยี่ยมเยียนอย่างเลือกไม่ได้ ได้ยินดังนั้นก็กล่าวขอบคุณ ลุกยืนตัวตรง รับกล่องที่อยู่ในมือของสาวใช้ข้างๆ เปิดออกให้เฝิงจิ้งซูเห็น “นี่คือกุญแจอายุยืน ที่ข้าทำให้น้องชายที่เพิ่งเกิด หวังว่าท่านแม่บุญธรรมจะไม่รังเกียจนะเจ้าคะ ” 

 

 

เฝิงจิ้งเหวินส่งสัญญาณให้สาวใช้รับไว้ พูดว่า “คุณหนูหลินมีน้ำใจยิ่ง ข้าขอขอบใจแทนปินเอ๋อร์” 

 

 

หลินหันเยียนยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างๆ ก้มหน้าลง ไม่พูดอะไรอีก  

 

 

ฮูหยินราชเลขายิ้มแล้วเดินขึ้นไปข้างหน้า ส่งสัญญาณให้สาวใช้นำ**บห่อในมือมา เปิดออกแล้ววางไว้หัวเตียงของเฝิงจิ้งซู พูดว่า “นี่คือเสื้อผ้าเด็กที่ข้าทอให้เองกับมือ ฮูหยินอย่าว่าฝีมือที่ทอผ้าไม่งามนักของข้าเลยนะ” 

 

 

“ฮูหยินอย่าพูดล้อเล่นเช่นนี้สิเจ้าคะ” เฝิงจิ้งซูยิ้มและพูดว่า “ได้เสื้อผ้าที่ฮูหยินทอเองกับมือ เป็นบุญของปินเอ๋อร์เจ้าค่ะ ข้าดีใจมาก จะกล่าวว่าได้อย่างไรเจ้าคะ” 

 

 

คำพูดนี้ทำให้ฮูหยินราชเลขาดีใจมาก พูดว่า “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ฮูหยินพูดเช่นนี้ก็เกรงใจกันเกินไปแล้ว หากไม่รังเกียจ ต่อไปข้าจะทอเสื้อมาให้อีกนะ” 

 

 

เฝิงจิ้งซูไม่ได้ปฏิเสธ ตอบพลางยิ้มว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณฮูหยินมากแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮูหยินราชเลขาโบกมือ หันหลังเดินไปหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ยิ้มแล้วทักทายนาง “แม่นางเมิ่ง ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเจ้าบาดเจ็บ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถอนสายบัวคารวะ “ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว ขอบคุณฮูหยินที่เป็นห่วงนะเจ้าคะ” 

 

 

ฮูหยินราชเลขาพยักหน้าเบาๆ “อย่างนั้นก็ดี ร่างกายผู้หญิงน่ะไม่ควรบาดเจ็บนะ ไม่เช่นนั้นจะเจ็บป่วยนั่นบ้างนี่บ้าง แม่นางเมิ่งต้องพักฟื้นอีกเสียหน่อยนะ ต้องให้หายดีจริงๆ เสียก่อน” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง  

 

 

จากนั้นก็ทักทายฮูหยินเฝิง แล้วจึงพาหลินหันเยียนออกจากห้องไป สาวใช้พาทั้งสองคนเดินมุ่งไปที่เรือนต้อนรับแขกหญิงโดยเฉพาะ  

 

 

สี่ซานเป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่หวงฝู่อวี้ก็ตามมาเช่นกัน แต่ไม่ได้อยู่เฉยๆ ถูกหวงฝู่อี้เซวียนพาไปต้อนรับเหล่าขุนนางที่มาแสดงความยินดี ถึงแม้เขาเป็นลูกนอกสมรส แต่ทุกคนรู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนดูแลเขาเหมือนน้องชายแท้ๆ ของตน โดยเฉพาะเมื่อจวนเฮ่อถูกฆ่าทั้งบ้าน เฮ่อกุ้ยเฟยและองค์ชายหกตายไป แต่สถานะของหวงฝู่อวี้กลับไม่เปลี่ยนแปลง ทุกคนจึงยิ่งไม่กล้าดูถูกเขา ต่างเกรงอกเกรงใจเขา  

 

 

หวงฝู่อวี้ทำงานในโรงงานมานาน มีประสบการณ์การต้อนรับไม่น้อย เขาต้อนรับทุกคนอย่างมีมารยาทและดูแลอย่างทั่วถึง 

 

 

ทุกคนก็ยิ่งชื่นชมเขา  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนคนใจดำ เห็นเขารับมือต้อนรับแขกที่ไม่ได้เชิญได้อย่างง่ายดาย ก็ถือโอกาสหนีไปที่อื่น ให้เขาดูแลทุกอย่าง ตลอดทั้งเช้านี้ หวงฝู่อวี้ยิ้มจนปวดแก้ม กว่าจะได้มีเวลาว่างนั่งลงพักผ่อน เมื่อเห็นหลินหันเยียนและฮูหยินราชเลขาออกมาจากเรือนฝั่งนี้ ก็รีบเดินไปกล่าวทักทายว่า “เยียนเอ๋อร์ ร่างกายเจ้าดีแล้วหรือ” 

 

 

จากนั้นจึงหันไปทักทายฮูหยินราชเลขา “ท่านป้า” 

 

 

สีหน้าไม่เป็นธรรมชาติของฮูหยินราชเลขาปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มและพูดว่า “คุณชายรองก็มาด้วยหรือ” 

 

 

“ขอรับ” หวงฝู่อวี้ตอบ “ท่านลุงและเสด็จพ่อให้ข้ามาช่วยน่ะขอรับ” 

 

 

ท่าทีฮูหยินราชเลขาชะงักไปชั่วครู่  

 

 

หลินหันเยียนมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่ได้เจอกันปีกว่า ตัวเขาสูงขึ้น ดูสูงสง่ามากขึ้น และยังแผ่ซ่านไปด้วยกลิ่นอายความมั่นคง ไม่เหมือนกับคนในความทรงจำที่เคยเล่นกับนางตอนเด็กๆ คนนั้นแล้ว  

 

 

เมื่อเห็นนางไม่พูด มัวแต่พินิจพิเคราะห์ตน หวงฝู่อวี้พูดพลางหัวเราะว่า “ไม่ได้เจอกันเพียงไม่ถึงปี  เยียนเอ๋อร์จำข้าไม่ได้แล้วหรือ” 

 

 

หลินหันเยียนไม่ได้พูดอะไร ฮูหยินราชเลขาเอ่ยปาก “คุณชายรอง ตอนนี้พวกเจ้าโตกันแล้ว เจ้ายังเรียกเยียนเอ๋อร์เช่นนี้ หากใครมาได้ยินเข้า ข่าวลือคงแพร่ไปทั่วเมืองหลวงอีก เจ้าน่ะ ต่อไปเรียกคุณหนูหลินเถอะ” 

 

 

หวงฝู่อวี้ชะงัก มองไปที่หลินหันเยียน  

 

 

หลินหันเยียนเม้มปากไม่พูดอะไร  

 

 

ปีนี้ผ่านเรื่องราวมามากมาย แม้หวงฝู่อวี้จะทำตัวเหลวไหลอย่างไรเขาก็เติบโตขึ้นเยอะแล้ว ไหนจะความตั้งใจบ่มเพาะของเมิ่งเชี่ยนโยวอีก ที่ให้เขาดูแลการเจรจาการค้าในโรงงาน ได้พูดคุยและทำการค้ากับคนมากหน้าหลายตา ซึ่งทำให้เขาได้เรียนรู้มากมาย เมื่อฮูหยินราชเลขาพูดจบ หวงฝู่อวี้ก็เข้าใจความหมายของนางทันที นางต้องการให้ตนกับหลินหันเยียนแบ่งแยกให้ชัดเจน พูดตรงๆ ก็คือสถานะของตนไม่เหมาะที่จะไปมาหาสู่กับนางแล้ว เขามองหลินหันเยียน ถามเสียงเบาว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าก็คิดเช่นนี้หรือ” 

 

 

หลินหันเยียนก้มหน้าไม่พูดอะไร  

 

 

หวงฝู่อวี้พยักหน้า หัวเราะให้ตนเอง “เข้าใจแล้ว ต่อไปหากพบเจอคุณหนูหลินอีก ข้าจะไม่ทักทายก่อนแล้ว” พูดจบก็มองตานางด้วยความลึกซึ้งอีกครั้ง หันหลังกลับ เดินจากไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์  

 

 

หลินหันเยียนกัดปากตนแน่น มองแผ่นหลังที่จากไปของเขา พลันเกิดความรู้สึกขมขื่นในใจอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

ฮูหยินราชเลขาดึงแขนนางทีหนึ่ง ให้นางมองมาที่ตนเอง จ้องตานางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เยียนเอ่อร์ เจ้าจะทำตัวโง่เง่าไม่ได้นะ ตอนนี้สถานะของเขาเป็นเพียงลูกนอกสมรสที่ไม่เอาไหน และก็ยังไม่มีคนนอกคอยเกื้อหนุน ภพนี้ไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโตหรอก แต่เจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าเป็นลูกแท้ๆ ของภรรยาเอก และยังมีท่านแม่ทัพเป็นพ่อบุญธรรม สถานะของเจ้าสูงส่งกว่าเขาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ จากนี้ไป เจ้าห้ามไปมาหาสู่กับเขาอีก จะได้ไม่มีข่าวลือมาทำลายชื่อเสียงของเจ้าเสียเปล่า” 

 

 

หลินหันเยียนก้มหน้าไม่พูดอะไรอีกครั้ง  

 

 

น้ำเสียงฮูหยินราชเลขากังวล ถามนางอย่างร้อนรน “ที่แม่พูดไปเจ้าจำไว้แล้วใช่ไหม” 

 

 

หลินหันเยียนเงยหน้า ถามว่า “ท่านแม่ ลูกยังมีชื่อเสียงอยู่ใช่ไหมเจ้าคะ” 

 

 

ฮูหยินราชเลขาชะงัก  

 

 

หลินหันเยียนก้มหน้าอีกครั้ง  

 

 

หวงฝู่อวี้ที่อยู่ไกลออกไปเห็นทุกอย่างตรงหน้า หลบตาลงต่ำ  

 

 

หวงฝู่อวี้ที่หันหลังจากไป ในใจรู้สึกโหวงๆ นัยน์ตาพลันร้อนรุมๆ เงยหน้าขึ้น แล้วหลับตาลงเพื่อไล่น้ำตากลับไป เมื่อลืมตาอีกครั้ง นัยน์ตาก็ไม่แสดงอาการใดๆ อีก เผยรอยยิ้มบนใบหน้าอีกครั้ง แล้วจึงเดินเข้าไปในเรือนต้อนรับแขกต่อ  

 

 

พิธีสี่ซานที่ครึกครื้นจบลง ของที่แขกให้วางสุมกันจนเต็มเกือบครึ่งห้อง หลังจากส่งแขกกลับแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยสั่งให้คนใช้บันทึกไว้ให้ดี แล้วนำไปเก็บในห้องเก็บของ จากนั้นก็เหนื่อยจนเอนตัวลงบนเก้าอี้ พูดกับอ๋องฉีว่า “ท่านพี่ การต้อนรับแขกนี่เหนื่อยจังเลย เหนื่อยกว่าข้าออกไปรบเสียอีก” 

 

 

อ๋องฉีรู้สึกสับสนใจใน เขาดีใจที่ฉู่เหวินเจี๋ยมีทายาทแล้ว แต่เมื่อนึกถึงเมิ่งเชี่ยนโยวมีลูกยากก็เสียใจอีก หลังจากฝืนตนเองคอยต้อนรับแขกเหล่านี้ ตอนนี้เขาเองก็เหนื่อยทั้งกายและใจนัก เอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลายไม่สนภาพลักษณ์ ถือแก้วชาใบหนึ่งในมือไม่พูดอะไร  

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยคิดว่าเขาคงเหนื่อยแล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ นั่งเป็นเพื่อนเขาเงียบๆ  

 

 

เหวินซื่อไม่วางใจสภาพเฝิงจิ้งเหวินที่เป็นเช่นนี้ จึงส่งนางกลับไปพักผ่อนตั้งแต่แรกแล้ว  

 

 

ท้ายสุดจึงส่งฮูหยินเฝิงและพี่สะใภ้ใหญ่จวนเฝิงกลับไป พระชายาฉีค่อยโล่งใจ นั่งพักผ่อนกับเมิ่งเชี่ยนโยวครู่หนึ่งในห้องของเฝิงจิ้งซู  

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของนาง เฝิงจิ้งซูพูดอย่างขอบคุณว่า “โชคดีที่วันนี้มีพระชายาฉีและพี่โยวเอ๋อร์ช่วย ขอบคุณพวกท่านมากนะเจ้าคะ” 

 

 

พระชายาฉีผู้ซึ่งพูดโน้มน้ามให้นางแก้ชื่อเรียกตนให้เหมือนฉู่เหวินเจี๋ยเรียกตนว่าพี่หลายครั้งแล้วไม่ได้ผลนั้น ก็พูดขึ้น “ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น พูดเช่นนี้ทำไม เจ้าน่ะ ดูแลพักฟื้นดีๆ ต่อไปจะได้ช่วยบ้านตระกูลฉู่ของเราแตกหน่อต่อไปอีก ส่วนเรื่องอื่น เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” 

 

 

เฝิงจิ้งซูหน้าแดง  

 

 

หลังจากกำชับนางให้อยู่ไฟจนฟื้นตัวดีแล้ว พระชายาฉีและคนที่เหลือก็ออกจากจวนแม่ทัพ  

 

 

อ๋องฉีและพระชายาฉีนั่งรถม้าคันเดียวกัน หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งคันเดียวกัน ส่วนหวงฝู่อวี้นั่งคนเดียว  

 

 

เมื่อถึงทางแยก หวงฝู่อี้เซวียนไปหนานเฉิงพร้อมกับเมิ่งเชี่ยนโยว พระชายาฉีเปิดม่านรถ มองดูรถม้าที่ไกลออกไป น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสุขก็ดังขึ้น “ท่านอ๋อง ไม่แน่ปีหน้าจวนอ๋องของเราก็จะมีสมาชิกเพิ่มเร็วๆ นี้แล้วนะเพคะ” 

 

 

อ๋องฉีไม่พูดอะไร  

 

 

พระชายาฉีมองเขาอย่างประหลาดใจ ถามอีกครั้งว่า “ท่านอ๋อง ท่านมีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่าเพคะ”