เขาเงยหน้ามองนาง แม้จะเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน แต่ไม่มีร่องรอยความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของนางให้เห็นเลย อ๋องฉีปริปาก คำพูดที่ติดอยู่ในปากกลับเปลี่ยนกลายเป็น “ไม่ได้ต้อนรับแขกมากมายขนาดนี้มานานแล้ว รู้สึกเหนื่อยน่ะ”

 

 

ได้ยินดังนั้น พระชายาฉีขยับเข้าไปใกล้ ส่งสัญญาณให้เขาหันหลังไป ตนยืนคุกเข่าข้างหลัง ยื่นมือไปวางบริเวณไหล่ของเขา แล้วนวดอย่างเบามือ “วันนี้ลำบากท่านอ๋องแย่เลยนะเพคะ”

 

 

ตลอดหลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่พระชายาฉีทำกับเขาเช่นนี้ อ๋องฉีรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ยื่นมือไปตบมือนางเบาๆ “พระชายาก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พักผ่อนหน่อยเถอะ”

 

 

พระชายาฉียังคงนวดต่อไป “ท่านอ๋อง เราเป็นสามีภรรยากัน หากมีเรื่องอะไร ขอแค่ท่านบอกหม่อมฉัน แม้หม่อมฉันอาจจะช่วยแก้ปัญหาไม่ได้ แต่หม่อมฉันก็เผชิญหน้าด้วยกันกับท่านได้นะเพคะ”

 

 

อ๋องฉีเกือบจะพูดเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวมีลูกยากออกมา โชคดีที่เมื่อคำพูดมาถึงปากแล้วก็ถูกกลืนกลับไปอีกครั้ง แล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่มีอะไรหรอก เรื่องในวังน่ะ สักสองสามวันจัดการแล้วก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”

 

 

ผู้หญิงไม่ยุ่งเรื่องการเมือง เมื่อเป็นเรื่องในวัง พระชายาฉีก็ไม่ได้ซักไซร้ต่อ

 

 

บนรถม้าอีกคัน เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางพูดหยอกหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ซื่อจื่อ ท่านกลับบ้านตามข้ามาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เดี๋ยววันไหนพระชายาพบข้าก็จะบอกว่าข้าลักพาตัวลูกชายนางไปอีกหรอก”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนผู้ซึ่งนั่งเอนและปล่อยตัวพิงในรถม้าอย่างไม่สนใจภาพพจน์นั้น เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น ก็ยิ้มแล้วลุกนั่งขึ้น ดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด หัวเราะแล้วพูดว่า “ตอนนี้เสด็จแม่มีความสุขอยู่น่ะ เพราะว่าลูกนางที่ถูกลักพาตัวไปคนนี้ อีกไม่นานก็จะลักพาตัวลูกสะใภ้คนหนึ่งกลับไปให้นาง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วมองค้อนเขาทีหนึ่ง ยื่นมือไปโอบคอเขาไว้ ประชิดหน้าจูบเบาๆบนริมฝีปากของเขาดั่งแมลงปอเดินบนผิวน้ำ “พระชายาซื้อขายเก่งจัง แค่ปล่อยให้ลูกตนออกไปสองเดือน แต่ลูกสะใภ้ที่ลักพาตัวกลับมากลับต้องอยู่ในจวนอ๋องไปตลอดชีวิต”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนจะพลาดโอกาสดีเช่นนี้ได้อย่างไร เขาก้มหน้าลงไปจูบนาง จนทั้งสองหอบหายใจจึงผละออกจากกัน พูดพลางหอบหายใจว่า “หลังจากแต่งงานแล้ว หากเจ้าไม่อยากอยู่จวนอ๋อง เราย้ายไปอยู่บ้านเจ้าก็ได้นะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพรวดออกมา “ซื่อจื่อถูกความรักเข้าครอบงำแล้วหรือ อย่าลืมสถานะของเจ้าสิ หลังจากแต่งงาน หากมาอาศัยอยู่บ้านข้า เราจะถูกขี้ปากคนอื่นทับถมตายเอานะ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะ หอมแก้มนาง พูดอย่างโอหังว่า “ในเมืองหลวงนี้ข้ามีชื่อเสียงเป็นหนึ่งเรื่องกลัวเมีย ใครเขาจะกลัวขี้ปากคนอื่นล่ะ”

 

 

เสียงหัวเราะคิกคักอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ของชิงหลวนดังขึ้นจากข้างนอก นางรีบป้องปากตัวเอง พูดอมยิ้มว่า “ซื่อจื่อ นายหญิง ท่านทั้งสองเชิญต่อเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไอกระแอมอย่างไม่เป็นธรรมชาติไปสองที เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะและซบลงบนตัวของเขา

 

 

นอกรถม้า ชิงหลวนและจูหลีใบหน้ายิ้มแย้ม มุมปากของกัวเฟยก็เผยรอยยิ้มเช่นกัน

 

 

คนทั้งขบวนกลับบ้านอย่างมีความสุข

 

 

สำหรับเรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนเกาะแจอยู่ในจวนไม่ยอมกลับ แม้แต่นายประตูและคนใช้ในจวนก็เห็นจนชินแล้ว หากวันไหนเขาไม่มา ทุกคนกลับรู้สึกไม่ชิน

 

 

แน่นอนว่าเรื่องนี้ไปถึงหูของหวงฝู่ซวิ่น เขาจะปล่อยโอกาสอันดีที่จะเย้ยหยันหวงฝู่อี้เซวียนไปได้อย่างไร จึงหาเวลาว่างพาองครักษ์เงานั่งรถม้ามือโบกพัดอย่างสบายใจจนไปถึงบ้านของเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

นายประตูจำเขาได้ รีบจะเข้าไปรายงาน หวงฝู่ซวิ่นโบกมือ ส่งสัญญาณว่าไม่ต้อง แล้วตนก็เดินจ้ำอ้าวเข้าไปตรงไปที่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว พูดส่งเสียงเข้าไปในห้องว่า “เจ้าคนคลั่งรัก ยังไม่ออกมาต้อนรับข้าอีกรึ”

 

 

ในห้องไม่มีเสียงตอบรับ

 

 

หวงฝู่ซวิ่นกำลังสงสัย เก้าอี้ตัวหนึ่งก็บินลอยมาทางเขา

 

 

หวงฝู่ซวิ่นตกใจ รีบหลบ ครั้นกำลังจะพูดขึ้น เงาของหวงฝู่อี้เซวียนก็เหินเหาะออกมาจากในเรือน บุกตรงไปหาเขาอย่างไม่เกรงใจ

 

 

เมื่อหลบเก้าอี้ไปได้แล้ว หวงฝู่ซวิ่นรีบออกท่าอย่างวุ่นวาย พูดอย่างกระหืดกระหอบว่า “เจ้าคนต่ำทราม เดี๋ยวนี้รู้จักซุ่มโจมตีแล้วหรือ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร แสดงทุกกระบวนท่าอย่างแม่นยำ จนเขาถอยหลัง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านประตูเดินออกมาจากในห้อง ยืนดูทั้งสองต่อสู้อยู่หน้าประตู

 

 

หวงฝู่ซวิ่นเห็นนางประหนึ่งวีรสตรี รีบร้องตะโกนว่า “น้องโยวเอ๋อร์ เจ้าช่วยหยุดเขาหน่อย ข้าเป็นถึงไท่จื่อเชียวนะ เขาไม่ไว้หน้าข้าเลย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดเสียงดังด้วยหน้าตาจริงจังกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “อี้เซวียน เจ้าอย่าลงมือหนักเกินไป เอาแค่จมูกช้ำหน้าบวม ทำอะไรเองไม่ได้สักครึ่งเดือนก็พอแล้ว อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงไท่จื่อผู้สูงส่ง”

 

 

พรึบ พรึบ เมื่อนางพูดจบ ก็มีเงาร่างมากมายหล่นมาจากทุกทิศ นอนหน้าคว่ำลงบนพื้นอย่างไร้ซึ่งภาพลักษณ์

 

 

หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกว่าตนถูกทำร้ายนับครั้งไม่ถ้วน ร้องอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าคนใจดำทั้งสองคน ทำอย่างนี้กับข้ากรรมตามสนองแน่”

 

 

“อี้เซวียน” เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกเสียงอ่อนโยน พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าลงมือหนักหน่อย เจ้าคนที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นไท่จื่อตัวปลอมแน่ๆ”

 

 

องครักษ์เงาที่ร่วงลงบนพื้นและพยายามลุกขึ้นนั้น คิดในใจว่า คนที่กล้าพูดเช่นนี้กับไท่จื่อบนโลกใบนี้ คงมีเพียงซื่อจื่อและองค์หญิงชิงเหอแล้วล่ะ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนได้รับแรงสนับสนุน เข้าจู่โจมรวดเร็วกว่าเดิม

 

 

หวงฝู่ซวิ่นเลิกเล่นหยอกล้อ ตั้งใจต่อสู้กับเขา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินอ้อมพวกเขาไปอย่างระมัดระวัง และตรงเข้าไปในห้องครัว

 

 

นางไม่ได้เข้าครัวนานแล้ว เมื่อแม่ครัวและสาวใช้ทั้งสามเห็นก็ตกใจ รีบห้ามว่า “นายหญิง ซื่อจื่อบอกแล้ว ต่อไปไม่ให้ท่านเข้าครัว หากท่านอยากกินอะไรให้บอกพวกข้า ท่านออกไปเถอะเจ้าค่ะ”

 

 

“วันนี้มีแขกพิเศษมา ฝีมือของพวกเจ้าเขาไม่ยอมกินหรอก ให้ข้าทำเองเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด

 

 

ฝีมือของตนสู้นายหญิงไม่ได้จริงๆ พวกเขามองหน้ากันไปมา พูดขึ้นว่า “ก็ได้เจ้าค่ะ ท่านลงแค่ครัวร้อนนะเจ้าคะ ที่เหลือพวกข้าทำเอง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยักหน้า สั่งให้พวกเขาเก็บผัก หั่นเนื้อ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่ซวิ่นสู้กันอย่างดุเดือด ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด สู้กันตั้งแต่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยวจนถึงพื้นที่ว่างในจวน จนทำให้กัวเฟย ชิงหลวน และจูหลีรวมถึงองครักษ์ลับต่างมามุงดู

 

 

องครักษ์เงาของหวงฝู่ซวิ่นที่ล้มไปสองครั้งจนจมูกช้ำหน้าบวมแล้วก็ไม่ซ่อนตัวอีกต่อไป ยืนมองอยู่ไกลๆ เหมือนทุกคน

 

 

ฝีมือการต่อสู้ของทั้งสองไม่ต่างกันมาก แต่หวงฝู่อี้เซวียนเข้าจู่โจมอย่างไม่เลิกละราวกับเอาความโมโหทั้งหมดมาลงที่เขา หวงฝู่ซวิ่นเกือบจะรับมือไม่ไหว ถูกหมัดของหวงฝู่อี้เซวียนต่อยเข้าอย่างจังไปสองสามที

 

 

เมื่อทำอาหารเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่หน้าห้องอาหาร แล้วตะโกนเรียกไปทางผู้คนในเรือนว่า “อาหารทำเสร็จแล้ว…”

 

 

ยังไม่ทันพูดจบ เงาของผู้คนก็พลันหายวับไป แม้แต่องครักษ์เงาของหวงฝู่ซวิ่นก็ชิงกันเหาะเหินไปทางห้องครัว ช่วยไม่ได้จริงๆ อาหารที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำอร่อยเกินหักห้ามใจ หลังจากที่พวกเขาเคยได้กินไปสองสามหน ก็ลืมไม่ลงอีกเลย

 

 

คนในจวนก็รีบไปไม่แพ้กัน เมิ่งเชี่ยนโยวบาดเจ็บมานานขนาดนี้ กว่าจะได้ลงมือทำอาหารเอง หากไปช้า คงแย่งไม่ทันคนอื่น

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนผละตัวออก กระโดดไปข้างหน้านาง หายใจหอบเล็กน้อย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนำผ้าเช็ดหน้าออกมา ช่วยเช็ดเหงื่อบนใบหน้าเขา แล้วจึงเดินเข้าไปห้องอาหาร

 

 

ใครบางคนที่ประจักษ์ทุกอย่างเบื้องหน้าก็กรอกตามองบน เดินตามเข้าไปในห้องอาหาร นั่งบนหัวโต๊ะอย่างไม่เกรงใจ

 

 

คนใช้ยกอาหารมาวาง หวงฝู่ซวิ่นหยิบตะเกียบขึ้นมาทานอย่างมูมมามทันที

 

 

เสียงไม่พอใจของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “รายได้พระคลังตอนนี้คงไม่ขาดแคลนหรอก เจ้าเป็นถึงไท่จื่อ แต่ทำประหนึ่งคนไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน ไม่มีพิธีรีตองเลย”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นกลืนข้าวที่อยู่ในปากลงไป ตอบโต้กลับไปว่า “พิธีรีตองกินไม่ได้ เอามันมาทำอะไร”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสำลัก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะส่ายหน้า คีบผักใส่ในชามข้าวเขา “เจ้ารีบกินเถอะ คุยกับคนหน้าด้านบางคนแถวนี้มีแต่จะอารมณ์เสียเปล่าๆ”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นสำลัก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนอารมณ์ดีขึ้นมา ยกชามข้าวขึ้นทานอย่างผู้ดี

 

 

พูดตามจริง อาหารที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำนั้นอร่อยมาก ที่สำคัญกว่านั้นคือการกินข้าวที่นี่ไม่รู้สึกมีภาระ ไม่ต้องกังวลว่ามีคนแอบใส่ยาพิษ และก็ไม่ต้องมีคนจุ้นจ้านคอยยืนเฝ้าข้างๆ หวงฝู่ซวิ่นจึงกินมากกว่าปกติ วันนี้ก็เช่นกัน

 

 

หวงฝู่ซวิ่นลูบท้องที่ป่องของตนเอง พลางเรออกมาอย่างอิ่มเอมใจ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งระอาเขา “กินอิ่มแล้วก็รีบไสหัวไปซะ อย่าเอาแต่ทำตัวน่ารำคาญอยู่ที่นี่”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นเคยชินกับท่าทีของเขาเช่นนี้มานานแล้ว ไม่ได้สนใจอะไร นั่งตัวตรงแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “พวกเจ้าใกล้จะแต่งงานกันแล้ว บอกข้าเถอะว่าอยากได้ของขวัญอะไร ในฐานะพี่ใหญ่ข้าทำให้พวกเจ้าแน่นอน”

 

 

ประโยคนี้ค่อยน่าฟังหน่อย หวงฝู่อี้เซวียนพูดว่า “ของขวัญน่ะไม่ต้องหรอก ขอแค่เจ้าอย่ามาปรากฎต่อหน้าพวกเราอีกก็พอ”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นโบกมือ “เรื่องนี้ยากไปหน่อยนะ เจ้าเปลี่ยนอีกอย่างเถอะ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสะอึก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะ

 

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ก็สิ้นเดือนเก้าแล้ว จวนถึงงานสมรสเต็มที มีงานที่ต้องเตรียมในจวนมากมาย หวงฝู่อี้เซวียนจึงอยู่เป็นเพื่อนเมิ่งเชี่ยนโยวตลอดทุกที่ทุกเวลาไม่ได้แล้ว

 

 

ในขณะที่ไม่มีหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ข้างกาย เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกเศร้าเหงา แต่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สั่งชิงหลวนว่า “ให้กัวเฟยไปจูงรถม้ามา เราไปร้านยาเต๋อเหรินกัน”

 

 

ชิงหลวนขานรับ

 

 

กัวเฟยเก็บกวาดรถม้าเสร็จอย่างรวดเร็ว เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งรถม้าไปถึงร้านยาเต๋อเหริน

 

 

วันกำหนดคลอดของเฝิงจิ้งเหวินก็ใกล้จะถึงแล้ว นอกจากเหวินซื่อจะมาคิดบัญชีทุกวันแล้ว เวลาที่เหลือเขาก็อยู่กับนางตลอดไม่จากไปไหนเลย ตอนนี้เขาจึงไม่อยู่ในร้านยาเต๋อเหริน

 

 

แต่คนดูแลของร้านยาเต๋อเหรินจำนางได้ ต้อนรับนางอย่างเป็นมิตร “แม่นางเมิ่ง ท่านมาแล้วหรือขอรับ นายท่านของเราไม่อยู่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า กวาดตามองไปรอบโถงห้อง เมื่อเห็นหมออาวุโสที่เคยรักษาเฝิงจิ้งเหวิน ก็พูดกับลูกน้องว่า “เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ ข้ามีธุระคุยกับหมออาวุโสหน่อย”

 

 

ลูกน้องขานรับ นำทางนางพาไปหยุดอยู่หน้าหมออาวุโส แล้วจึงถอยออกมา

 

 

หมออาวุโสจำนางได้ ทักทายนางด้วยรอยยิ้ม “แม่นางเมิ่งมาแล้วหรือ มีอะไรให้ข้าช่วยเหลือหรือ”

 

 

มีคนไข้อยู่ในโถงเยอะ เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดเสียงเบาว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะรบกวนหมออาวุโสเจ้าค่ะ แต่ว่าตรงนี้คนเยอะไป ท่านตามข้าขึ้นไปข้างบนหน่อยได้หรือไม่”

 

 

ชิงหลวนและจูหลีก็จะตามขึ้นไปเช่นกัน เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งทั้งสองคน “ข้าจะขอปรึกษาวิชาแพทย์กับหมออาวุโสหน่อยน่ะ พวกเจ้าสองคนเฝ้าที่ตีนบันไดนะ ห้ามให้ใครขึ้นมา”

 

 

ทั้งสองขานรับ ไม่มีคำถาม ยืนเฝ้าอยู่ทั้งสองฝั่งของบันได

 

 

ทั้งสองเดินถึงชั้นสอง เมิ่งเชี่ยนโยวผลักประตูเชิญหมออาวุโสเข้าไป นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ทางซ้ายมือ ยิ้มแล้วเอ่ยปากว่า “ก่อนหน้านี้ข้าบาดเจ็บ หมออาวุโสน่าจะได้ยินแล้ว”

 

 

หมออาวุโสพยักหน้า “ได้ยินว่าแม่นางอาการสาหัส เกือบจะเสียชีวิต ดีที่เจ้ามีบุญสูงส่ง รอดชีวิตมาได้ ต่อไปจะต้องมีแต่ความโชคดีแน่ๆ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเบาๆ “ท่านอาจจะไม่ทราบว่าข้าบาดเจ็บบริเวณท้อง”

 

 

หมออาวุโสชะงัก ถามเกริ่นขึ้นว่า “จุดประสงค์ที่วันนี้แม่นางเมิ่งมาหาข้าคือ…”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ปิดบัง “ข้าอยากให้ท่านช่วยดู ว่าการบาดเจ็บครั้งนี้มีผลกระทบอะไรกับร่างกายข้าหรือเปล่า”

 

 

หมออาวุโสเคยอาบน้ำร้อนมาก่อน รู้ทันทีว่านางหมายถึงอะไร เขาพยักหน้า “รบกวนแม่นางเมิ่งยื่นมือมา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือไปวางบนโต๊ะ

 

 

หมออาวุโสก็ไม่ได้หลีกเลี่ยง นำมือของตนแตะลงบนชีพจรของนาง ขมวดคิวคิดอยู่นาน จึงปล่อยมือ “รบกวนแม่นางยื่นมืออีกข้างมา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทำตาม

 

 

ผ่านไปนาน หมออาวุโสจึงเก็บมือ ถามว่า “แม่นางเมิ่งรู้สึกตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ท่านก็น่าจะรู้ ข้าพอรู้วิชาแพทย์มาบ้าง แต่ไม่ค่อยแน่ใจกับร่างกายของตน วันนี้จึงมาขอคำยืนยันจากท่าน”

 

 

หมอย่อมไม่รักษาหมอกันเอง หมออาวุโสรู้เรื่องนี้ดี มองไปที่นาง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แม่นางเมิ่งพูดถูก ร่างกายของเจ้าได้รับความเสียหายใหญ่หลวงจริงๆ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา รอคำพูดที่เหลือของเขา

 

 

หมออาวุโสกัดฟัน พูดต่อว่า “อาการบาดเจ็บของเจ้าสาหัสเกินไป ต่อไปคงจะมีบุตรยาก”