ส่วนทางอีกทางหนึ่ง
บ้านตระกูลอนันต์ธชัย
อาคิระนั่งอยู่บนโซฟา เอกสารเป็นกองวางอยู่ตรงหน้า เขากำลังทำงานอยู่
ลุงสินยืนอยู่ด้านข้าง แล้วเก็บกลืนคำพูดที่กำลังออกจากปาก
“มีเรื่องอะไรเหรอ?”
ปลายปากกาของอาคิระชะงักไป แล้วกวาดสายตามองไป
ลุงสินพูดว่า “คุณชายครับ ตั้งแต่คุณชายน้อยกลับมา เขาก็ไม่ยอมกินและไม่ยอมดื่มอะไรเลยครับ”
“อาหารไม่ถูกปากเหรอ?” อาคิระถามด้วยเสียงเรียบ
“ผมคิดว่าน่าจะคิดถึงคุณหญิงครับ”
ทันใดนั้น อาคิระก็ปั้นหน้าเย็นชาทันที แล้วพูดด้วยความอาฆาต “จำไว้ อย่าพูดถึงผู้หญิงคนนั้นในบ้านตระกูลอนันต์ธชัยอีก”
“ครับ”
ลุงสินตอบกลับอย่างระมัดระวัง ตอบจบก็พูดขึ้นอีก “คุณชายน้อยจะทำยังไงครับ?”
อาคิระขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เขาพูดว่า “โทรหาพนาวัน ถามว่าเขาชอบกินอะไร”
ลุงสินลอบคิดในใจลึกๆ อนุญาตผู้ว่าวางเพลิง ห้ามประชาชนจุดตะเกียง
ทว่า เขากลับไม่กล้าพูดประโยคแบบนี้ออกมา
จากนั้น ก็โทรหาพนาวัน ทั้งยังถือโอกาสเปิดลำโพง
“ฮาโหล ลุงสิน โทรหาฉันเพราะหมีพูลเกิดอะไรเหรอ” น้ำเสียงของพนาวันกระวนกระวายมาก
“เปล่าครับ คุณหญิง…”
พอสัมผัสถึงสายตาที่กวาดมองมานั้น ลุงสินก็รีบเปลี่ยนวิธีเรียกเพราะยังหวังว่ายังอยากมีชีวิตอยู่ “คุณพนาวันครับ คุณชายน้อยชอบกินอะไรครับ?”
พูดถึงหมีพูล พนาวันพูดด้วยเสีบงทั้งเบาและอ่อนโยน “กระเพาะของหมีพูลไม่ดี วันหนึ่งต้องกินข้าวต้มสองครั้ง อาหารที่กระตุ้นกระเพาะ จะได้กินแค่บางครั้ง…”
“อีกอย่าง ขาของหมีพูลก็ยังไม่ค่อยดี รบกวนคุณพาเขาไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกครั้ง”
“เขาก็ไม่ชอบดื่มนมจืด ฉะนั้นตอนดื่มนมจืดสดๆ ต้องใส่น้ำตาลเข้าไปหน่อย”
ลุงสินพยักหน้า “ผมจำไว้แล้วครับ แค่นี้ก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
พลาวันพูดขึ้นต่อ “เขาไม่ชอบกินเกี๊ยวที่ซื้อจากด้านนอก ถ้าสะดวก ฉันสามารถส่งเกี๊ยวที่ตัวเองทำไปค่ะ”
ลุงสินยังไม่ทันพูดอะไร อาคิระพูดด้วยเสียงเรียบ “ไม่สะดวก อย่าให้เธอเข้ามาในบ้านตระกูลอนันต์ธชัยแม้แต่ก้าวเดียว!”
พนาวันที่ถือสายอยู่ ก็ได้ยินอย่างชัดเจน
เธอกัดฟัน เล็บของเธอแทงเข้ากลางฝ่ามือ ทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อย
ลุงสินทนดูไม่ได้ จึงปลอบโยนขึ้น “คุณพนาวันวางใจเถอะ มีคนดูแลคุณชายน้อยเป็นพิเศษ และคอยดูอาการของคุณชายน้อยด้วย พวกนี้ต้องไม่มีปัญหาแน่นอน”
พนาวันนิ่งงัน แล้วพูดว่า “ก็ใช่ค่ะ”
จากนั้น ก็ถูกวางสายอย่างไร้เยื่อใย
ไม่โทรสายนี้ก็ค่อยยังดี เธอยังอดทนไว้ได้ ยังใจนิ่งเหมือนผืนน้ำ
ทว่าตอนนี้ ใจของเธอกลับนิ่งไม่อยู่อีก
ลุงสินไม่มีทางโทรหาเธออย่างไม่มีเหตุผล หมีพูลต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ๆ
ระหว่างหมีพูลและอาคิระห่างกันเกินไป ไม่ได้ดีไปกว่าคนแปลกหน้าเลย
เธอเป็นห่วงมาก หมีพูลจะหิวไหม กินอะไรหรือยัง อยู่ที่โน่นอิสระหรือไม่ ร้องไห้หรือไม่
หรือว่า ตอนนั้นการเลือกของเธอนั้นผิดพลาดไป
ถ้าตอนนั้นไม่ตกลงแต่งงานกับอาคิระ ตระกูลอนันต์ธชัยเอาเด็กไปโดยตรง เธอก็จะเจ็บปวด เจ็บปวดจนแทบจะขาดใจ
แต่หมดหวังไปก็ดี นั่นคือวิธีการเจ็บปวดที่สะใจที่สุดแล้ว
เฉียบขาดกับปัญหาที่วุ่นวายให้เร็วที่สุด ตัดขาดเลยทีเดียว จะได้ไม่ต้องเจ็บไปนานๆ
วันนี้เธอมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขนาดนี้กับหมีพูล จะกลายเป็นการเจ็บไปนานๆ เจ็บไปถึงกระดูกดำ
การเจ็บแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะหยุดลง
…
บ้านตระกูลอนันต์ธชัย
ลุงสินให้คนใช้ต้มเกี๊ยว แล้วส่งไปในห้องชั้นบน
หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป คนใช้ก็ยกถ้วยลงมาอีก
ลุงสินถามว่า “กินแล้วเหรอ?”
คนใช้ส่ายหัว “เปล่าคะ ลุงสินไปดูหน่อยเถอะค่ะ สองวันแล้วที่ไม่ยอมกินอะไรเลย ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ต้องเกิดปัญหาขึ้นแน่นอนค่ะ”
ลุงสินขึ้นไปบนห้อง
แค่เห็นร่างน้อยๆ ของหมีพูลนั่งอยู่บนระเบียง ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา ไม่ยอมกินหรือดื่มอะไรเลย
ตั้งแต่เด็กจนถึงโต เขาไม่เคยแยกกับแม่เลย
ดูท่าทางที่น่าสงสารนั้น ลุงสินก็รู้สึกเจ็บปวดใจ
“คุณชายน้อย ต้มเกี๊ยวเสร็จแล้ว มากินหน่อยเถอะครับ?”
หมีพูลส่ายหัว “ไม่กิน ผมจะเอาแม่ จะกลับบ้าน”
“เฮ้อ…” ลุงสินถอนหายใจยาว “คุณชายน้อย ที่นี่คือบ้านของคุณ อีกอย่าง วันข้างหน้าอย่าพูดเอ่ยถึงแม่คุณอีก”
หมีพูลไม่พูดไม่จา แล้วหันไปทางอื่น
เขาดื้อดึงเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมยังไง ยังคงไม่ยอมกินแม้แต่คำเดียว
ลุงสินเกลี้ยกล่อมไปพักใหญ่ กล่อมจนน้ำลายในปากแห้งไปแล้ว ก็ยังไม่มีประโยชน์เลยสักนิด
พอทำอะไรไม่ได้ เขาก็ทำได้เพียงจากไป
อาคิระไปบริษัท ตอนที่กลับมาอีกครั้ง ก็สี่ทุ่มแล้ว
ลุงสินเดินเข้าไปรายงานสถานการณ์ของหมีพูลอย่างเร่งรีบ
ได้ยินแบบนี้ อาคิระก็ขมวดคิ้วขึ้น แล้วเอ่ยว่า “ให้แม่ครัวอุ่นเกี๊ยวเถอะ”
ลุงสินพยักหน้า
เขาถอดเสื้อสูทบนร่าง แล้วโยนไปด้านข้าง อาคิระเดินขึ้นตึก
เดินเข้าไปในห้อง สายตาของเขาก็สบตาที่แดงระเรื่อของหมีพูล
“ร้องอะไร?”
อาคิระแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตออก ทำสายตาเย็นชา “หลายปีมานี้ พนาวันไม่ได้สอนอะไรนายเลยเหรอ เล่ห์เหลี่ยมที่คุกเข่าร้องไห้ กลับสอนได้ดีมาก”
หมีพูลขดตัวลง ไม่สนใจอะไรเลย แล้วกำลังเช็ดน้ำตาอยู่
พอได้อยู่กับอาคิระตามลำพัง เขาก็ค่อนข้างกลัว
ขณะนี้ ลุงสินยกเกี๊ยวเข้ามา
อาคิระขยับริมฝีปากบาง แล้วพูดว่า “กิน!”
หมีพูลยังคงขดตัวอยู่ตรงนั้น ไม่เงยหน้า ไม่ยอมขยับตะเกียบ
อาคิระไม่เคยใกล้ชิดกับลูก เขาไม่รู้ว่าต้องสื่อสารกับลูกยังไงจึงจะถูกต้อง
ฉะนั้น นานๆ ทีที่อาคิระจะถามด้วยความอดทน “ไม่ใช่ว่าชอบกินเกี๊ยวหรือไง ทำไมถึงยังไม่กิน ไม่อยากิน? อยากกินอะไร ให้ฝั่งห้องครัวไปทำ”
หมีพูลปิดปากแน่น
เกิดเป็นท่านประธานอนันต์ธชัยกรุ๊ปเขาพูดและทำเรื่องอะไรก็มักจะพึ่บพับ ยิ่งพนักงานในบริษัทก็ทำงานว่องไวได้ประสิทธิภาพมาก
ครั้งนี้ดูๆ แล้วจะถามยังไงก็คงไม่ได้คำตอบ หมีพูลที่เหมือนคนใบ้ กดเสียงเรียบเฉย แล้วทำสีหน้าเคร่งขรึม “พูดสิ!”
หมีพูลโดนตะคอกจนร้องไห้
น้ำตาของเขาเหมือนลูกประคำที่เส้นด้ายขาดไป ร่วงหล่นลงมาไม่หยุด ร่างสั่นงันงกไม่หยุด
ลุงสินทนดูไม่ได้ อยากจะเอ่ยปากพูด ทว่าพอนึกถึงการตักเตือนของอาคิระ ก็ไม่กล้าเอ่ยใดๆ
“ประธานอาคิระครับ เขายังเป็นเด็ก เด็กเกินไป”
“แปดขวบ ยังเด็ก? เขาคือผู้ชาย อยากทำอะไร อยากได้อะไร ในใจคิดอะไรก็พูดออกมาตรงๆ ร้องห่มร้องไห้เหมือนผู้หญิงอยู่นั่นแหละ” อาคิระยิ่งอยู่ยิ่งทำเสียงเย็นชา “นอกจากร้องไห้ แล้วยังทำอะไรเป็นบ้าง”
ในมุมมองของเขา ผู้ชายควรจะแกร่งเหมือนเหล็กกล้า
เขาสามขวบ ก็เริ่มถูกสั่งสอนให้เป็นทายาทของตระกูลอนันต์ธชัย
หลังจากสามขวบ เขาก็ไม่รู้ว่ารสชาติของน้ำตาคือยังไงอีก