เล่มที่ 22 เล่มที่ 22 ตอนที่ 656 อย่าทำร้ายชายาที่รักของข้า

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

“ทูลฝ่าบาทแคว้นหนานหลี ผู้ที่กระหม่อมกล่าวถึงเป็นเซียนผู้บำเพ็ญตน เกรงว่าเขาคงไม่ต้องการสิ่งที่ฝ่าบาทมอบให้”

เซียนผู้บำเพ็ญตน?

ผู้บำเพ็ญตนท่ามกลางโลกที่วุ่นวายนั้นมีมากมาย

“เซียนผู้บำเพ็ญตนผู้ใดกัน? ”

“เจ้าหุบเขาผาเก็บดาวแห่งแคว้นตงเฉิน”

ผาเก็บดาว?

ทุกคนต่างเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ ทว่าที่นี่ลึกลับยิ่งกว่าสำนักแพทย์เทียนอีเสียอีก? ทั้งยังพูดกันว่า ที่นั่นเป็นสถานที่สถิตของเทพเจ้า

ไม่แน่ว่าพวกเขาจะหาเจอหรือไม่?

เมื่อได้ยินว่าเป็นผาเก็บดาว พวกเขาเกือบทุกคนพลันมีท่าทีลำบากใจ

“เจ้าหาผาเก็บดาวเจอหรือไม่? ” เยี่ยโยวเหยาถาม

“ก่อนหน้านี้ กระหม่อมโชคดีเคยได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหุบเขาผาเก็บดาว จึงพอจดจำทิศทางได้บ้าง ทว่าไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอน”

เซียนผู้บำเพ็ญตนมักสันโดษ เป็นไปไม่ได้ที่จะเชิญเขามาที่นี่

“นำทาง! ”

เยี่ยโยวเหยากล่าวสองคำด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นจึงออกคำสั่งให้จิ้นหนานเฟิงจัดเตรียมรถม้า

ผ่านไปไม่นาน จิ้นหนานเฟิงก็จัดเตรียมรถม้าเรียบร้อย มู่หรงฉี อวิ๋นจิ่น และเยี่ยโยวเหยา พาซูจิ่นซีไปผาเก็บดาวพร้อมกัน

นอกจากนั้น เยี่ยโยวเหยายังพาลวี่หลีไปด้วย เพื่อให้ลวี่หลีดูแลซูจิ่นซีระหว่างทาง

หลังจากเดินทางมาได้หนึ่งวันหนึ่งคืน คณะของเยี่ยโยวเหยาก็เข้าสู่อาณาเขตของแคว้นตงเฉิน

ครั้งนี้ พวกเขามาแคว้นตงเฉินเพื่อตามหาผาเก็บดาว สถานที่เช่นนี้มักมีตำแหน่งที่ตั้งลึกลับ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่เข้าไปในเมืองใดๆ ของแคว้นตงเฉิน

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก้าวเข้าสู่แคว้นตงเฉินได้ไม่นาน รถมาคันหนึ่งก็ขับมุ่งมาทางพวกเขาจากระยะไกล

เพื่อไม่ให้ชาวแคว้นตงเฉินตื่นตระหนก เมื่อเข้าสู่อาณาเขตของแคว้นตงเฉิน พวกเขาจึงระมัดระวังเป็นอย่างมาก หรือว่าฝั่งนั้นจะทราบแล้ว?

รถม้าแล่นมาหยุดลงเบื้องหน้าพวกเขา คนขับม้าคือองครักษ์เงาของมู่หรงฉี

ชายผู้หนึ่งลงมาจากรถม้า แม้จะแต่งกายด้วยชุดธรรมดา ทว่าพวกเขามองออกว่าคนผู้นี้มีฐานะพิเศษ ทั้งยังมีรูปลักษณ์สูงส่ง

“ฉีอ๋อง โยวอ๋อง หมอหลวงอวิ๋น! ” ชายผู้นั้นประสานมือแสดงความเคารพ “กระหม่อมองค์ชายตงหลิงจวิ้นแห่งรุ่ยหยางอ๋องแคว้นตงเฉิน”

ตงหลิงจวิ้นพูดจบก็หันไปพูดกับมู่หรงฉี “ฉีอ๋อง พี่หญิงของข้าอยู่ในรถม้าแล้ว ครั้งนี้ข้าแอบนำตัวพี่หญิงมาด้วย หากท่านไม่อาจรักษานางได้ เสด็จพ่อและเสด็จลุงของข้าต้องตีข้าให้ตายเป็นแน่”

มู่หรงฉีมองไปยังรถม้าด้วยแววตาสับสน “วางใจ ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะต้องรักษาองค์รัชทายาทให้ได้”

เนื่องจากรุ่ยหยางอ๋องมีความสัมพันธ์เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน แม้ตงหลิงหวงและตงหลิงจวิ้นมิได้เป็นพี่น้องกันแท้ๆ ทว่ามีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ

ตอนที่มู่หรงฉีทราบข่าวว่าตงหลิงหวงล้มป่วย และมีอาการเหมือนกับซูจิ่นซี เขาแทบคลุ้มคลั่ง หากไม่ใช่เพราะเขายังมีสติ และหากไม่ใช่เพราะอวิ๋นจิ่นเป็นความหวังเดียวที่สามารถช่วยซูจิ่นซีและตงหลิงหวงได้ ไม่เช่นนั้น เขาคงแอบเข้ามาที่แคว้นตงเฉินเพื่อดูอาการของตงหลิงหวง

ตอนที่หาอวิ๋นจิ่นพบ เขาให้องครักษ์เงาข้างกายส่งข่าวไปที่แคว้นตงเฉิน คิดหาวิธีพบองค์ชายแห่งรุ่ยหยางอ๋อง และขอให้เขาร่วมมืออย่างลับๆ เพื่อนำตัวตงหลิงหวงมาที่แคว้นหนานหลี

เดิมทีมู่หรงฉีคิดว่า ตอนที่อวิ๋นจิ่นรักษาซูจิ่นซี ก็ให้เขาช่วยรักษาตงหลิงหวงไปด้วย อย่างไรก็ตาม คิดไม่ถึงว่าการรักษาซูจิ่นซีและตงหลิงหวงต้องไปเยือนแคว้นตงเฉิน ดังนั้น เมื่อออกจากสกุลจง มู่หรงฉีจึงให้องครักษ์เงาส่งข่าวไปให้องค์ชายแห่งรุ่ยหยางอ๋อง ให้เขาไปรอที่ชายแดน

ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ตรงหน้าขึ้น

เรื่องระหว่างมู่หรงฉีและตงหลิงหวงนั้น สายลับของเยี่ยโยวเหยาได้รายงานมาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงทราบความสัมพันธ์ของทั้งสองอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ จึงไม่พูดสิ่งใด

แม้อวิ๋นจิ่นจะมองออก ทว่าเขาไม่พูดอันใดให้มากความเช่นกัน

หลังจากมู่หรงฉีอธิบายสถานการณ์แล้ว เยี่ยโยวเหยาและอวิ๋นจิ่นจึงตกลงให้พาตงหลิงหวงและตงหลิงจวิ้นไปด้วยกัน

เวลานี้ ซูจิ่นซียังคงหมดสติ ตงหลิงหวงก็เช่นกัน

แท้จริงแล้ว มู่หรงฉีต้องการเปิดม่านรถม้าเพื่อดูอาการของตงหลิงหวง ทว่าสุดท้ายก็ถอยกลับไป

ระหว่างทาง เขาหวนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างเขากับตงหลิงหวง ทั้งยังครุ่นคิดว่าตนเองรู้สึกอย่างไรกันแน่?

คราแรก เขาไล่ตามตงหลิงหวงไปจนถึงชายแดน เพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับตงหลิงหวงในห้องลับ และแสดงความรับผิดชอบนาง

ต่อมา เขาส่งสายลับไปยังแคว้นตงเฉิน ทั้งยังหาข้ออ้างให้ตนเองว่า เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ของแคว้นตงเฉินและตงหลิงหวง และเพื่อเป็นการรับผิดชอบต่อนาง

ชีวิตนี้ จงจื่อเยียนสอนเขาว่าสิ่งใดคือความรัก และสิ่งใดคือการทรยศต่อความรัก

ยามที่จงจื่อเยียนทรยศต่อความรักของพวกเขา สำหรับมู่หรงฉี ความรักนั้นได้ตายไปจากชีวิตของเขาแล้ว

ยามที่จงจื่อเยียนจากโลกนี้ไป มู่หรงฉีก็ตายไปแล้วเช่นกัน

ดังนั้น ชีวิตนี้ เขาไม่อาจรักผู้ใดได้อีก

เมื่อครุ่นคิดถึงสิ่งเหล่านี้ มือของเขาก็แตะไปที่จี้หยกใต้สาบเสื้อโดยบังเอิญ มันคือจี้หยกที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักระหว่างเขากับจงจื่อเยียน

ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่หรงฉีก็ถอนหายใจยาว และเงยหน้ามองเมฆสีขาวบนท้องฟ้า

พลางบอกกับตนเองว่า ที่เขายอมทำทุกอย่าง เป็นเพราะเรื่องในคืนวันนั้น เพื่อความรับผิดชอบ และเพื่อทำตามคำสัญญา

……

ภายใต้การนำของอวิ๋นจิ่น ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงยอดเขาแห่งหนึ่ง ภูเขาสูงตระหง่านท่ามกลางหมู่เมฆ ล้อมรอบไปด้วยเมฆหมอก และต้นหญ้าเขียวชอุ่ม

“ฉีอ๋อง โยวอ๋อง องค์ชาย ที่นี่คือตำแหน่งของผาเก็บดาว ทว่ามันจะปรากฏในยามค่ำคืนเดือนหงาย ดังนั้นพวกเราต้องรอจนถึงเวลาค่ำ”

ทั้งสี่คนพักแรมอยู่ที่จุดเดิม เยี่ยโยวเหยาลงจากม้า เขาส่งม้าให้องครักษ์ ก่อนจะขึ้นไปบนรถม้าของซูจิ่นซี

ระหว่างทาง เยี่ยโยวเหยายิ่งพูดน้อยลงไปทุกที เมื่อถึงเวลาพักผ่อน เขาจะขึ้นไปบนรถม้าเพื่ออยู่เป็นเพื่อนซูจิ่นซี

ลวี่หลีลงมาจากรถม้า นางนำน้ำและอาหารออกมาแบ่งปันให้ทุกคน จากนั้นจึงเทน้ำสะอาด และขึ้นไปบนรถม้าของตงหลิงหวง เพื่อชำระร่างกายให้ตงหลิงหวง

ตงหลิงจวิ้นแอบนำตัวตงหลิงหวงออกมา ดังนั้น นอกจากพวกเขาทั้งสองคนแล้ว จึงไม่มีผู้ติดตามมาด้วย ระหว่างทาง ลวี่หลีจึงต้องดูแลซูจิ่นซีและตงหลิงหวง

หลังจากลวี่หลีขึ้นไปบนรถม้าของตงหลิงหวงแล้ว มู่หรงฉีก็เหลือบไปมองรถม้าของตงหลิงหวง

ในใจพลันรู้สึกร้อนรุ่ม เขาต้องการไปดูอาการของตงหลิงหวง ทว่าต้องอดทนไว้อีกครั้ง

เมื่อตกเย็น ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เดิมทีดวงจันทร์ควรปรากฏขึ้นแล้ว ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิด คืนนี้กลับมีเมฆมาก ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆดำ เมฆนั้นปกคลุมแสงจันทร์และดวงดาว ทั้งลมยังพัดแรง

เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?

กระทั่งอวิ๋นจิ่นก็นึกไม่ถึงเช่นกัน

ทันใดนั้น ในรถม้าของซูจิ่นซีก็มีเสียงตกใจของลวี่หลีดังออกมา “อ้า… ”

เยี่ยโยวเหยาและอวิ๋นจิ่นมาถึงรถม้าของซูจิ่นซีพร้อมกัน

ใบหน้าของซูจิ่นซีเป็นสีเขียว ริมฝีปากม่วง เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด เล็บยาวเหมือนตะขอนั้นบีบคอลวี่หลีอย่างดุดัน

“จิ่นซี… ”

ซูจิ่นซีหันกลับมาอย่างรวดเร็ว แววตาดุร้ายดั่งปีศาจ ทั้งนางยังหันมาบีบคอเยี่ยโยวเหยาอีกด้วย

เยี่ยโยวเหยาไม่ได้หลบหนี ซูจิ่นซีบีบคอเยี่ยโยวเหยาแน่น เลือดยังคงไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดอย่างต่อเนื่อง เยี่ยโยวเหยาถูกบีบคอจนแทบขาดใจ ทว่าซูจิ่นซีกลับไม่รับรู้สิ่งใดแม้แต่น้อย

“พระชายา พระองค์รีบปล่อยมือเถิด นี่คือท่านอ๋อง พระองค์จะบีบคอท่านอ๋องให้ตายหรือ! ” อวิ๋นจิ่นพูดอยู่ข้างๆ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นซูจิ่นซียังไร้การตอบสนอง อวิ๋นจิ่นและมู่หรงฉีจึงคิดจะดึงตัวซูจิ่นซีออกไป ทว่ากลับถูกเยี่ยโยวเหยาขวางไว้

เขาพูดว่า “อย่าทำร้ายชายาที่รักของข้า! ”