“เฝ้าติดตามสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด และตรวจสอบ!” หลิงกล่าว
“ยังไม่ทันได้เข้าไปในสนามรบโบราณ ท่านก็จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามสูญเสียไปคนนึงแล้ว ท่านอาต้องถูกสงสัยเป็นแน่”
“หญิงผู้นั้นแฝงไปด้วยเจตนาร้าย อารองกลัวว่านางจะเป็นปัญหาต่อซีเอ๋อร์” หลิงขมวดคิ้วพลางกล่าว
“แต่ข้าคิดว่าสถานการณ์ของอารองจะยิ่งอันตรายมากขึ้น ข้าไม่อยากให้อารองมีอันตรายเช่นนั้น”
“รอให้เข้าไปในสนามรบโบราณก่อน อารองจะกำจัดอวี้จีให้สิ้นซากอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย แล้วค่อยบอกพวกเขาว่าเฟิงอวิ๋นซิวเป็นคนทำ”
ครั้งนี้หลิงยอมอ่อนข้อให้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “อารอง ท่านต้องระวังตัวให้มาก”
“คนที่ต้องระวังตัวให้มากก็คือซีเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายหมาป่าอย่างเฟิงอวิ๋นซิวนั่น อารองไม่ได้บังคับให้ซีเอ๋อร์ออกไปจากเขา แต่ซีเอ๋อร์ต้องระวังตัวเอาไว้ให้มาก อย่าให้เขาเอาเปรียบได้ อีกอย่าง……”
“ใคร!” หลิงยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้นจนกลิ่นอายของตนเองรั่วไหลไป และถูกเฟิงอวิ๋นซิวจับได้
ฟึ่บ! คมธนูดอกหนึ่งพุ่งทะลุหน้าต่างห้องมู่เฉียนซีเข้ามาตรงไปยังหลิง
หลิงกล่าวอย่างไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง “เจ้าเด็กบัดซบ กล้ามาขัดจังหวะในตอนที่ข้าคุยกับซีเอ๋อร์ อยากจะฆ่ามันให้ตายนัก”
มู่เฉียนซีกล่าว “อารอง ท่านกลับไปก่อนเถอะ ตอนนี้ไม่ควรที่จะทะเลาะกับเฟิงอวิ๋นซิว”
ปัง! ในตอนนี้เองซวนอีก็พรวดเข้ามา และหลิงก็ได้อันตรธานหายไปแล้ว
ทว่า ต้องมีคนเข้ามาแน่ ๆ ซวนอีง้างธนูตรงหน้ามู่เฉียนซีและกล่าวถามว่า “บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าพาใครเข้ามา”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงของเฟิงอวิ๋นซิวดังขึ้น
“นายน้อย!” ซวนอีขมวดคิ้วพลางกล่าว
เขาไม่ได้รังเกียจสาวน้อยผู้นี้ แต่เขามักจะรู้สึกว่าสาวน้อยผู้นี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก และเขาก็จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาคุกคามคนของนายน้อยเด็ดขาด
เฟิงอวิ๋นซิวเดินมาตรงหน้ามู่เฉียนซี ทำให้ซวนอีจำต้องเก็บธนูไป คมธนูของเขาไม่มีทางชี้ไปที่นายน้อยเป็นอันขาด
“เป็นหลิงที่เข้ามา เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ ?”
ภายในห้องยังหลงเหลือกลิ่นอายแห่งจิตสังหารอันเย็นยะเยือกของหลิงอยู่
มู่เฉียนซีกล่าว “เฟิงอวิ๋นซิว จุดสำคัญที่น่าสนใจของเจ้าผิดปกติไปนะ เจ้าไม่กลัวว่าข้ากับองครักษ์ฝ่ายซ้ายท่านนั้นจะร่วมมือกันลอบทำร้ายเจ้าเหรอ”
เขามองหน้านาง และกล่าวว่า “เจ้าจะทำเหรอ ?”
ดูเหมือนว่าแค่มู่เฉียนซีกล่าวว่าไม่ทำ เขาก็จะเชื่อนางแล้ว
มู่เฉียนซีขมวดคิ้วขึ้น “เฟิงอวิ๋นซิว ข้าคือมู่เฉียนซี เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ หรือไม่ก็ให้ข้าปิดหน้าตัวเองเอาไว้ก็ได้ เจ้าที่เป็นอยู่ตอนนี้มันไม่ใช่เจ้าเลย”
“นายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋ หนึ่งในสามของกองกำลังระดับสามแห่งดินแดนสี่ทิศ ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้”
ซวนอีก็เป็นกังวลมากเช่นกัน ตั้งแต่นายน้อยได้เจอกับมู่เฉียนซีก็ดูผิดปกติไปมาก
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ไม่เกี่ยวกับเรื่องอื่น ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนที่ไว้ใจได้ เจ้าได้บอกทุกอย่างออกมาหมดแล้ว มีความจำเป็นใดต้องวางแผนปลิ้นปล้อนอีก”
“คืนนี้ไม่ต้องพักที่ห้องนี้แล้ว อยู่ใกล้ ๆ ข้าหน่อย หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นข้าจะได้ช่วยได้ทัน”
ถึงแม้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เฟิงอวิ๋นซิวไม่เพียงแต่ไม่สงสัย แต่ยิ่งเป็นห่วงนางอีกด้วย
หากไม่ใช่เพราะหาตัวกระบี่ของกระบี่มังกรเพลิงที่สนามรบโบราณในเหลยโจว พวกเขาก็คงจะแยกทางใครทางมันไปแล้ว นางอยากจะฉีกสมองของเจ้าหมอนี่ออกมาดูจริง ๆ ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่
ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนห้องแล้ว แต่จู่ ๆ ซวนอีก็มาหานางอีกครั้ง
“นายน้อยเชื่อใจเจ้า แต่ข้าไม่เชื่อเจ้าเด็ดขาด”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “องครักษ์ซวนอี เจ้าว่านายน้อยของเจ้ามีหญิงสาวผู้เป็นที่รักหรือไม่!”
ซวนอีกล่าว “เป็นไปไม่ได้ ข้าติดตามนายน้อยมาตลอด ไม่เคยมีสตรีใดเข้าใกล้นายน้อยถึงสามเมตรมาก่อนเลย ต่อให้เป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ก็ไม่ได้”
มู่เฉียนซีพึมพำ “แอบรักจริง ๆ ด้วย แม้แต่เจ้าก็ไม่รู้!”
ซวนอีคิดว่าไม่น่าจะมีคนเช่นนี้อยู่ เขายังแอบสงสัยอยู่บ้างเล็กน้อยว่านายน้อยชอบสาวน้อยผู้นี้อยู่หรือไม่ แต่ไม่กล้าเอ่ยปากออกมาก็เลยเป็นเช่นนี้
ความคิดของนายน้อย ยากที่จะคาดเดาได้!
ซวนอีกล่าวเตือนว่า “ไม่ว่านายน้อยจะเห็นเจ้าพิเศษเพียงใด แต่หากเจ้ากล้าทำร้ายนายน้อยแล้วล่ะก็ ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่”
มู่เฉียนซีกล่าว “เว้นเสียจากการแย่งชิงกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ข้าก็ไม่คิดจะเป็นศัตรูกับเฟิงอวิ๋นซิวอยู่แล้ว เจ้าวางใจเถอะ!”
หลังจากเหตุการณ์ในยามรัตติกาลนี้ผ่านไป เจ้าสำนักหลัวก็ได้ประกาศว่าสนามรบโบราณที่ห้ากำลังจะเปิดขึ้น และพวกเขาก็เข้าไปในภูเขาด้านหลังของสำนักหลัวเทียน
เหล่าผู้อาวุโสของสำนักหลัวเทียนได้เปิดผนึกออก และสนามรบโบราณที่ห้าก็ปรากฏช่องโหว่ช่องหนึ่งขึ้น
เจ้าสำนักหลัวเทียนกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ทุกท่าน เชิญด้านใน”
ขวั่บ! เหมือนกับว่าพวกเขาเข้าไปในสนามรบโบราณพร้อมกันก็มิปาน
ถึงอย่างไรพลังของมู่เฉียนซีก็ยังนับว่าต่ำเกินไป ทำได้เพียงแค่ให้ชิงอิ่งพาไปเท่านั้น ถึงจะตามความเร็วของพวกเขาทัน
ทันใดนั้นเองชิงอิ่งก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกายมู่เฉียนซี ทำให้คนอื่นต่างตกใจผงะกันไปครู่หนึ่ง
ใบหน้าของซวนอีดูประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขารู้ว่ามู่เฉียนซีนั้นมีองครักษ์ชุดเขียวอยู่ผู้หนึ่ง ตอนช่วยเขาที่กองกำลังผู้นำเจ็ดอสูร พวกเขาก็อยู่ในเหตุการณ์
หลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าร่างของเขาได้อันตรธานหายไป แต่เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พวกเขาก็พบว่าเขานั้นได้อยู่ข้างกายมู่เฉียนซีตลอดเวลา
คนผู้นี้อยู่ข้างกายนางตลอดเวลา แต่กลับเป็นเหมือนอากาศก็มิปาน ถึงแม้ว่าเฟิงอวิ๋นซิวกับหลิงจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมาก แตนึกไม่ถึงว่าพวกเขาไม่พบเจอกลิ่นอายของเขา
อวี้จียิ้มพลางกล่าว “ดูเหมือนว่าพลังความแข็งแกร่งของธิดาเทพผู้นี้จะยังไม่เพียงพอ แต่ออกเดินทางมามีองครักษ์ผู้แกร่งกล้าผู้นี้คอยปกป้อง ช่างทำให้ข้านั้นอิจฉาเสียจริง!”
ตอนนี้หลิงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เจ้าอัปลักษณ์ผู้ใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าผู้นี้เป็นใครกันแน่ กล้าอยู่ชิดใกล้หลานสาวของเขาเช่นนี้ รนหาที่ตายยิ่งนัก!
ครั้นแล้วพวกเขาก็มาถึงสนามรบโบราณอย่างราบรื่น สนามรบโบราณที่ห้ากับสนามรบโบราณที่สี่ไม่ได้ต่างกันมากนัก เป็นซากปรักหักพังจากการเกิดสงคราม มีหญ้าขึ้นรกร้าง
อวี้จีกล่าว “พวกข้าตำหนักเป่ยหานจะมุ่งหน้าไปทางเหนือ น้องอวิ๋นซิวจะไปกับพวกเราหรือไม่ ?”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ไม่จำเป็น!”
กล่าวจบ เฟิงอวิ๋นซิวและพวกก็มุ่งหน้าไปทางตะวันออก
ส่วนหลิงในตอนนี้มองตามหลังพวกเขาไป และไม่มีทีท่าที่จะออกเดินทาง อวี้จีจึงกล่าวขึ้นว่า “หลิง เป็นอะไรไป เจ้าชื่นชอบสาวน้อยธิดาเทพผู้นั้น หรือว่าชอบน้องอวิ๋นซิวกันล่ะ ถึงได้ทำท่าทางอาลัยอาวรณ์เช่นนี้!”
“หุบปาก!” หลิงกล่าวอย่างดุดัน
กล่าวจบ ร่างของเขาก็จากไปอย่างรวดเร็วดุจดั่งสายลม
มู่เฉียนซีรู้สึกประหลาดใจมาก พวกเขาเข้าสนามรบโบราณมาแล้วจะสำรวจหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อย่างไร
หรือว่าพวกเขาจะมีมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์ติดตัวอยู่เหมือนกับนาง
ผลสุดท้าย เฟิงอวิ๋นซิวก็เอาศิลาที่เหมือนเปลวไฟออกมา
เขาวางศิลานั้นลง และเปลวไฟก็ได้ลุกลามไปทั่วทั้งบริเวณ มีเพียงใจกลางของศิลานี้และพื้นที่ที่พวกเขายืนอยู่เท่านั้นที่ไม่มีเปลวไฟลุกลาม
มู่เฉียนซีกล่าวถามด้วยความสงสัยว่า “สิ่งนี้คืออะไรเหรอ ?”
ซวนอีกล่าว “แม้แต่ศิลาเทพอัคคีเจ้าก็ไม่รู้ เจ้ายังคิดอยากจะหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อีก หลังจากเสร็จสิ้นจากสนามรบโบราณที่ห้านี้แล้ว เจ้ารีบกลับไปในที่ของเจ้าเถอะ ถึงแม้ว่าองครักษ์ของเจ้าจะแปลกประหลาดมากเพียงใด แต่ไม่แน่……”
“ซวนอี!” ซวนอียังพูดไม่ทันจบ เฟิงอวิ๋นซิวก็กล่าวแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“นี่คือศิลาเทพอัคคี เหมาะสำหรับใช้หากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ที่มีพลังธาตุอัคคีที่แข็งแกร่งที่สุด ทั่วทั้งดินแดนสี่ทิศนี้มีศิลาเทพอัคคีอยู่เพียงสองชิ้นเท่านั้น ชิ้นหนึ่งอยู่ที่ตำหนักเป่ยหาน อีกชิ้นหนึ่งอยู่ที่ตำหนักตงจี๋” เฟิงอวิ๋นกล่าวอธิบาย
มู่เฉียนซีตกใจนิ่งอึ้งไป “นั่นก็หมายความว่า หากมีศิลาเทพวารีก็สามารถหามหาวัตถุศักดิ์เทพนิรันดร์ที่มีพลังธาตุวารีได้น่ะสิ!” นางคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่ากองกำลังระดับสามจะมีของล้ำค่าที่สามารถตามหามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์ได้เช่นนี้ สำหรับนางที่มีมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์มากกว่าหนึ่งชิ้น มันอันตรายเกินไปแล้ว