ตอนที่ 766 หนึ่งเดียวไม่มีใครเหมือน

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “หินเทพอัคคีนั้นมีเพียงแค่สองก้อนในโลกทั้งสี่ทิศ ส่วนที่อื่นนั้นยิ่งไม่มีความเป็นไปได้มากขึ้นกว่าเดิมไปเสียอีก”

“และทันทีที่มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ยอมรับผู้เป็นเจ้านาย พลังธาตุวิญญาณของมันก็จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวผู้เป็นนายของมัน ถึงแม้ว่าจะมีหินเทพก็ไม่สามารถที่จะตรวจจับออกมาได้

ซวนอีกล่าว “เจ้าคิดว่ามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เป็นผักกาดขาวหรือยังไง? พวกเราตำหนักตงจี๋ได้ใช้เวลานับพันปีถึงได้หาเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มาได้บ้าง ส่วนมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ชิ้นอื่นๆนั้น หากต้องการจะตามหามัน นั่นเป็นฝันกลางวันชัดๆ”

สีหน้าของมู่เฉียนซีหมองคล้ำขึ้นมา ที่ซวนอีได้กล่าวมานั้น มิใช่ว่านางได้ฝันกลางวันไปตั้งหลายครั้งแล้วหรือไร

คำพูดของเฟิงอวิ๋นซิวนั้นทำให้มู่เฉียนซีสบายใจขึ้นมาไม่น้อย หลังจากที่ได้ทำพันธสัญญาไปแล้วก็ไม่อาจที่จะตรวจจับได้ เช่นนั้นนางก็จะไม่ถูกเปิดเผยได้อย่างง่ายดาย

บุรุษหลายคนบนลานนั้นราวกับระเบิดเวลาก็มิปาน!

อาถิงแค่นเสียงเย็นชาและกล่าว “ฮึ่ม! เจ้านี่ช่างเป็นผู้ที่ได้ดีไปแล้วยังทำตัวน่าเอ็นดูอยู่อีก เจ้าคิดว่าข้ากับพี่สาวจะหวงแหนในการทำพันธสัญญากับเจ้ารึ!”

“อาถิง เจ้าตื่นขึ้นมาแล้ว ข้าคิดว่าเจ้านั้นจะแกล้งตายอยู่ตลอดไป!”

“ข้าตื่นขึ้นมานานแล้ว เพียงแต่เห็นว่ามีบุรุษรูปงามช่วยเหลือคนบางคนไว้ เลยทำใจไม่ได้ที่จะรบกวนเจ้า”

“ข้าต้องขอบคุณความเข้าใจในความรู้สึกของพันธสัญญาของข้าจริงๆ” มุมปากของมู่เฉียนซีค่อยๆยกโค้งขึ้น

“หลังจากที่ได้ค้นหาในสนามรบโบราณทุกแห่งจบหมดสิ้นแล้ว รีบให้มันไสหัวไปไกลๆเสีย อะไรกัน สายตาที่มองเจ้าในทุกครั้งมันเหมือนกับที่มองผู้อื่นที่เขาคิดอยู่ ข้านั้นอยากจะทำให้ไอ้หมอนี่กลายเป็นไอ้บอดจริงเชียว”

ในฐานะผู้ทําพันธสัญญากับมู่เฉียนซี จิตใจและวิญญาณของทั้งสองนั้นจึงรับรู้ได้ซึ่งกันและกัน เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นด้านนอกนั้น เขาล้วนแต่รับรู้ได้อย่างชัดเจนยิ่งนัก

“อาถิง ทำไมเจ้าถึงได้โกรธเกรี้ยวเช่นนี้?”

“แน่นอนว่าต้องโกรธ ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้หญิงบ้าที่ใจดำ ทั้งไร้ยางอาย พลังความสามารถก็อ่อนแอแล้วก็ยังชอบรังแกข้าอีกด้วย แต่ว่าเจ้าเป็นสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวไม่มีใครเหมือน ไม่มีอะไรสามารถมาเปรียบได้ ไม่ว่าใครก็ตามไม่สามารถจะทดแทนได้ อะไรกัน! หน้าตามันดีเสียหน่อยก็ได้เอาผู้ทำพันธสัญญาของข้าไปเป็นตัวแทน นี่เป็นการเหยียดหยามข้าศาลานิรันดร์อย่างแน่แท้”

มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “เอาตามที่เจ้าว่า หลังจากการค้นหาในสนามรบโบราณจบสิ้นข้าจะแยกจากเขา”

“ยากนักที่จะมีตอนที่เจ้าฟังข้าบ้างนางผู้หญิงบ้า!”

“นั่นก็เป็นเพราะว่าเจ้าชมเชยข้านะสิ! ข้าเกิดหลงมัวเมาขึ้นมาเลยทำตัวเป็นเด็กดีเสีย”

“ใครชมเจ้า?”

“เจ้าบอกว่าข้านั้นเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่มีใครเหมือน ไม่มีอะไรสามารถมาเปรียบได้” มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นมาเล็กน้อย

ทุกคนล้วนแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่มีใครเทียบได้ ถึงแม้ว่าเฟิงอวิ๋นซิวผู้นี้จะไม่ได้น่ารังเกียจ แต่เมื่อถูกเขาเห็นเป็นผู้อื่นที่มิใช่นาง เลยคอยเอาใจใส่ ปกป้อง อีกทั้งยังตามใจ เลยรู้สึกขัดใจยิ่งนัก

ใบหน้าของอาถิงร้อนผ่าวขึ้นมา เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงดัง “ถ้าหากว่าผู้เป็นนายของข้าศาลานิรันดร์มิได้พิเศษไม่เหมือนใคร นั่นคือเจ้ากำลังดูหมิ่นสายตาของข้า”

“อืมๆๆ สายตาของท่านอาถิงนั้นดีเยี่ยมที่สุดอย่างแน่นอน”

“มีอะไรหรือ?” หลังจากที่ได้ตรวจวัดพื้นที่ตรงนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เฟิงอวิ๋นซิวรู้สึกว่ามู่เฉียนซีนั้นเหมือนมีอาการเหม่อลอยอยู่บ้าง

มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่มีอะไร ที่พื้นที่เขตนี้ยังหาไม่พบหรือ?”

“ไม่พบ! เราต้องหาต่อไป!”

เขาวางหินเทพอัคคีลงโดยที่ยังมิได้เดินออกไปจากพื้นที่เขตนี้ มันเป็นเครื่องสำรวจที่ทรงพลังมากอย่างแน่แท้!

แต่…

ในการใช้สิ่งของที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้นก็มีราคาที่ต้องจ่ายให้แก่มัน สีหน้าของเฟิงอวิ๋นซิวนั้นซีดเผือดลงไปเรื่อย

“พักผ่อนก่อนเถอะ!” มู่เฉียนซีกล่าว

พวกซวนอีเห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจแต่กลับไม่กล้ากล่าวออกไป แต่ทว่ามู่เฉียนซีนั้นได้เปิดปากกล่าวขึ้นทันใด

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ข้ายังสามารถทนได้ไหว เราจะยอมให้พวกตำหนักเป่ยหานนำหน้าไปก่อนมิได้”

มู่เฉียนซีถามขึ้น “มีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่สามารถใช้หินเทพอัคคีได้หรือ? พวกซวนอีไม่สามารถใช้ได้?”

ซวนอีกล่าว “หินเทพอัคคีมีเพียงแต่ผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟเท่านั้นที่สามารถใช้มันได้”

มู่เฉียนซีถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ เช่นนั้นอารองก็ไม่ต้องแบกรับความยากลำบากเช่นนี้แล้ว!

เฟิงอวิ๋นซิวยังคงยืนกรานอยู่เช่นเดิม มู่เฉียนซีจึงกล่าวขึ้น “เฟิงอวิ๋นซิว ถึงแม้ว่าเจ้าอยากที่จะหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ให้พบโดยเร็วและขอผู้ที่เจ้าตั้งใจเอาไว้แต่งงาน แต่ตอนนี้เจ้าเองก็ต้องพักผ่อนก่อน มิเช่นนั้นหากเป็นลมไปก็จบสิ้นกัน”

“ทำเช่นนี้นี่มันไม่ใช่การหามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นการฟุ่มเฟือยชีวิตวัยหนุ่มสาว”

เฟิงอวิ๋นซิวสีหน้าแข็งทื่อขึ้นมาในทันใด “เฉียนซี เจ้าอย่าพูดเหลวไหล! ข้า…”

“ในเมื่อมิใช่เพื่อที่จะไปหิ้วสาวงามกลับบ้าน เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเสี่ยงชีวิตเช่นนั้นแล้ว! พักผ่อน กินยา!”

คำพูดของมู่เฉียนซีทำให้เฟิงอวิ๋นซิวหมดสิ้นคำจะกล่าว ในที่สุดเขาก็ได้โดนมู่เฉียนซีบีบบังคับให้พักผ่อนไปเสีย

ซวนเอ้อพึมพำขึ้นมา “แม่นางมู่พูดจานั้นไร้ซึ่งเหตุผลสิ้นดี!”

นั่นเป็นถึงกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ กระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในการฆ่าฟัน ทำไมเมื่อมันถูกกล่าวออกจากปากของนาง มันจึงได้กลายเป็นสิ่งของหมั้นหมายชิ้นหนึ่งไปเสีย

ซวนอีกล่าว “หญิงสาวผู้นี้ไม่ว่าด้วยเหตุผล แต่ทว่ามีแต่เพียงผู้ที่ไม่ว่าด้วยเหตุผลเท่านั้นถึงจะสามารถเอานายน้อยได้อยู่”

ครั้งก่อนหน้าเมื่อตอนที่กำลังสำรวจสนามรบโบราณแห่งที่สามอยู่ พวกเขานั้นเอานายน้อยไม่อยู่เลยด้วยซ้ำ ทำให้นายน้อยสูญเสียพลังวิญญาณไปไม่น้อย และสุดท้ายจึงได้ถูกลอบโจมตีและได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก

มาตอนนี้มีนางผู้นี้อยู่ ในที่สุดก็นับว่ามีผู้ที่สามารถควบคุมนายน้อยได้แล้ว

ซวนอีรู้สึกว่า การพาหญิงสาวนางนี้มาด้วยก็มีประโยชน์เช่นกัน

เพราะมู่เฉียนซีนั้นเป็นนักปรุงยาผู้หนึ่ง เพราะฉะนั้นทันทีที่เฟิงอวิ๋นซิวใช้พลังความสามารถเกินขีดจำกัดก็จะถูกมู่เฉียนซีตรวจพบและออกคำสั่งให้พักผ่อน

เฟิงอวิ๋นซิวไม่สามารถที่จะโต้แย้งสู้มู่เฉียนซีได้ จึงทำได้เพียงแต่ยอมเชื่อฟังแต่โดยดี

ตลอดทางมานี้ ซวนอีและพรรคพวกล้วนแต่นับถือมู่เฉียนซีเป็นอย่างมากเสียแล้ว และความหวาดระแวงระแวดระวังที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ก็ล้วนได้หายไปจนหมดสิ้นแล้ว

ถึงแม้ว่ามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์จะสำคัญเป็นอย่างมาก แต่สำหรับพวกเขาแล้วเจ้านายของตนนั้นยิ่งใหญ่เหมือนดั่งผืนฟ้า

ถึงแม้ว่าจะเสียเวลาในเรื่องของความเร็วไปบ้าง แต่เฟิงอวิ๋นซิวก็ได้รู้สึกว่าจิตใจที่มึนชาของตนนั้นเริ่มมีความอบอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว

นอกจากเหล่าลูกสมุนของเขาแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีผู้สนใจ ใส่ใจในร่างกายของเขา

คนผู้นี้เป็นห่วงเป็นใยเขา มันไม่เกี่ยวกับการที่เขาเป็นนายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋ ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เขาเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในโลกทั้งสี่ทิศ แต่ห่วงใยเพียงเพราะว่าเขาคือเฟิงอวิ๋นซิว

ในตอนที่พักผ่อนอยู่นั้น สายตาของเขากำลังวาดใบหน้าของมู่เฉียนซีอย่างจริงจัง เค้าโครงของใบหน้านั้น ช่างเหมือนยิ่งนัก…..

ถ้าหากว่าเป็นนางจริงๆ การที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากนาง ถึงต่อให้จิตสลายวิญญาณล่องลอยไปในตอนนี้ เขาก็รู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีสิ่งใดให้น่าเสียดายแล้ว

ดวงตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นแฝงแววแห่งความคาดหวัง แต่ทว่าเงาร่างที่อยู่ในสายตาคู่นั้นกลับเป็นใครที่ไม่คุ้นเคยยิ่งนัก

นางนั้นถือว่าเฟิงอวิ๋นซิวเป็นมิตรสหาย แต่เจ้าหมอนี่กลับเห็นนางเป็นตัวแทนของนางผู้นั้น สายตาของมู่เฉียนซีพลันมืดครึ้มลง นางอยากจะทุบเข้าสักตุบหนึ่งเพื่อให้เจ้าหมอนี่ตื่นขึ้นมา

เงาร่างสีเขียวเงาหนึ่งพุ่งออกมา การกระทำของชิงอิ่งนั้นราวกับว่ามีการตอบสนองที่ฉับไวต่อความคิดของมู่เฉียนซี

ปัง! ชิงอิ่งได้ซัดกำปั้นออกไปคราหนึ่ง มันพุ่งตรงเข้าไปที่หน้าของเฟิงอวิ๋นซิว

“เจ้ากำลังทำอะไร?” พวกซวนอีพุ่งเขามาตอบโต้ชิงอิ่ง

ปึ้ง! ซวนอีถูกพวกเขาโจมตีถอยร่นออกไปแต่มิได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

ส่วนเฟิงอวิ๋นซิวนั้นได้ถูกซัดถอยออกไปเป็นสิบก้าวได้ บนใบหน้าของเขานั้นบวมแดงขึ้นมา มุมปากมีเลือดสีสดไหลออกมา

ถูกต่อยจนเสียโฉมเสียแล้ว

พวกซวนอีเองก็โกรธกริ้วขึ้นมา และได้ล้อมตัวของชิงอิ่งเอาไว้

ชิงอิ่งมองไปที่เฟิงอวิ๋นซิวด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า “เฉียนก็คือเฉียน! และเป็นเฉียนเท่านั้น!”

“หากยังมองเฉียนเช่นนั้นอีก ข้าจะควักลูกตาของเจ้าทิ้งเสีย!”

เขาบอกกล่าวคำพูดประโยคหนึ่งออกมา แต่น้ำเสียงของเขาก็ยังคงราบเรียบเป็นอย่างมาก

ไม่เพียงแต่อาถิงเท่านั้นที่ไม่สามารถจะทนได้ แม้แต่ชิงอิ่งที่มีอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์อยู่เพียงน้อยนิดก็ยังสัมผัสได้

หมัดนี้ทำให้เฟิงอวิ๋นซิวได้สติขึ้นมา

เขามองไปที่มู่เฉียนซีแล้วกล่าว “ข้าขอโทษ!”

นางนั้นเป็นผู้ที่ทำตามใจตนอย่างไม่แยแส และดูเหมือนจะไม่สนใจในเรื่องต่างๆเลยแม้แต่น้อย แต่ความหยิ่งยโสที่ฝังอยู่ในกระดูกของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาอย่างแน่นอน

การที่มองคนคนหนึ่งกลายเป็นคนอีกผู้หนึ่งเช่นนี้ แม้ว่านางจะยังไม่ได้แสดงท่าทีออกมา แต่คนรอบข้างตัวนางกลับอดใจไม่ไหวเสียแล้ว