“วางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวจัดการเอง” 

 

 

ยูมินทิ้งตัวหนักอึ้งราวกับสำลีชุบน้ำลงบนเตียงทันทีที่เข้ามาในโรงแรม 

 

 

“ผมก็จะทำแบบนั้นอยู่แล้ว พี่ จะไม่กลับจริงๆ เหรอ” 

 

 

ชองอูวางสัมภาระที่หอบมาเต็มสองแขนลงกับพื้นก่อนจะนั่งลงข้างๆ ใบหน้าของเขาเปี่ยมความเหนื่อยล้า นักแสดงหญิงหนีออกจากบ้าน ไม่ใช่สิ ถูกไล่ออกจากบ้านตัวเปล่าช่างน่ารำคาญจริงๆ  

 

 

“ถ้าอดทน ยูฮาอาจจะยอมแพ้ก็ได้” 

 

 

“แล้วจะอดทนไปถึงเมื่อไหร่ล่ะครับ” 

 

 

“จนกว่าจะได้เงินยี่สิบล้านวอนนั่น” 

 

 

“ผมว่าจะโดนท่านประทานว่าเอาได้นะ” 

 

 

“ถ้าไม่พอใจก็เขียนใบลาออกซะสิ” 

 

 

หาว ยูมินหาวอย่างอ่อนเพลียพร้อมกับซุกตัวในผ้าห่ม ชองอูถอนหายใจแล้วกำลังจะลุกขึ้น แต่จู่ๆ ก็นึกบางอย่างออกจึงเขย่าตัวเธอเพื่อปลุก 

 

 

“พี่ จะนอนเลยเหรอครับ” 

 

 

“อืม เออ อะไรอีกเล่า” 

 

 

ยูมินที่เพิ่งหลับตาลงทำหน้าบึ้งพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ที่ถูกโยนไว้ข้างๆ ขึ้นมา อีอึยชาน แหล่งทรัพย์ของเธอที่ไม่ค่อยจะยินดีนัก 

 

 

“ซอยูมินค่ะ” 

 

 

“ต้องอาบน้ำก่อนนะครับ รีบไปอาบน้ำเลย” 

 

 

ยูมินรับโทรศัพท์ในเวลาเดียวกับชองอูบังคับให้เธอลุกขึ้นมานั่ง แต่ปลายสายไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ  

 

 

“ฮัลโหล อ่า อยู่เฉยๆ หน่อยสิ” 

 

 

“เร็วสิครับ อย่าบอกนะว่าจะนอนเลย” 

 

 

“ฉันคุยโทรศัพท์อยู่ ถอดนี่ออกไปสิ” 

 

 

ยูมินกระดิกเท้าที่ยื่นออกมานอกผ้าห่ม ไม่รู้ว่าเป็นผู้จัดการส่วนตัวหรือเป็นทาสกันแน่ แต่ก็ต้องฝืนทนเพราะเป็นงานที่ได้เงินเดือนเยอะกว่าวงการธุรกิจเสียอีก ชองอูชักสีหน้าพร้อมกับถอดถุงเท้ายูมินโยนไปที่มุมหนึ่ง ตอนนั้นสายก็กดแล้วโดยไม่ได้พูดอะไร 

 

 

“โทรผิดหรือไง” 

 

 

ในที่สุดยูมินก็ลุกออกจากเตียงหลังจากโยนโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ชองอูล้วงหาเครื่องสำอางจากบรรดาของที่ช็อปปิ้งมาเมื่อสักครู่ แล้วจัดวางเรียงไว้ตรงโต๊ะเครื่องแป้งอย่างดูดี แน่นอนว่าพร้อมกับเสียงบ่น 

 

 

“เดี๋ยวก็เริ่มถ่ายทำแล้ว ถึงจะไม่ได้ดูแลตัวเอง แต่จะไม่ล้างแม้แต่หน้าเนี่ยนะ ถ้าหน้าพี่พังขึ้นมา ผมก็ซวยสิครับ ช่วยหน่อยเถอะครับ” 

 

 

“บอกว่าเข้าใจแล้วไง ออกไป เดี๋ยวจะอาบน้ำนอนแล้ว” 

 

 

“ผมกลับไปไม่ได้จนกว่าพี่จะอาบน้ำและมาส์กหน้าเสร็จครับ” 

 

 

ในที่สุดยูมินก็ลุกขึ้นตรงไปห้องน้ำด้วยสีหน้ารำคาญสุดๆ แต่แล้วโทรศัท์ที่ถูกโยนลงบนเตียงโดยไม่สนใจก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผู้โทรคืออีอึยชาน ชองอูคิดว่าเขาน่าจะมีธุระจึงรับสาย 

 

 

“ครับ โทรศัพท์ของคุณซอยูมินครับ” 

 

 

[คุณซอยูมินล่ะครับ] 

 

 

“ตอนนี้กำลังอาบน้ำอยู่ครับ มีเรื่องอะไรบอกผมมาเลยได้นะครับ” 

 

 

อึยชานไม่ได้ตอบอะไรสักพักหนึ่ง ที่ยูมินรับสายเมื่อสักครู่ก็คือเขาหรือเปล่านะ ชองอูเอาโทรศัพท์ออกจากหูสักพักก็เอากลับไปแนบหูใหม่ 

 

 

“คุณอีอึยชาน บอกธุระมาได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะบอกพี่ให้” 

 

 

[อ๋อ ผมโทรมาเพราะเวลานัดน่ะครับ เดี๋ยวผมโทรไปใหม่ทีหลัง ขอให้มีความสุขนะครับ] 

 

 

แม้แต่ตัวอึยชานเองยังคิดว่ามันเป็นข้ออ้างที่ไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลยจึงได้รีบวางสายไป โทรไปอีกทำไมกันนะ คิดอะไรอยู่ ตั้งใจจะเช็คอะไรอย่างนั้นเหรอ แล้วประโยคที่ว่าขอให้มีความสุขนั่นก็ด้วย 

 

 

“บ้าเอ๊ย อะไรกันวะเนี่ย” 

 

 

สงสัยต้องดื่มเหล้าหน่อยแล้ว เขาควานหาตู้เย็นแล้วหยิบเบียร์กระป๋องหนึ่งออกมา ก่อนจะกลับมานั่งที่โซฟาเหมือนเดิมและวางขนมมันฝรั่งทอดกรอบไว้บนโต๊ะถุงหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังใช้โทรศัพท์ค้นหาอักษรสามตัวซึ่งเป็นชื่อของยูมิน 

 

 

นักแสดงประกอบหญิงที่เรียกได้ว่าไม่มีชื่อเสียงและแทบไม่มีใครรู้จัก แต่จากที่เหลือบมองตรงหน้าร้านอาหาร เธอขึ้นรถตู้อย่างแน่นอน แถมยังดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อน ทั้งที่ทำมอเตอร์ไซค์ราคาพอๆ กับรถนอกหนึ่งคันพัง ถ้าอย่างนั้นจึงมีข้อสรุปได้อย่างเดียวคือเธอคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด แล้วทำไมถึงทำตัวไม่มีเงินและมาเอาบัตรเครดิตเขาไปด้วยล่ะ 

 

 

อึยชานกระดกเบียร์ไปสามกระป๋องด้วยจิตใจสับสนจนผล็อยหลับ หลังจากนั้นวันต่อมาและวันต่อมาและวันต่อมาอีก ก็ยังมีข้อความการใช้จ่ายจากโรงแรมถูกส่งเข้ามาเรื่อยๆ เบียร์กระป๋องที่ถูกทิ้งในถุงขยะข้างๆ โซฟาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน 

 

 

ผู้หญิงคนนี้จะกลับบ้านเมื่อไหร่กัน หรือเป็นลูกถูกทิ้ง? เขาจะต้องท่องบทละคร แต่เพราะข้อความค่าโรงแรมที่ถูกส่งมาเมื่อสักครู่ปรากฏรางๆ อยู่ตรงหน้า ทุกอย่างจึงไม่เข้าหัวแม้แต่น้อย สุดท้ายอึยชานก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแทนบทละครที่ปิดลงอย่างแรง แล้วกดปุ่มโทรออกอย่างใจกล้า 

 

 

[ค่ะ] 

 

 

“ตอนนี้ยุ่งอยู่ไหมครับ” 

 

 

[ค่ะ] 

 

 

“ขอเวลาสักครู่ได้ไหมครับ” 

 

 

[ไว้คราวหน้านะคะ] 

 

 

ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยถูกปฏิเสธอย่างเด็ดขาดแบบนี้เป็นครั้งแรก แถมจากผู้หญิงด้วย เคยมีคนบอกว่าคนเราเวลาสับสนมากๆ ปากก็จะขยับไม่ได้ ซึ่งนั่นก็คืออึยชานในตอนนี้ เมื่อปลายสายไม่ได้พูดอะไร ยูมินจึงตัดสายไปอย่างเย็นชาโดยที่ไม่ถามอะไรเพิ่ม 

 

 

“อะไรกัน ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนะ” 

 

 

เนื่องจากกลัวว่าจะมีสายโทรเข้ามาอีก เธอจึงปิดโทรศัพท์ไปเลย จากนั้นจึงพลิกหน้าบทละครที่กำลังอ่านอยู่อีกครั้งแล้วท่องบทพึมพำ 

 

 

“เหมือนที่หม่อมฉันเคยบอกก่อนหน้านี้ เป็นความจริงที่หม่อมฉันเคยชอบพระองค์เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เพคะ แต่ว่าหม่อมฉันตัดใจมานาน… อื้ออ” 

 

 

ช่างเป็นการแสดงที่ยากจริงๆ ผู้หญิงที่ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ทั้งที่อยู่เคียงข้างผู้ชายที่ตัวเองรัก นอกจากจะเป็นความรู้สึกที่ไม่เข้าใจแล้ว คู่ของเธอยังเป็นอึยชานอีก เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่มีสมาธิจดจ่อเลย 

 

 

“ทำไมถึงมองด้วยสายตาแบบนั้น” 

 

 

ยูมินบ่นใส่อึยชานที่มองไม่เห็น เขาเกือบถูกมอเตอร์ไซค์ชนโดยไม่ทันตั้งตัวจึงต้องตกใจแน่นอนอยู่แล้ว แต่ดวงตาของอึยชานที่จ้องมองมาที่ตัวเองกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแทนความตกใจหรือความกลัว สายตานั้นดูเจ็บปวดราวกับมีเสี้ยนหนามติดอยู่ที่ไหนสักที่ในลำคอ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ยูมินหยิบบทละครขึ้นมาอีกครั้งแล้วใช้ตาอ่านตรงส่วนที่เพิ่งเปลี่ยนหน้าไปอย่างลวกๆ  

 

 

[ถ้าหากว่า] 

 

 

บทของอึยชาน ยูมินขีดเส้นบางๆ บนตัวอักษรด้วยปากกาเน้นข้อความสีฟ้า 

 

 

[ชาติหน้ามีจริง ตอนนั้นเจ้าจะชอบข้าอีกหรือไม่] 

 

 

ช่างเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัวจริงๆ เส้นสีฟ้าบางๆ ถูกขีดลงบนตัวอักษรที่ชัดเจนพร้อมกับความคิดเห็นที่ถูกแสดงออกมาสั้นๆ  

 

 

[หากพระองค์ประสงค์ หม่อมฉันก็จะทำเช่นนั้นเพคะ] 

 

 

หัวอ่อน หัวอ่อนจริงๆ ยูมินหลุดขำพร้อมกับขีดเส้นบทพูดด้วยปากกาเน้นข้อความสีส้ม 

 

 

 

 

 

“พี่ มันไม่เกินไปเหรอที่เรียกผมมาแต่เช้าด้วยเรื่องส่วนตัวแบบนี้” 

 

 

จาฮอนพิงทางเข้าห้องแต่งตัวและบ่นงึมงำหลังจากกดรหัสเข้ามาด้วยความเคยชิน ภายในห้องแต่งตัวไม่เหลือช่องว่างให้เดินได้ เพราะเต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่อึยชานถอดแล้วโยนทิ้งไป 

 

 

“ทางนั้นก็มากับผู้จัดการส่วนตัวไม่ใช่เหรอ นายเองก็ทำตัวเป็นผู้เป็นคนหน่อยเถอะ” 

 

 

อึยชานตอบโดยไม่หันไปมองจาฮอนแม้แต่แวบเดียว ดูลุกลี้ลุกลนเกินไปไม่สมกับเป็นเขาเลย จาฮอนขมวดคิ้ว แต่สายตาอึยชานก็ยังไม่เลิกจ้องตัวเองในกระจก โดยปกติแล้วเขาจะเลือกใส่อะไรก็ได้ ขอแค่สอดแขนสอดขาเข้าไปได้ก็พอ แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะลองทาบชุดอะไรก็ไม่มีตัวที่ถูกใจเลย อึยชานโยนเสื้อเชิ้ตที่ลองทาบใต้คอเมื่อกี้นี้ลงไปบนกองเสื้อผ้าอย่างไร้เยื่อใย 

 

 

“ตัวเมื่อกี้ก็โอเคนะครับ ที่เพิ่งโยนไปเมื่อกี้” 

 

 

“งั้นก็เอาไปสิ ค่าโอที” 

 

 

ใบหน้าของจาฮอนที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจจนถึงเมื่อสักครู่จึงสดใสขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงเขาจะบึ้งตึงและพูดจาห้วนๆ อยู่เสมอ แต่ก็มีน้อยคนนักที่ดูแลทีมของตัวเองได้ดีเท่าๆ กันกับอึยชาน อย่างเช่นตอนนี้ที่เขาให้เสื้อเชิ้ตแบรนด์เนมที่ยังไม่ได้แกะป้ายออกด้วยซ้ำเป็นของขวัญค่าทำโอที 

 

 

“แต๊งกิ้ว ผมจะใส่อย่างดีเลยครับ” 

 

 

“ตัวนี้เป็นไง” 

 

 

อึยชานเลือกเสื้อแขนยาวที่ดูใส่สบายขึ้นมาแล้วหันไปหาจาฮอน 

 

 

“ดูไม่ใส่ใจเกินไปครับ” 

 

 

ตุบ เป็นอีกอันที่ถูกไปรวมบนกองเสื้อผ้า ตัวต่อมาที่อึยชานเลือกคือเสื้อไหมพรมสีเบจอ่อนๆ  

 

 

“อันนี้ล่ะ” 

 

 

“ดีขึ้นเยอะ กางเกงสีกรมตรงนู้นครับ” 

 

 

“อันนี้เหรอ” 

 

 

จากในความทรงจำของจาฮอน นี่แทบจะเป็นครั้งแรกที่อึยชานทุ่มเทกับการเลือกเสื้อผ้าขนาดนี้ แต่ดูเหมือนว่าตัวอึยชานเองจะไม่ได้คิดอะไรและตั้งอกตั้งใจใส่กางเกงที่จาฮอนเลือกให้ จากนั้นจึงไปเลือกถุงเท้าต่ออย่างพิถีพิถัน 

 

 

“ได้ไหม” 

 

 

“ครับ ดูดีเลยครับ”