“ออกไปให้หมด” ฮ่องเต้ไม่มีกระจิตกระใจจะชมนางรำแล้วเช่นกัน ยกพระหัตถ์ไล่
เหล่านางรำรีบกลับออกไป
“เนื้อความในจดหมายของรัชทายาท ขุนนางทุกท่านคงได้อ่านกันหมดแล้ว ท่านโหวเซี่ยออกเดินทางไปยังม่อเป่ยตั้งแต่กลางดึกที่ผ่านมา แต่ถึงขี่ม้าเร็วที่สุดก็ยังต้องใช้เวลาถึงห้าวันกว่าจะไปถึง ห้าวันนี้ม่อเป่ยไร้ผู้บัญชาการ แต่ผู้บัญชาการของเป่ยฉีเป็นไปได้สูงว่าคือองค์ชายฉีเหยียนชิง ฟังว่าโอรสคนนี้มีกลยุทธ์การทหารเป็นเลิศ เข้าใจประชาชนและขวัญทหารดี เขานั่งบัญชาการกองทัพเป่ยฉี ตอนนี้มีการเคลื่อนไหวระดมกำลัง ดูท่าคงฉวยโอกาสที่หนานฉินเกิดเหตุวุ่นวายคิดอยากยกทัพรุกราน” ฮ่องเต้ทรงมองขุนนางทั้งหมดแล้วตรัสขึ้น “รัชทายาททราบข่าวเมื่อคืน เหยี่ยวที่บินไวที่สุด จากม่อเป่ยถึงหลินอันต้องใช้เวลาหนึ่งวัน หมายความว่ารอจนท่านโหวเซี่ยไปถึงม่อเป่ยก็อีกเจ็ดวันข้างหน้า”
ทุกคนพยักหน้าพร้อมกัน
“เจ็ดวันข้างหน้ามีผลลัพธ์อย่างไร ขุนนางทุกท่านคงนึกออกใช่ไหม” ฮ่องเต้ทรงยกพระหัตถ์ทุบโต๊ะ “เจตนาของเป่ยฉีมิอาจคาดคะเนได้ ตอนนี้เริ่มระดมกำลัง ใช่อธิบายได้ว่าเหตุความวุ่นวายในหนานฉิน ล้วนเป็นฝีมือของเป่ยฉียุยงปลุกปั่นเบื้องหลังหรือไม่”
ทุกคนมองหน้ากัน ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงขึ้น
“เสด็จพี่ ท่านคิดเห็นเช่นไร” ฮ่องเต้ทรงมองอิงชินอ๋อง
“ความวุ่นวายทั้งในและนอกหนานฉินช่วงที่ผ่านมาใช่ฝีมือของเป่ยฉีหรือไม่ยังต้องรอการตรวจสอบให้กระจ่าง กองทัพเป่ยฉีมีการโยกย้ายทหารและมีแนวโน้มว่าระดมกำลังยังมิเป็นรูปธรรม ในเมื่อท่านโหวเซี่ยเดินทางไปแล้ว รัชทายาทขอให้ฝ่าบาทแก้ไขระบบทหาร โยกย้ายทหารและอาวุธในรัศมีหนึ่งร้อยลี้รอบม่อเป่ยเพื่อสนับสนุนท่านโหวเซี่ย ตามความเห็นของกระหม่อม รัชทายาททำถูกแล้ว ฝ่าบาทรีบออกพระราชโองการเถิด” อิงชินอ๋องลุกขึ้นด้วยสีหน้ากังวล ประสานมือคารวะฮ่องเต้
“แก้ไขระบบทหารเป็นเรื่องใหญ่ ไหนเลยจะแก้ไขง่ายๆ” ฮ่องเต้ทรงย่นพระขนง มองไปยังคนอื่นๆ
เสนาบดีฝ่ายซ้ายได้ยินเช่นนั้นก็ก้าวออกจากแถว “ฝ่าบาท หากความวุ่นวายต่อเนื่องกันในหนานฉินเป็นฝีมือของเป่ยฉีจริง เช่นนั้นเป่นฉีฉวยโอกาสระดมกำลัง แผนรับมือของหนานฉินเองก็มิควรล่าช้า กระหม่อมเห็นด้วยกับท่านอ๋อง คิดว่ารัชทายาทกล่าวมีเหตุผลแล้ว ระบบทหารของเป่ยฉีกับหนานฉินแตกต่างกัน หาก
ฉีเหยียนชิงโยกย้ายกำลังทหารทั่วเป่ยฉี พรมแดนม่อเป่ยของเรามีทหารเพียงสามแสนนาย ระหว่างที่ยังไร้ผู้บัญชาการย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ด้วย หากพรมแดนถูกยึด เป่ยฉีคว้าชัยแล้วบุกประชิดเข้ามาได้อย่างราบรื่น ขี่ม้าย่างกรายเข้ามาในอาณาเขตหนานฉิน ผลลัพธ์มิอาจจินตนาการได้เลยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“กระหม่อมเองก็คิดว่าที่รัชทายาทเสนอให้มีการแก้ไขระบบทหารมีเหตุผล” เสนาบดีฝ่ายขวาก้าวออกมาเช่นกัน
“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หย่งคังโหวมองซ้ายแลขวา ก่อนก้าวออกจากแถว
“กระหม่อมก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางคนอื่นทยอยกันลุกขึ้นยืน
“พวกเจ้าล้วนเห็นด้วยกับคำขอของรัชทายาท แต่พวกเจ้าพิจารณาแล้วหรือยัง ตอนนี้จวนจงหย่งโหวเหลือเพียงจวนเปล่า จวนแหล่งธัญพืชกับจวนโรงเก็บเกลือล้วนปิดประตูขัดดาลเหมือนกัน ยามนี้ตระกูลเซี่ยทั้งหมดเหลือเพียงผู้อาวุโสกับคนอ่อนแอมีโรคภัยในครอบครัวหกเท่านั้น ตระกูลเซี่ยมีเจตนาใดกันแน่ ผู้ใดกล้ารับรองได้บ้าง อีกอย่างอย่าลืมว่าบุตรีแห่งจวนจงหย่งโหว เซี่ยเฟิ่งป้าของเซี่ยฟางหวาเป็นฮองเฮาแห่งเป่ยฉี หากตระกูลเซี่ยยอมสวามิภักดิ์ต่อเป่ยฉี เซี่ยม่อหานเดินทางไปครั้งนี้พร้อมอำนาจการทหาร หากร่วมมือกับเป่ยฉี คอยประสานจากภายในร่วมมือกับภายนอก หนานฉินของข้าจะยังมีทางรอดอีกหรือไม่” ฮ่องเต้ทรงมองทุกคนพลางตรัสด้วยโทสะ
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็แสดงความกลัดกลุ้ม
“ฝ่าบาท ตระกูลเซี่ยจงรักภักดีมายาวนาน วิกฤตการณ์ที่เมืองหลินอันก็ได้เซี่ยฟางหวาหาสมุนไพรดำม่วงมาช่วยเหลือจนตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัส ข่าวนี้คงเผยแพร่ไปทั่วใต้หล้าแล้ว มิใช่เรื่องหลอกลวง อีกอย่างท่านโหวเซี่ยก็ยืนหยัดรักษาเมืองหลินอันร่วมกับรัชทายาทมาโดยตลอด ร่วมแรงร่วมใจกันถึงคลี่คลายวิกฤตการณ์ที่ประชาชนต้องประสบในเมืองหลินอันได้ ผู้เฒ่าโหวแห่งจวนจงหย่งโหวแค่อยู่ในเมืองมานานมากแล้วจึงออกไปทัศนาจรเพื่อผ่อนคลายจิตใจ จวนแหล่งธัญพืชกับจวนโรงเก็บเกลือออกไปตามหาคุณชาย
อวิ๋นหลานกับคุณชายอวิ๋นจี้ เท่าที่กระหม่อมทราบ ตอนนี้คุณชายอวิ๋นจี้อยู่ที่เมืองหลินอัน ฉินเหลียนถูกลอบทำร้ายบนกำแพงในประตูเมืองทิศใต้ โชคดีที่คุณชายอวิ๋นจี้รับตัวไว้ทันจึงรอดชีวิตมาได้ กระหม่อมคิดว่า ตระกูลเซี่ยจงรักภักดีเสมอมา มิจำเป็นต้องสงสัยหรือระแวดระวังอีก” อิงชินอ๋องได้ยินเช่นนี้ก็ก้าวออกมา
“ฝ่าบาท ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายก้าวขึ้นมา “ในเมื่อรัชทายาทเขียนจดหมายมาด้วยตัวเอง ถึงแม้ฝ่าบาททรงมิเชื่อใจตระกูลเซี่ย แต่ก็ควรเชื่อใจรัชทายาท”
“รัชทายาท” ฮ่องเต้ทรงแค่นหัวเราะ “รัชทายาทเห็นเซี่ยฟางหวาก็ไม่…”
“ฝ่าบาท” อิงชินอ๋องพลันเอ่ยเรียกยั้งวาจาของฮ่องเต้
ฮ่องเต้ได้สติกลับคืนมา คิดว่ามิควรวิจารณ์อย่างไม่เหมาะสมต่อหน้าขุนนางเช่นกันจึงเงียบลง
บรรดาขุนนางกลับตระหนักขึ้นได้โดยพร้อมกัน คิดในใจว่าฝ่าบาททรงมีพระราชโองการหย่าร้าง
เซี่ยฟางหวา เซี่ยฟางหวามิได้สนใจพระชายาอิงชินอ๋องที่ไล่ตามไป ยืนกรานจะจากไปเพื่อประสานกับเมืองหลินอันและรัชทายาท ยามนี้ร่วมมือกันจนแก้ไขวิกฤตการณ์ที่เมืองหลินอันได้ หรือว่าระหว่างนั้นนางกับ
รัชทายาทมี…รัชทายาทถึงเชื่อใจเซี่ยม่อหาน เพราะการระดมกำลังในเป่ยฉีถึงตัดสินใจแก้ไขระบบทหาร
ทุกคนในห้องโถงกลั้นหายใจ ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงขึ้น
อิงชินอ๋องทั้งไม่พอใจทั้งโมโห ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ “กระหม่อมรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมากะทันหัน ขอตัวกลับจวนก่อน” พูดจบ เป็นครั้งแรกที่ไม่รอการอนุญาตจากฝ่าบาท ออกจากอุทยานหลวงทันที
เครื่องแบบขุนนางดุจสายลม ลายงูใหญ่คล้ายเต็มไปด้วยโทสะ เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ขุนนางทุกคนเงียบกริบ ลอบสังเกตพระพักตร์ของฮ่องเต้
พระพักตร์ฮ่องเต้มิน่ามองอย่างยิ่ง ทว่ามิได้แสดงความเดือดดาลที่อิงชินอ๋องกลับไป หากแต่สะกดกลั้นโทสะแล้วตรัสขึ้น “ระบบทหารเป็นสิ่งที่อดีตฮ่องเต้กำหนดขึ้นก่อนสวรรคต ย่อมแก้ไขมิได้โดยง่าย แต่เราออกพระราชโองการได้ เมื่อใดที่เป่ยฉียกทัพเข้ามารุกราน ทหารโดยรอบม่อเป่ยต้องรีบเข้าช่วยเหลือเป็นทัพเสริม ส่งจดหมายด่วนไปยังเขตการปกครองรอบม่อเป่ยประเดี๋ยวนี้”
เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวามองหน้ากัน ทราบดีว่าฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้ว แม้มิได้แก้ไขระบบทหาร แต่มีพระราชโองการนี้ก็เป็นผลเช่นเดียวกัน ต่างรีบก้าวขึ้นมา “ขอฝ่าบาททรงอายุยืนหมื่นปี”
ฮ่องเต้ทรงสะบัดแขนเสื้อ เสด็จออกจากอุทยานหลวงเช่นกัน
หลังฮ่องเต้กับอิงชินอ๋องกลับไป บรรดาขุนนางก็ไม่มีกระจิตกระใจอยากที่จะทานอาหารล้ำค่าในจานตรงหน้าอีกแล้ว ล้วนก้มหน้าเดินออกจากวังหลวงด้วยความหดหู่
ช่วงนี้หนานฉินดวงไม่ดี เกิดเรื่องขึ้นต่อเนื่องกัน ไม่มีวันใดที่รู้สึกมั่นคงสงบสุขอย่างแท้จริงเลย พวกเขาในฐานะขุนนางต้องวางศีรษะไว้บนเข็มขัดแล้วดำเนินชีวิตต่อไป มิได้ง่ายดายนัก
อิงชินอ๋องกลับมาถึงจวนอิงชินอ๋องด้วยความโกรธเคือง
พระชายาทราบเรื่องที่อุทยานหลวงแล้วจึงออกมารับอิงชินอ๋อง ก่อนเอ่ยถามเขาอย่างละเอียด “ไฉนถึงโกรธจัดถึงเพียงนี้”
“คิดถึงสมัยก่อนตอนที่น้องเจ็ดยังมิได้ตำแหน่งจักรพรรดิ ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ใจกว้างต่อผู้อื่นเสมอมา ทั้งมีคุณธรรมและเมตตาธรรม แต่ฝ่าบาทในตอนนี้ช่างต่างกับเมื่อก่อนราวฟ้ากับเหว หากเป็นเมื่อก่อน พระองค์คงไม่มีทางตรัสเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่นเป็นแน่ ถึงแม้หวาเอ๋อร์ไม่ใช่ลูกสะใภ้ของจวนอิงชินอ๋องอีกแล้ว แต่ก็เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของรัชทายาท พระองค์ตรัสตามอำเภอใจได้อย่างไรกัน หรือการนั่งตำแหน่งจักรพรรดินานเกินไปจะเปลี่ยนคนผู้หนึ่งได้จริง” อิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา
“ฝ่าบาทมิใช่ฝ่าบาทเช่นในอดีตแล้ว ข้ากระจ่างแจ้งมาตั้งแต่เนิ่นๆ มีแต่ท่านที่ยังฝากความหวังไว้ที่พระองค์” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขาด้วยแววตาไม่พอใจ ก่อนเดินอ้อมหลังมาทุบไหล่ให้ “ช่างเถอะ ท่านอย่าโกรธเลย โกรธแล้วจะมีประโยชน์อันใด จนถึงป่านนี้ยังไม่มีข่าวคราวของเจิงเอ๋อร์กับอี้จือเลย ข้าเป็นห่วงยิ่งนัก วิกฤตการณ์ในเมืองหลินอันคลี่คลายลงแล้ว แต่กลับไม่ได้ยินข่าวคราวของพวกเขา ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด”
“เฮ้อ ไม่ให้สบายใจได้เลยจริงๆ” อิงชินอ๋องนวดศีรษะ
พระชายาอิงชินอ๋องเองก็กลุ้มใจ ขณะจะกล่าวขึ้นอีก สี่ซุ่นก็วิ่งเข้ามาจากข้างนอกด้วยความรีบร้อน “พระชายา มีจดหมายถึงท่านขอรับ”
“จดหมาย” พระชายาอิงชินอ๋องชะงัก “ผู้ใดส่งมา”
“เป็นจดหมายจากคุณชายหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา” สี่ซุ่นตอบ
“รีบนำเข้ามา” พระชายาอิงชินอ๋องดีใจ
สี่ซุ่นรับคำแล้วรีบวิ่งมาที่ประตู ชุนหลานออกไปรับแล้วนำจดหมายกลับมายื่นให้พระชายาอิงชินอ๋อง
พระชายาอิงชินอ๋องรีบเปิดจดหมายอ่าน พบว่าเป็นจดหมายจากหลี่มู่ชิงจริงๆ
“มีเรื่องใด” อิงชินอ๋องรีบถาม
เนื้อความในจดหมายสั้นมาก พระชายาอิงชินอ๋องอ่านจบก็กล่าวขึ้นด้วยความดีใจระคนกังวล “เจ้าหลี่จากจวนเสนาบดีฝ่ายขวาบอกว่าเขาได้พบหวาเอ๋อร์เมื่อวันก่อน หวาเอ๋อร์ทิ้งเขาแล้วเดินทางไปเพียงลำพัง เขาค้นหาอยู่พักหนึ่งก็หาร่องรอยของหวาเอ๋อร์ไม่เจอ กลับพบที่อยู่ของเจิงเอ๋อร์โดยไม่ได้ตั้งใจ”
“ตอนนี้ฉินเจิงอยู่ที่ใด” อิงชินอ๋องรับจดหมายมารีบอ่าน
พระชายาอิงชินอ๋องตอบ “ถูกขังในอาณาเขตลับของเผ่าภูตผี”