ตอนที่ 17 ยินดีจนแทบคลั่ง Ink Stone_Fantasy
บนศิลาก้อนใหญ่ซึ่งลอยคว้างอยู่กลางฟ้า มิติที่รายล้อมรอบด้านสับสนวุ่นวาย ตงป๋อเสวี่ยอิงรวบรวมสมาธิอย่างสิ้นเชิง
มีสมบัติล้ำค่าที่แม่เฒ่าอิงซานและโหวหั่วเลี่ยมอบให้เพื่อหล่อเลี้ยงคนในตระกูลเป็นจำนวนมาก สายเลือดห้วงอากาศซึ่งเดิมทีมีเบาบางอย่างยิ่งนั้นก็เข้มข้นขึ้นมากทีเดียว แต่ก็ยังคงนับว่าอยู่ในระดับที่ ‘บางเบา’ อยู่นั่นเอง ทว่าระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงสูงส่งอย่างยิ่ง จึงสามารถพบสายเลือดห้วงอากาศที่กบดานอยู่ภายในกายออกมาได้อย่างรวดเร็ว
“ตู้ม…”
การกระตุ้นสายเลือดห้วงอากาศในระดับที่ลึกขึ้นพลันเหนี่ยวนำให้เกิดการวิวัฒน์ของทุกอณูภายในกาย ซึ่งล้วนแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงจากโครงสร้างภายในอณู นี่คือการก้าวข้ามจากขั้นกำเนิดไปสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่ง ร่างกายยกระดับขึ้นอย่างพรวดพราด จึงย่อมดูดซับพลังฟ้าดินรอบด้านอย่างบ้าคลั่ง เจดีย์เทพอากาศตั้งใจนำมาใช้บำเพ็ญโดยเฉพาะ ภายในกลับมีน้ำวนคูหาดำมืดที่โหมซัดก่อตัวขึ้น พลังฟ้าดินโหมซัดจากกลางน้ำวนคูหาดำมืด ถูกร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงดูดซับเอาไว้
ชั่วขณะให้หลัง ร่างกายก็ก้าวเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว
“สามารถฝึกฝนร่างเมฆทักษิณาทิพย์ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีออกมา ร่างเมฆทักษิณาทิพย์เป็นเคล็ดวิชาฝึกฝนร่างกายซึ่งแนบมากับวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า หลังจากเข้าสำนักมาก่อนหน้านี้ เขาก็ไม่กล้าฝึกฝน เพราะจะฝึกต่อไปก็ต้องก้าวเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งเสียก่อน
“ฟิ้วๆๆ…”
เขาโบกมือคราหนึ่ง บนศิลาก้อนใหญ่เบื้องหน้าก็มีดินโคลนสีเขียวเข้มกองหนึ่งวางอยู่
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเคล็ดวิชาร่างเมฆทักษิณาทิพย์ออกมา เมื่อโจรคราหนึ่ง ดินโคลนสีเขียวเข้มนี้ก็พลันเปล่งประกายสีเขียววิบวับแทรกเข้าไปในกายของตงป๋อเสวี่ยอิง…
ร่างเมฆทักษิณาทิพย์นี้ก็คือเคล็ดวิชาฝึกฝนร่างกายระดับยอดสุดของรัฐโบราณทั้งหก ข้อด้อยเพียงข้อเดียวก็คือสิ้นเปลืองเกินไป! ดูดซับสารสำคัญของวัตถุล้ำค่าจำนวนมากแล้วหลอมรวมเข้าไปในกาย ถือเอาร่างกายเป็นเหมือน ‘อาวุธลับล้ำค่า’ แล้วหลอมแปรขึ้นมา อีกทั้งเมื่อเทียบกันแล้วการหลอมแปรอาวุธลับล้ำค่าก็ง่ายดายกว่าอยู่บ้าง ร่างกายนั้นเกี่ยวโยงถึงวิญญาณ ขณะฝึกฝนก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น วัตถุล้ำค่าที่ต้องการก็จำกัดกว่า ต้องแลกมาด้วยสิ่งที่สูงค่ากว่าพอตัวเลยทีเดียว
“รอให้ในภายหน้าพลังของข้ามีผลสำเร็จ ก็ยังคงต้องอาศัยตนเองไปหาแก้วผลึกจักรวาล อาศัยแค่ที่โหวหั่วเลี่ยและแม่เฒ่าอิงซานมอบให้นั้น ย่อมไม่เพียงพออย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในข้อนี้ดี โหวหั่วเลี่ยก็เป็นเพียงยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น จะทุ่มสมบัติล้ำค่าให้หมดตัวจะได้สักเท่าใดกัน ส่วนแม่เฒ่าอิงซานมีสมบัติล้ำค่ามากมายนัก ทว่าที่มอบให้ชนรุ่นหลังจะมากมายสักเท่าใดกันเชียว
ยังต้องอาศัยตนเอง
แน่นอนว่าในช่วงแรก ด้วยความช่วยเหลือของตระกูลอิงซานก็น่าจะเพียงพอ และนี่ก็คือข้อดีของตระกูล อย่างพวกที่ไม่มีผู้หนุนหลังเหล่านั้น ยามอ่อนแอก็ต้องพยายามสุดชีวิตเพื่อเสาะหาทรัพยากรมา หากไม่มีทรัพยากร ความยากในการฝึกฝนก็มากกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า อย่างเช่นการฝึก ‘ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์’ ซึ่งยากเข็ญอย่างยิ่งเป็นต้น
……
ครึ่งเดือนให้หลัง
ตงป๋อเสวี่ยอิงออกจากเจดีย์เทพอากาศ เขาแหงนหน้ามองแวบหนึ่ง เกล็ดหิมะโปรยปราย
“หิมะตกแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
“อะไรนะ” เถียนอี้จือมองคุณชายของตนด้วยความตกตะลึง กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากหนุ่มน้อยรูปงามตรงหน้ายิ่งใหญ่เป็นถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว
“ขั้นรวมเป็นหนึ่งหรือ แปด แปดพันปี นี่เพิ่งจะแปดพันปีเองหรือ” เถียนอี้จือไม่อยากจะเชื่อ สำหรับเทพอากาศแล้ว เวลาแปดพันปีก็แค่เหมือนงีบไปครู่หนึ่งเท่านั้น
“ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ตั้งนานแล้ว ผู้อาวุโสเถียน ไปกันเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“อื้อ” เถียนอี้จือรับคำ สิงห์เมฆาทะมึนสองตนด้านข้างก็ตะลึงงันไปหมด ทว่าก็รีบตามไปทันที
วิ้ง
ค่ายกลซึ่งปกคลุมจวนโหวขนาดมหึมาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิง วิญญาณค่ายกลนำข่าวนี้ไปรายงานให้โหวหั่วเลี่ยทราบทันที
******
โหวหั่วเลี่ยนั่งอยู่ใต้ศาลาริมทะเลสาบพลางดื่มสุราเพียงลำพัง
เกล็ดหิมะโปรยปลิว
“ท่านโหว” สตรีนางหนึ่งด้านข้างเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพ
“เรื่องอาวุธลับล้ำค่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” โหวหั่วเลี่ยพูดเสียงเรียบ “มิได้ถูกหลอกกระมัง”
ก่อนหน้านี้เขาทราบมาว่าอิงซานเสวี่ยอิงได้ใช้แก้วผลึกจักรวาลสิบล้านก้อนซื้อสมบัติลับมา ชั่วแวบแรกก็คิดว่าอาจจะถูกหลอกลวงเสียแล้ว
สมบัติลับที่มีคุณสมบัติเรียกได้ว่าสมบัติลับ โดยทั่วไปต้องมีราคากว่าสิบล้านแก้วผลึกจักรวาล!
เจ้าหนุ่มที่เพิ่งเกิดมาเพียงแปดพันปีจะไปรู้จักสมบัติลับอะไรกัน ตอนนั้นโหวหั่วเลี่ยก็โมโห เขารู้สึกว่าอาจจะมีผู้ที่อาจหาญหมายตาแก้วผลึกจักรวาลของอิงซานเสวี่ยอิง ดังนั้นจึงสร้างเรื่องหลอกลวงขึ้นมา
ทว่าเมื่อได้รู้ว่าเป็นร้านค้าของ ‘เทียนยินหลิวอวี้’ คนตระกูลเทียนยิน โหวหั่วเลี่ยก็มิได้ผลีผลามทำอะไร หากแต่สั่งให้คนไปตรวจสอบโดยละเอียด
หญิงสาวพูดด้วยความเคารพว่า “อาวุธนั้นเป็นหอกยาวเล่มหนึ่งที่พวกขั้นรวมเป็นหนึ่งพบเข้าขณะสำรวจโบราณสถานเมื่อสิบห้าปีก่อน ทั้งยังเคยสังหารกันและกันด้วย ภายหลัง พวกเขากลับเมืองแล้วก็ได้ขายหอกยาวเล่มนั้นให้กับร้านของเทียนยินหลิวอวี้ด้วยราคาสามล้านแก้วผลึกจักรวาล ตอนนั้นเมื่อพวกเขาอยู่ในร้านก็ยังพบการไล่สังหารจากสหายร่วมทางที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ ตอนนั้นแม่ทัพหั่วเลี่ยแห่งจวนโหวของพวกเราก็เคยส่งทหารออกไปจับตัวสหายของเขามาไต่สวนเรื่องการไล่ล่า”
โหวหั่วเลี่ยได้ฟังแล้วคิ้วก็คลายออก
ที่ชุมชนของล้ำค่า ร้านค้าล้วนแต่ตระหนี่ถี่เหนียวด้วยกันทั้งสิ้น พวกเขายินดีทุ่มสามล้านแก้วผลึกจักรวาลเพื่อซื้อเอาไว้ อิงซานเสวี่ยอิงใช้แก้วผลึกจักรวาลสิบล้านก้อนเพื่อซื้อจากในร้าน ก็ไม่ขาดทุนมากสักเท่าใดนัก
ขอแค่มิใช่เรื่องหลอกลวง โหวหั่วเลี่ยก็ไม่มีทางสอดมือยุ่งเกี่ยว
“ด้ามหอกยาวมิใช่ธรรมดา น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้หัวหอกขาดหายไป จึงเป็นหัวหอกที่เสริมขึ้นในภายหลัง” หญิงสาวกล่าว “ดังนั้นจึงเป็นราคานี้ คุณชายเสวี่ยอิงคงจะไม่ขาดทุนหรอก”
“ใช่” โหวหั่วเลี่ยพยักหน้า
“นอกจากนี้ แขกของเจ้าของหอฉุนอวี้เฟิงซึ่งปะทะกับคุณชายเสวี่ยอิงบนถนนผู้นั้นก็ได้ตรวจสอบแล้ว” หญิงสาวเอ่ย “มีนามว่า ‘กานก้านเสวีย’ มิได้มีชื่อเสียงอันใด เพียงแต่ทำการค้าประเภทที่พบหน้าผู้คนมิได้ก็เท่านั้นเอง”
โหวหั่วเลี่ยพยักหน้าเบาๆ
ในฐานะที่หอม่านเมฆเป็นแหล่งผลาญเงินที่ใหญ่ที่สุด ก็ย่อมมีธุรกิจที่นอกกฎหมายบ้างเป็นธรรมดา
“จับตามองต่อไป” โหวหั่วเลี่ยกำชับ ผู้ปกครองสูงสุดของเมืองอัคคีโชติมักส่งคนไปจับตามองผู้ที่มีความเป็นมาพิเศษอยู่เสมอ
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวรับคำด้วยความเคารพ
โหวหั่วเลี่ยฉวยจอกสุราดื่มไปจอกหนึ่ง ทันใดนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไป
“นายท่าน คุณชายอิงซานเสวี่ยอิงบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นข้างหูเขา
ฟิ้ว!
โหวหั่วเลี่ยลุกพรวดขึ้นทันที ทำให้สตรีข้างกายสะดุ้งก่อนจะมองไปทางท่านโหวของตน
“ขั้นรวมเป็นหนึ่งหรือ ก้าวเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้วหรือ” โหวหั่วเลี่ยตกใจระคนยินดี เขาตื่นเต้นจนต้องพูดละล่ำละลักว่า “นี่เพิ่งจะแปดพันปีเท่านั้นเอง เกิดมาแปดพันปีก็สามารถบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งได้แล้ว”
ความเร็วนี้น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว
ตามสถานการณ์ปกติ ผู้ที่เกิดมาแล้วเป็นขั้นกำเนิดทั้งหลาย ใช้เวลาสักสิบล้านปีในการบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งจึงเรียกได้ว่าปกติ
“ท่านบรรพชนกล่าวไว้ไม่มีผิด” นัยน์ตาทั้งสองของโหวหั่วเลี่ยเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นหาใดเปรียบ “เจ้าหนุ่มเสวี่ยอิงผู้นี้ถูกบีบบังคับให้คลอดก่อนกำหนด แต่ความสามารถที่ซ่อนอยู่ก็ยังคงแข็งแกร่งอย่างยิ่งอยู่ดี พอมีหวังจะให้ขุดค้นออกมาได้ สมบัติล้ำค่าที่มอบให้เพื่อหล่อเลี้ยงสายโลหิตเหล่านั้นช่างให้ไปได้ถูกต้องจริงๆ! หากเป็นการตั้งครรภ์ตามปกติ คาดว่าเจ้าหนุ่มเสวี่ยอิงผู้นี้คงจะอยู่ในครรภ์หลายร้อยปีหรือนับพันปีได้เลยกระมัง พอเกิดมาก็คงจะเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว ตอนนี้ใช้เวลามากอีกหน่อย แต่ก็ใช้เวลามากกว่าเพียงแค่สิบเท่า แปดพันปีก็สำเร็จขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว”
โหวหั่วเลี่ยพึงพอใจมาก
ในประวัติศาสตร์ของรัฐเมฆทักษิณา ผู้ที่เกิดมาก็เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งนั้นมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ แต่ละคนล้วนสำเร็จเป็นขั้นอลวนได้อย่างง่ายดาย! แล้วมีถึงสองคนที่ได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋อง!
คลอดก่อนกำหนด สามารถสำเร็จเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ในแปดพันปี…
เพิ่มจากสำเร็จขั้นรวมเป็นหนึ่งตั้งแต่อยู่ในครรภ์มาเพียงสิบเท่าเท่านั้น
“เพราะคลอดก่อนกำหนดจึงทำให้เกิดผลกระทบอยู่บ้าง” โหวหั่วเลี่ยมีรอยยิ้มระบายเต็มหน้าอย่างอดมิได้“ทว่ามิได้มากนัก ฮ่าฮ่าฮ่า เห็นทีจวนโหวหั่วเลี่ยเราคงจะมีขั้นอลวนเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว”
แม้ถึงเวลานั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจะได้รับแต่งตั้งเป็นโหวและตั้งเมืองเปิดจวนโหวขึ้นมา แต่ความสัมพันธ์ของเขากับโหวหั่วเลี่ยกลับมิอาจเปลี่ยนแปลง
เพราะถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็นับว่าเป็นสายตระกูลเดียวกับโหวหั่วเลี่ย! หากนับกันจริงๆ แล้ว โหวหั่วเลี่ยก็คือท่านปู่ของเขานั่นเอง!
“ต้องรีบบอกท่านบรรพชนเสียแล้ว” โหวหั่วเลี่ยรีบส่งข่าวให้แม่เฒ่าอิงซานทันที
…………………………….