ตอนที่ 196 โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 196 เยือนต่างถิ่นอีกครั้ง (4)

             เมื่อลั่วจื่อหานตื่นขึ้นมาอีกครั้งอี้เป่ยซีก็ออกไปจากโรงแรมแล้ว เขาล้างหน้าล้างตาเดินไปยังห้องโถงใหญ่ก็เห็นอาหารเช้าวางอยู่บนโต๊ะ อีกทั้งยังมีควันร้อนๆ ลอยกรุ่นอยู่ โน้ตสีน้ำเงินที่อยู่ด้านข้างมีตัวอักษรที่ละเอียดอ่อนสวยงามของอี้เป่ยซีเขียนไว้ด้านบน ดูมีความอบอุ่นจางๆ

            “ฉันรู้ว่าโรงแรมมีอาหารเช้าระดับห้าดาว แต่ว่าโรงแรมนี้อร่อยมากจริงๆ นะ แต่แน่นอนว่าอาหารที่นายทำอร่อยที่หนึ่งในใจฉันอยู่แล้ว”

            ลั่วจื่อหานเห็นรูปหน้ายิ้มสามรูปอยู่เคียงข้างกัน ก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากยิ้ม หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและเล่นกับมันเป็นเวลานานก่อนที่จะส่งรูปหน้ายิ้มให้อี้เป่ยซี เธอไม่ได้ตอบเขาทันทีแต่เพียงโทรเข้ามาภายในพริบตา ลั่วจื่อหานเกือบทำโทรศัพท์มือถือหลุดมือ เขากระแอมไอ ค่อยๆ สงบจิตใจลงจึงกดรับสาย

            “ฉันนึกว่านายอยู่หน้าโทรศัพท์ซะอีก ทำไมรับสายช้าจัง”

            “กำลังกินข้าว”

            “อร่อยมากใช่ไหมล่ะ ตอนที่ฉันกินครั้งแรกก็ประหลาดใจมาก ตอนนั้นยังนึกเสียใจอยู่เลยที่ไม่ได้พานายมาด้วยกัน แบ่งกับนายไม่ได้ ตอนนี้ดีแล้ว มันสมบูรณ์แบบแล้ว”

            ดวงตาของลั่วจื่อหานเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน “เธอนี่มีความสุขกับอะไรง่ายดีนะ”

            “ใช่แล้วๆ ไม่ทราบว่าเมื่อไรเชฟลั่วจะแสดงฝีมืออีกครั้งล่ะ ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้จะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว”

            “ต้องดูพฤติกรรมของเธอ ตอนนี้เธอยังมีความผิดติดตัวนะ”

            อี้เป่ยซีนิ่งไปครู่หนึ่ง “ทำไมประโยคนี้คุ้นๆ”

            “อ่อ ทำไมคุณนายลั่วขี้ลืมแบบนี้ นี่มันเป็นคำพูดที่เธอเคยพูดกับฉันไม่ใช่เหรอ?”

            “นายมันผู้ชายใจแคบ จำได้ตั้งนานแบบนี้”

            “ไม่ใช่แค่ประโยคนี้นะเป่ยซี ฉันจำทุกคำที่เธอพูดได้หมด ทั้งดี และไม่ดี ฉันจำได้หมดเลย”

            เธอสูดๆ จมูก รอยยิ้มกว้างปรากฏอยู่บนใบหน้า “ฉันพูดจาไม่ดีตั้งแต่เมื่อไรกัน นายน่ะจำผิดเอง ลบพวกนั้นให้หมด ลบทิ้งให้หมด”

            “โอเคๆๆ พูดดีทุกอย่างเลย”

“วู้ อี้เป่ยซี!” เสียงของคนนั้นเจือปนความประหลาดใจ อี้เป่ยซืถือโทรศัพท์มือถือพร้อมมองผู้ชายผมบลอนด์เนิ่นนาน นึกไม่ออกว่าเขาคือใครแต่ก็รู้สึกว่าคุ้นหน้ามาก เป็นไปได้ว่าเคยเจอกันที่งานสัมมนา เธอพยักหน้าให้เขาด้วยความนอบน้อม กระซิบกับลั่วจื่อหานสองสามคำแล้ววางสาย

            ผู้ชายคนนั้นยังคงยืนอยู่หน้าอี้เป่ยซี ใบหน้ามีรอยยิ้ม

            “เอ่อ ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณคือ…”

            ความผิดหวังบนใบหน้าของเขานั้นเห็นได้อย่างชัดเจน “เธอลืมฉันไปแล้วเหรอ? ไม่น่าล่ะ เอ่อ งั้นถ้าฉันเรียกเธอว่าภรรยาตัวน้อยของลู่เยี่ยหวา พอจะจำได้ไหม?”

            อี้เป่ยซีมองดูดวงตาที่แพรวพราวของเขา ไม่รู้ว่าในใจรู้สึกอย่างไร มีบางเรื่องที่เธอลืมไปทีละน้อยแล้ว แต่เมื่อมีคนหยิบยกมันขึ้นมา ฉากอื่นๆ ก็ทะลักเข้ามาในสมองราวกับสายน้ำเชี่ยวหลาก ทันทีที่กล่องหน่วยความทรงจำถูกเปิดออกแล้วก็จะไม่มีทางหยุดมันได้ เธอถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความกระอักกระอ่วนใจ ทันใดนั้นคนในชุดดำก็ปรากฏตัวต่อหน้าอี้เป่ยซี มองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธออย่างไม่เป็นมิตร

            “ไม่เป็นไร แค่เพื่อนเก่าของฉัน นายไม่ต้องเป็นห่วง”

            ชายชาวต่างชาติคนนั้นก็ไม่รังเกียจ ยังคงยิ้มเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ “คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอเธอที่นี่ ก่อนหน้านี้ฉันไปทำงานที่อื่น ไม่ค่อยรู้เรื่องประเทศ U ขอโทษจริงๆ ที่ตอนนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเธอเท่าไร”

            อี้เป่ยซีรู้สึกว่าปากแห้งผากเล็กน้อย ราวกับว่าได้ย้อนกลับไปวันนั้นอีกครั้ง เธอนั่งอยู่ในทางเดินยาวที่ว่างเปล่าของโรงพยาบาลตามลำพังอย่างหมดหนทาง จังหวะโน้ตติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ในโรงพยาบาลวนซ้ำไปมาหลายรอบ จนสุดท้ายมีเพียงเสียงตื้ด…ยาว เป็นการประกาศอย่างง่ายๆ ว่าคนคนหนึ่งได้จากไปแล้ว

            “ไม่ ไม่เป็นไร รุ่น รุ่นพี่ก็มาฟังการสัมมนาเหรอคะ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นพี่เลย”

            เขาหัวเราะ “แฟนของฉันอยู่ ฉันไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก ฉันเหมาะทางด้านเศรษฐศาสตร์มากกว่า เที่ยงนี้ฉันจะเลี้ยงข้าวเธอ ไม่รู้ว่าไม่ได้เจอกันขนาดนี้ เธอยังจะไว้หน้าฉันยอมให้ฉันเลี้ยงเธอหรือเปล่า”

            เธอเผยยิ้มด้วยความยากลำบากเล็กน้อย “วันหลังเถอะค่ะ สองวันนี้ธุระเยอะนิดหน่อย วันหลังฉันจะเลี้ยงรุ่นพี่ แบบนี้ได้ไหมคะ?”

            “ก็ได้ ฉันไม่ทำให้เธอลำบากหรอก งั้นฉันเข้าไปก่อนนะ เขาคงรอฉันจนร้อนใจแล้ว”

            อี้เป่ยซีเข้าไปในห้องประชุม อาจารย์บอกเขาว่าผู้บรรยายมีธุระกะทันหันและจะมาสายอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้ก็ให้เตรียมตัวกันไปก่อน และในขณะที่เพื่อนนักศึกษากำลังปรึกษาหารือกันอย่างออกรสนั้น เธอก็แอบย่องออกไปโดยไม่คิดแล้ว

            มหาวิทยาลัยแห่งนี้คือสถานที่ที่ลู่เยี่ยหวาเคยอยู่มาก่อน อี้เป่ยซียังจำได้ เวลาที่เธออยู่ด้วยกันกับเขา รอกระทั่งวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาก็จะพาเธอมาเยี่ยมชมที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ตอนนั้นเขาเป็นนักศึกษาวิจัยใกล้จะเรียนจบแล้ว ถ้าหากไม่มีอะไรทำ สิ่งเดียวที่เขาจะทำก็คือการพาอี้เป่ยซีมาเที่ยวเล่นในบริเวณมหาวิทยาลัย

            พวกเขาเดินกลับไปกลับมาตามกำแพง เดินย่ำอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวที่เพิ่งงอกใหม่ เดินย่ำอยู่บนใบไม้ที่ร่วงหล่น เดินย่ำอยู่บนหิมะสีขาวที่ยังคงส่งเสียงดังสวบๆ เธอพิงหลับอยู่บนไหล่ของเขาในงานคอนเสิร์ต เขาฝืนง่วงนั่งดูหนังเป็นเพื่อนเธอ เธอปีนขึ้นไปบนโต๊ะมองดูเขาเขียนวิทยานิพนธ์ด้วยภาษาทางเศรษฐศาสตร์ที่น่าเบื่อหน่ายรอบแล้วรอบเล่าแต่กลับถูกอาจารย์ชื่นชม เธอยังจำได้ว่าเธอเคยให้คำมั่นสัญญาว่าเธอจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้ให้ได้และต้องได้คะแนนสูงกว่าเขา

            อี้เป่ยซีก็ก้าวขาไม่ออกฉับพลัน เธอนั่งลงบนม้านั่งข้างทาง ภายในมหาวิทยาลัยที่ไม่มีต้นไม้เขียวชอุ่มเผยให้เห็นกิ่งไม้สีขาวเทา ดูโดดเดี่ยวเป็นอย่างมาก

            ลู่เยี่ยหวา…ทำไมจู่ๆ ก็คิดถึงนายแบบนี้

            เธอหลับตา มีคนนั่งลงข้างเธอ อี้เป่ยซีเงยหน้าขึ้น ตอนนี้สายตาพร่ามัวแล้ว คนข้างๆ เขยิบเข้ามาใกล้ขึ้นเล็กน้อย กอดเธอไว้อย่างนุ่มนวล

            “ลั่วจื่อหาน…”

            “อืม ฉันอยู่นี่”

            อี้เป่ยซีหลับตาลงไม่ได้พูดอะไรอีก ลมหายใจของทั้งสองคนแพร่กระจายอยู่ในสายลมแห่งฤดูหนาว

            ลั่วจื่อหานขมวดคิ้วเบาๆ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกอิจฉาคนคนนั้นที่จากไปแล้วเล็กน้อย ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร อี้เป่ยซีก็อาจไม่สามารถลืมเขาได้ทั้งชีวิต ท่าทางที่สมบูรณ์แบบที่สุดของเขา

จะอยู่ในความทรงจำของเธอตลอดไป

            แต่ว่าลั่วจื่อหานก็ต้องขอบคุณเขา ถ้าหากไม่ใช่เพราะลู่เยี่ยหวา บางทีความหวังเล็กๆ ของเขาก็อาจไม่มีวันเป็นจริง เขาก็จะเป็นเหมือนคนที่ถูกโชคชะตาเล่นตลก ที่มัวแต่ค้นหาสมบัติหายากที่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้วอย่างไม่หยุดหย่อน

            ทั้งสองคนนั่งด้วยกันตลอดทั้งบ่าย จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของอีเป่ยซีสั่น เธอจึงค่อยๆ ถอนตัวออกมาจากอารมณ์ของตัวเอง

            “อี้เป่ยซี เธอหายไปไหนน่ะ?” เสียงของอาจารย์มีความโมโหเล็กน้อย

            “ขอโทษค่ะอาจารย์”

            อาจเป็นเพราะได้ยินเสียงอู้อี้ของอี้เป่ยซีที่เหมือนกับคนที่เพิ่งร้องไห้มา น้ำเสียงของเขาจึงอ่อนลง “ถ้าไม่สบาย บ่ายนี้ก็ไม่ต้องมาแล้ว ตอนบ่ายไม่มีอะไรหรอก”

        “ค่ะ ขอบคุณค่ะอาจารย์”

————