ตอนที่ 197 โดย Ink Stone_Romance
ตอนที่ 197 เยือนต่างถิ่นอีกครั้ง (5)
ตอนบ่ายอี้เป่ยซียังคงเข้าร่วมการอภิปรายอิสระโดยมีลั่วจื่อหานเข้าร่วมด้วย แม้ว่าความคิดของเธอจะถูกควบคุมโดยอารมณ์ของตัวเอง ดูขัดแข็งและไม่ลื่นไหลอย่างเห็นได้ชัด แต่มันก็ไม่ได้ขัดขวางเธอในการบันทึกคำพูดคมๆ ของคนอื่นโดยอัตโนมัติ ไม่นานสมุดเล่มน้อยก็เต็มไปด้วยข้อมูลเชิงลึกของคนอื่นๆ อีกมากมาย
เมื่อการอภิปรายจบลงเวลาห้าโมงเย็น อี้เป่ยซีรู้สึกว่าเรี่ยวแรงสุดท้ายของตัวเองได้หดหายไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของเข็มบอกเวลาแล้ว ใบหน้าเธอสงบนิ่ง ลั่วจื่อหานจูงมือเธอเดินอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยรอบแล้วรอบเล่า จนกระทั่งท้องฟ้ามืดสนิท ลั่วจื่อหานจึงพาเธอไปยังดาดฟ้าของอาคารเรียนที่สูงที่สุด
“ลู่เยี่ยหวาก็พาฉันมาที่นี่บ่อยๆ” ลมหนาวพัดผมยาวของอี้เป่ยซีพันกันในอากาศ ก็เหมือนกับอารมณ์ของเธอในตอนนี้ เธอรู้สึกทั้งหมดแรงทั้งสับสน เธอรู้ว่าตัวเองไม่มีวันลืมเขา แต่ว่าเธอก็ไม่อยากคิดถึงเขาต่อหน้าลั่วจื่อหาน แต่ว่าเธอรู้ดีว่าตัวเองทำไม่ได้
ลั่วจื่อหานหัวเราะแผ่วเบา “ฉันเป็นคนบอกเขาเรื่องที่นี่”
อี้เป่ยซีหันมองผู้ชายที่อยู่ข้างหลังด้วยความตกตะลึง เขากอดเธอ มองดูทิวทัศน์ยามค่ำคืนของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ที่ทั้งสงบและหนักอึ้ง “ฉันเป็นรุ่นพี่ของเขา”
“นาย…”
“เป่ยซี เขาจะอวยพรพวกเรา”
อี้เป่ยซีมองไปยังด้านล่างอาคาร ตอบว่าอืมเบาๆ คำพูดที่เพิ่งเอ่ยออกมาแพร่กระจายไปตามสายลม โอบล้อมอยู่ระหว่างทั้งสองคน ราวกับว่ามันกำลังก่อตัวเป็นรัศมีจางๆ ห่อหุ้มพวกเขาเอาไว้ กลายเป็นทิวทัศน์อันแปลกตาที่สุดในฤดูหนาว คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้ก็มองเห็นแสงรัศมีได้จากที่ไกลๆ และดูเหมือนว่าจะสามารถรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ไหลวนระหว่างพวกเขา ไม่สิ บางทีควรจะพูดว่าสามคนมากกว่า
วันรุ่งขึ้น ลั่วจื่อหานพาอี้เป่ยซีไปกินอาหารเช้าในร้านอาหารที่ค่อนข้างไกลแห่งหนึ่ง แล้วจึงส่งเธอกลับมหาวิทยาลัยด้วยความอืดอาด จากนั้นก็ไปนั่งที่ร้านกาแฟใกล้ห้องสัมมนา เริ่มจัดการงานที่ซับซ้อน มองไปยังห้องสัมมาเป็นครั้งคราว นวดคลึงคิ้วแล้วจดจ่อที่แล็ปท็อป
จนกระทั่งการสัมมนาใกล้จะเสร็จสิ้น ลั่วจื่อหานก็ได้พบกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
“นายมาทำอะไร จัดการธุระเสร็จแล้วเหรอ?” เขาจิบกาแฟ มองเขาอย่างเย็นชา
ลู่เยี่ยหวายิ้มเยาะ มองไปยังศูนย์สัมมาอย่างมีนัยยะแองแฝง “นายไม่รู้สึกว่า นายต้องอธิบายว่ามันเป็นเพราะอะไรเหรอ?”
ลั่วจื่อหานพิงพนักเก้าอี้ ท่าทางเกียจคร้านและเย่อหยิ่ง “สองเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกัน?”
“นายรู้หรือเปล่า นายทำแบบนี้เป็นการผลักให้อี้เป่ยซีถูกตราหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ นายเคยคิดหรือเปล่าว่าเธอจะเจอกับอะไรที่นี่บ้าง? หรือว่านายเห็นเธอเป็นเหยื่อล่อ? ลั่วจื่อหาน นายนี่มันน่ารังเกียจจริงๆ พฤติกรรมของนายทำให้ฉันสงสัยว่านายชอบอี้เป่ยซีจริงหรือเปล่า หรือว่าชอบอะไรอย่างอื่นกันแน่”
เขาหรี่ตา “ดูเหมือนว่าเรื่องนี้นายไม่จำเป็นต้องมายุ่งนะ”
“ฉัน…” ลู่เยี่ยจิ่งนิ่งไป “เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน แต่ว่าคนที่เกือบจะได้เป็นพี่สะใภ้ฉัน ฉันเป็นห่วงก็คงไม่ผิดหรอกมั้ง”
“นายแน่ใจขนาดนั้นเชียว ว่าอี้เป่ยซีจะยอมแต่งกับพี่ชายของนาย?”
“หึ ถ้าพี่ชายของฉันยังอยู่ นายจะมีโอกาสที่ไหนกัน พี่ชายฉันดีกับเขาขนาดนั้น ไม่มีวันเหมือนกับนายหรอก ยอมทำร้ายเขาเพื่อให้ได้เขามา ถึงตอนนี้ก็ยังจะใช้ประโยชน์จากเขา ไม่รู้จริงๆ ว่าอี้เป่ยซีตาบอดหรือเปล่าที่ไปชอบนาย ฉันคิดว่าอี้เป่ยเฉินยังดีกว่านายไม่รู้ตั้งกี่เท่า”
ลั่วจื่อหานไม่โกรธ “นี่คือเป้าหมายของนายในวันนี้เหรอ ถ้าใช่ นายบรรลุเป้าหมายแล้ว กลับไปได้แล้ว”
“ไม่ใช่” ลู่เยี่ยจิ่งกำหมัด “ลู่เซิงหนีออกมาแล้ว น่าจะอยู่แถวนี้”
มือของเขาที่ถือกาแฟสั่นเล็กน้อย ยังคงมองลู่เยี่ยจิ่งด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง ฟังเขาพูดต่อ “พ่อของเขาไม่กล้าทำอะไรวู่วาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลู่เซิงจะไม่ทำ หลายวันก่อนเหมือนคนของฉันได้ยินว่าลู่เซิงมีการเจรจาบางอย่างกับผู้มีอิทธิพลของที่นี่”
“อ๋อ”
“อ๋อ? นายคิดที่จะให้เป่ยซีเป็นเหยื่อล่อจริงๆ เหรอ? ในสายตาของนายทุกคนคือเครื่องมือที่นายเอาไว้
ลั่วจื่อหานวางแก้วลง มองดูเงาของสาวสวยที่ค่อยๆ เดินมาหาพวกเขา “นายคิดว่าลู่เซิงจะเข้าใกล้อี้เป่ยซีได้เหรอ?” เขาหัวเราะเย็นชา เจือปนความเย้ยหยันเล็กน้อย ลั่วจื่อหานอย่างเขาหากคิดจะปกป้องใครแล้ว ก็ไม่เคยเกิดเหตุไม่คาดฝันเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอี้เป่ยซีที่อยู่ใต้จมูกของตัวเอง
“หึ สักวันนึงนายจะตายอยู่ในมือที่เย่อหยิ่งของนายเอง”
“กลับดีๆ ล่ะ ฉันไม่ส่งแล้ว”
เดิมทีลู่เยี่ยจิ่งต้องการจะลุกขึ้น แต่หางตาก็สังเกตเห็นเงาที่บอบบางคนนั้น “จะรีบอะไร เพื่อนเก่าต้องคุยเรื่องเก่าๆ หน่อยไม่ใช่หรือไง”
อี้เป่ยซีเดินมาถึงด้านหน้าของพวกเขาพอดี เมื่อเธอเห็นลู่เยี่ยจิ่งก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนที่จะนั่งลงตรงตำแหน่งของลั่วจื่อหาน รู้สึกระแวดระวังผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเล็กน้อย แม้อี้เป่ยซีจะรู้ว่าตอนนี้ลู่เยี่ยจิ่งไม่เห็นว่าเธอเป็นศัตรูแล้ว แต่ว่าอาจเป็นเพราะความเคยชิน เมื่อเห็นเขาในตอนนี้ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง อีกอย่าง แม้รู้ว่าสาเหตุการตายของพี่ชายเขาไม่ได้เป็นความผิดของเธอ แต่สิ่งที่ลู่เยี่ยจิ่งทำก็ยังชวนขนลุก
ลั่วจื่อหานกุมมือเธออยู่ใต้โต๊ะ มือของเธอยังคงเย็นเฉียบ เขาคว้ามือทั้งสองไว้ในฝ่ามือใหญ่โตของตัวเอง ช่วยให้ความอบอุ่นแก่เธอ
ลู่เยี่ยจิ่งเห็นปฏิสัมพันธ์ของทั้งสองที่ราวกับว่าไม่มีคนอยู่ด้วยก็รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้จักเวล่ำเวลา “ซ้อใหญ่ ช่วงนี้ซ้อให้เจอเพื่อนนักศึกษาของพี่ใหญ่บ้างหรือเปล่า พวกเขาได้ถามอะไรซ้อไหม?”
มือของอี้เป่ยซีหยุดชะงัก ปลายนิ้วก็เริ่มเย็นเฉียบเล็กน้อยอีกครั้ง เธอเม้มปาก “อืม เจอ แต่ว่าไม่ได้ถามอะไร”
เมื่อได้ยินคำตอบของอี้เป่ยซี ลู่เยี่ยจิ่งมองลั่วจื่อหานอย่างยั่วยุเล็กน้อย เขาเหลือบมองลู่เยี่ยจิ่งอย่างเมินเฉย กระซิบอะไรบางอย่างข้างหูอี้เป่ยซี แล้วเธอก็ลุกขึ้นพร้อมกับเขาอย่างเชื่อฟัง
“พวกเรายังมีธุระ ไปก่อนนะ” พูดจบ ไม่ทันมองสีหน้าที่เย็นชาของลู่เยี่ยจิ่งก็พาอี้เป่ยซีออกไปจากร้านกาแฟแล้ว อี้เป่ยซีถอนหายใจยาวท่ามกลาวสายลมหนาว
“ลู่เยี่ยจิ่งมาหานายทำไม?”
“ไม่มีอะไร สัมมนาของพวกเธอยังเหลืออีกกี่วันกันแน่?”
อี้เป่ยซียิ้มขอโทษ “น่าจะไม่นานแล้ว อีกสามสี่วันก็กลับได้แล้ว”
“อืม ฉันจะไปจองตั๋วเครื่องบิน”
เธอลังเลครู่หนึ่ง “คือว่า ถ้ายังไงตรุษจีนปีนี้ พวกเราอยู่ที่ประเทศ U ดีหรือเปล่า พ่อแม่ของนายกับพ่อแม่ของฉันก็อยู่ที่นี่พอดี นายว่ายังไง?”
เมื่อเห็นความคาดหวังในดวงตาของเด็กสาว ลั่วจื่อหานขยี้ศีรษะของเธอ “ปีหน้าเถอะ ปีนี้ไม่สะดวกหลายอย่าง อีกอย่างก็คุยกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะอยู่กับคุณปู่?”
อี้เป่ยซีพยักหน้า พลันนึกถึงท่าทีของลั่วจื่อหานก่อนที่เธอจะมาที่ประเทศ U บางทีประเทศ U อาจจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วก็ได้ เธอมองดูใบหน้าที่ชัดเจนของลั่วจื่อหาน เวลาที่มองเธอก็มักจะเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนเสมอ ในใจของเธอรู้สึกละอายที่ตัวเองช่วยอะไรเขาไม่ได้เลยจริงๆ
————