หลังฮ่องเต้เสด็จกลับมาที่ตำหนักบรรทมได้มินานก็มีคนมาถวายรายงาน เสนาบดีฝ่ายขวาขอเข้าเฝ้า
หลังจากฮ่องเต้เสด็จกลับจากอุทยานหลวงก็ยังทรงกริ้วไม่หาย ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดพระขนง “เสนาบดีฝ่ายขวามาทำไม”
“ให้กระหม่อมออกไปถามดูหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” อู๋เฉวียนทูลถามเสียงเบา
“ไม่ต้องถามแล้ว ให้เขาเข้ามาเถอะ” ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ ตรัสเสียงเข้ม
อู๋เฉวียนรับคำก่อนรีบออกไปเชิญเสนาบดีฝ่ายขวา เมื่อมาถึงนอกตำหนัก พบเสนาบดีฝ่ายขวาก็กระซิบกล่าวข้างหู “เพราะเรื่องรัชทายาทกับขุนนางในราชสำนักเห็นดีเห็นงามให้แก้ไขระบบทหาร ตั้งแต่ฝ่าบาทเสด็จกลับจากอุทยานหลวงก็ยังมิคลายโทสะลง ท่านเสนาบดีจะพูดจาอันใดก็ระวังด้วย”
“ขอบคุณกงกงมาก” เสนาบดีฝ่ายขวาลอบถอนหายใจ
เมื่อเข้ามาในตำหนัก พบว่าฮ่องเต้มีพระพักตร์ย่ำแย่อย่างยิ่ง มิรอให้เสนาบดีฝ่ายขวาถวายบังคมก็ตรัสถาม “เราเห็นเหงื่อเต็มหน้าเจ้า มีเรื่องด่วนหรือ”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อม…มีเรื่องเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายขวามองฮ่องเต้ด้วยความลำบากใจ ใบหน้าฉายแววกังวล
ฮ่องเต้ทรงมองเขาพลางส่งเสียง “หืม” ขึ้น
“ฝ่าบาท กระหม่อมเพิ่งได้รับจดหมายที่รัชทายาทให้คนนำมาส่งที่จวนของกระหม่อม หนึ่งในนั้นเป็นจดหมายให้กระหม่อม อีกฉบับหนึ่งได้ระบุไว้ในจดหมายกระหม่อมว่าให้ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หลังกระหม่อมอ่านจบก็ไม่กล้าปล่อยยืดเยื้อ จึงรีบเข้าวังมาทันที” เสนาบดีฝ่ายขวาคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนถวายจดหมายสองฉบับในมือให้ฮ่องเต้ไปพร้อมกัน
“จดหมายอันใด” ฮ่องเต้ตรัสถามเสียงเข้ม
“ทรงอ่านดูก็ทราบแล้ว” เสนาบดีฝ่ายขวาถวายจดหมายให้ด้วยความเคารพ
“อู๋เฉวียน นำมาให้เรา” ฮ่องเต้ตรัสเสียงดัง
อู๋เฉวียนรีบก้าวขึ้นมารับจดหมายให้มือของเสนาบดีฝ่ายขวา ถวายต่อให้ฮ่องเต้
ฮ่องเต้ทรงอ่านจดหมายที่ฉินอวี้เขียนถึงเสนาบดีฝ่ายขวาก่อน เพิ่งอ่านได้ไม่กี่บรรทัดก็มีพระพักตร์มิน่ามองทันที หลังอ่านจบก็มีพระพักตร์เคร่งขรึม มิได้ตรัสคำใด ก่อนเปิดจดหมายลับอีกฉบับหนึ่งอ่าน
หลังอ่านจดหมายลับปิดผนึกจบ พระพักตร์ก็ยิ่งเคร่งขรึมขึ้นราวกับจะมีฝนตกลงมา
อู๋เฉวียนลอบสังเกตสีพระพักตร์ฝ่าบาท ก่อนถอยห่างสองก้าวเงียบๆ
ตั้งแต่เสนาบดีฝ่ายขวาถวายจดหมายให้ฮ่องเต้ก็มิได้เงยหน้าขึ้น เอาแต่ก้มหน้าจนแทบจะติดกับพื้น
บรรยากาศแห่งความพิโรธดั่งพายุฝนกำลังจะโหมกระหน่ำแผ่ออกมาจากพระวรกายฮ่องเต้
ผ่านไปพักใหญ่ พระองค์ก็ทรงโยนจดหมายทิ้งลงบนพื้นแล้วตรัสขึ้น “มีอย่างนี้ที่ไหนกัน!”
อู๋เฉวียนมิกล้าแม้แต่จะหายใจแรง เสนาบดีฝ่ายขวายิ่งมิกล้าส่งเสียง
ฮ่องเต้ลุกขึ้น ทรงเดินไปเดินมารอบตำหนักหลายก้าว จากนั้นก็หยุดลงหน้าเสนาบดีฝ่ายขวา มองอีกฝ่ายแล้วตรัสถามด้วยโทสะ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าในจดหมายลับที่รัชทายาทให้เราเขียนไว้ว่าอย่างไร”
“ทูลฝ่าบาท หลังกระหม่อมได้รับจดหมายก็มิกล้าเปิดอ่าน มิทราบหรอกพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายขวารีบส่ายหน้า
“เขาจะแต่งกับเซี่ยฟางหวา!” ฮ่องเต้ตรัสด้วยความพิโรธ
เสนาบดีฝ่ายขวาเดาได้แต่เนิ่นๆ แล้ว ได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองฮ่องเต้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะขู่เราในจดหมายลับ บอกว่าหากเราไม่ยินยอม เขาก็จะไม่ดำรงตำแหน่ง
รัชทายาทแล้ว ให้เราเลือกองค์ชายแปดฉินชิงมาสืบทอดตำแหน่งแทน” พระวรกายของฮ่องเต้สั่นสะท้านเล็กน้อยราวกับถูกความโกรธครอบงำ
ครั้งนี้เสนาบดีฝ่ายขวาตกใจจริงๆ มองฮ่องเต้อย่างไม่อยากเชื่อ
“แม้แต่เจ้าก็ไม่เชื่อใช่หรือไม่” ตรงหว่างคิ้วของฮ่องเต้เต้นตุบ “แต่เขาบอกเช่นนี้ ช่างกล้าพูดนัก นึกไม่ถึงว่าอยากแต่งกับเซี่ยฟางหวา เพื่อเซี่ยฟางหวา หากเราไม่ยินยอมก็จะไม่เป็นรัชทายาทแล้ว ไม่คิดเลยว่าเขาจะนำสตรีคนหนึ่งมาเทียบกับบ้านเมืองของเรา เขาเสียสติไปแล้วใช่หรือไม่”
เสนาบดีฝ่ายขวากล่าวไม่ออกเวลาหนึ่ง ทว่าไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้ว รัชทายาทแม้ดูภายนอกอ่อนโยน แต่แท้จริงแล้วมีนิสัยยากคาดเดา หากเอ่ยถึงเรื่องไม่สนใจประเพณีนิยม เขามิต่างอันใดกับท่านอ๋องน้อยเจิงเลย
“เซี่ยฟางหวาเป็นสตรีที่ถูกหย่าร้าง มีสิทธิ์ใดนำมาเทียบกับหนานฉินอันยิ่งใหญ่ของเรา” ฮ่องเต้ตรัสด้วยโทสะอีกครั้ง “นางมีสิทธิ์ใด!”
อู๋เฉวียนเงยหน้ามองฮ่องเต้แวบหนึ่งแล้วก้มหน้าลงใหม่
เสนาบดีฝ่ายขวายังคงเงียบ
“เสนาบดีฝ่ายขวา เจ้าว่ารัชทายาทเสียสติไปแล้วหรือไม่ เขาคิดอยากทำสิ่งใดกันแน่ นับแต่โบราณการสืบทอดราชบัลลังก์ ไม่เคยได้ยินว่าสตรีอาจเทียบกับบ้านเมืองได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสตรีที่เคยออกเรือนแล้วอีก” ฮ่องเต้จ้องเสนาบดีฝ่ายขวาเขม็ง
“นี่…สตรีย่อมมิอาจเทียบบ้านเมืองได้” เสนาบดีฝ่ายขวามองฮ่องเต้
“เช่นนั้นเจ้าบอกมาสิ ไฉนฉินอวี้ถึงกล้าพูดแบบนี้กับเรา” ฮ่องเต้ตรัสถาม
เสนาบดีฝ่ายขวาคล้ายไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนทูลกล่าวคาดการณ์หยั่งเชิง “กระหม่อมคิดว่า รัชทายาทน่าจะชอบคุณหนูฟางหวา แต่กลัวว่าฝ่าบาทมิทรงโปรดคุณหนูฟางหวา มิยอมรับเรื่องนี้จึงพูดเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“เราต้องไม่ชอบเซี่ยฟางหวาอยู่แล้ว” ฮ่องเต้ทรงแค่นหัวเราะด้วยความโกรธ
“ฝ่าบาท หากให้กระหม่อมพูดตรงๆ รัชทายาทคงชอบคุณหนูฟางหวา ก่อนหน้าที่คุณหนูฟางหวากับท่านอ๋องน้อยเจิงยังมิได้สมรสกันก็เลื่อมใสในตัวคุณหนูฟางหวาอยู่แล้ว วันสมรสก็มิได้ขัดขวางงานสมรสของทั้งสอง หลังจากนั้นคงทุกข์ใจมาหลายวัน กระหม่อมคิดเองว่า บ้านเมืองใต้หล้ากับความรักของชายหญิง ผู้เป็นจักรพรรดิมิเคยได้สองสิ่งนี้ควบคู่กันไปเลย” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจออกมา
“หืม” ฮ่องเต้เลิกพระขนงตั้งตรง ถลึงพระเนตรใส่เสนาบดีฝ่ายขวา
“โรคห่าระบาดในเมืองหลินอัน หากไม่มียารักษา เช่นนั้นเบาสุดคือเมืองทั้งเมืองต้องล่มสลายลง ร้ายแรงสุดคือหนานฉินมีภัย โชคดีที่คุณหนูฟางหวาหาสมุนไพรดำม่วงจำนวนมากมาได้ จึงแก้ไขวิกฤตการณ์ในเมืองหลินอันลงได้ด้วยดี ช่วยเหลือประชาชนแสนกว่าชีวิตในเมือง ตอนนี้ชื่อเสียงของคุณหนูฟางหวาแพร่ไปทั่วหล้า มีคุณธรรมและพรสวรรค์ยิ่งใหญ่ ได้รับการเทิดทูนจากประชาชน หากรัชทายาทมีใจและนางยินยอม สวรรค์ได้ประทานให้เป็นคู่สมรส นับว่าเป็นวาสนาของหนานฉินในภายภาคหน้า” เสนาบดีฝ่ายขวารีบกล่าวต่อ
“รัชทายาทมีใจ นางยินยอม” ฮ่องเต้เผยพระพักตร์นิ่งขรึม “นางจะทำเช่นนั้นหรือ”
“กระหม่อมคิดว่า จากสิ่งที่รัชทายาทบอกในจดหมายทั้งสองฉบับนี้ เดาได้ลางๆ ว่าคุณหนูฟางหวาอาจจะตอบตกลงกับรัชทายาทแล้ว หรือไม่รัชทายาทก็มั่นใจว่าหลังฝ่าบาททรงยินยอม จะสามารถสู่ขอคุณหนูฟางหวาได้” เสนาบดีฝ่ายขวาทูลตอบ
ฮ่องเต้ทรงมองเสนาบดีฝ่ายขวา
“ฝ่าบาท ทรงลองคิดดูสิพ่ะย่ะค่ะ เป่ยฉีระดมกำลัง ยามนี้รัชทายาทยังเอ่ยถึงเรื่องนี้ได้ ระหว่างที่หนานฉินกำลังปั่นป่วนทั้งภายในจะถูกรุกรานจากภายนอก รัชทายาทบอกแล้วว่าหากพระองค์มิยินยอมก็จะไม่เป็น
รัชทายาทแล้ว ให้ทรงเลือกองค์ชายแปดแทน แต่องค์ชายแปดยังเด็กอ่อนประสบการณ์ มีหรือจะสามารถ…” เสนาบดีฝ่ายขวามองฮ่องเต้ เอ่ยได้ครึ่งหนึ่งก็หยุดลง ก่อนกล่าวต่อ “นี่อธิบายได้ว่าตัดสินใจแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะสู่ขอสำเร็จพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วฉินเจิงเล่า เขาสู่ขอเซี่ยฟางหวา ฉินเจิงจะยอมรึ” ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็ยังไม่คลายโทสะลง
เสนาบดีฝ่ายขวากลอกตา “ถึงแม้ท่านอ๋องน้อยเจิงไม่ยอมแล้วจะทำอันใดได้พ่ะย่ะค่ะ รัชทายาทกับท่านอ๋องน้อยเจิงต่อสู้กันมาตั้งแต่เล็กจนโต ต่างมีแพ้มีชนะ” พูดจบ ก็กล่าวปลอบใจ “ไยฝ่าบาทต้องทรงกริ้วด้วยเล่า เฝ้ามองอยู่ข้างๆ ก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ รัชทายาทกับท่านอ๋องน้อยเจิงล้วนเป็นคนรู้จักขอบเขต ย่อมไม่กระทำถึงขั้นทำลายรากฐานบ้านเมืองแน่นอน”
“เซี่ยฟางหวาคือโฉมสะคราญที่ป็นบ่อเกิดหายนะ” ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็ตรัสเสียงเย็น
เสนาบดีฝ่ายขวาไม่เอ่ยคำใดอีก
ฮ่องเต้ทรงเดินไปมาอีกสองก้าว “ความหมายเจ้าคือให้เราตอบตกลงรัชทายาท ปล่อยให้เขากระทำตามใจชอบ หากเขาสู่ขอเซี่ยฟางหวาได้จริง เราก็ต้องยอมให้เขาแต่งรึ”
“หากกล่าวตามตรง หนานฉินในตอนนี้มิอาจไร้รัชทายาทได้พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า
“ช่างเถอะ” ฮ่องเต้ดูชรามากขึ้นในชั่วพริบตา โบกพระหัตถ์ด้วยความอ่อนล้า “เจ้าลุกขึ้นเถิด”
เสนาบดีฝ่ายขวาคุกเข่าบนพื้น มิได้รีบลุกขึ้นในทันที “เช่นนั้นเรื่องงานสมรสของบุตรสาวคนเล็กกระหม่อม…”
“ดูท่าทางเจ้าก็อยากถอนหมั้นเช่นกัน เจ้าช่วยเหลือเรามาหลายปี สร้างคุณูปการและทำงานหนักมาโดยตลอด แม้เราพึงพอใจในตัวบุตรสาวของเจ้า และยินดีอย่างยิ่งที่จะเกี่ยวดองกับตระกูลเจ้า แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คงได้แต่ต้องยอมปล่อยวาง” ฮ่องเต้ตวัดพระหัตถ์ “อู๋เฉวียน ประคองเสนาบดีฝ่ายขวาลุกขึ้นมา”
อู๋เฉวียนรีบก้าวออกมาประคองเสนาบดีฝ่ายขวา
ขาของเสนาบดีฝ่ายขวาชาไปแล้ว หลังถูกประคองขึ้นมาก็ต้องนวดอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะยืนทรงตัวเองได้
ฮ่องเต้ทรงมองจากด้านข้าง ถอนหายใจยาวเหยียด แสดงท่าทางแก่ชราคล้ายตะวันใกล้ลาลับ
“หลี่เหยียน เราทั้งป่วยและแก่แล้ว เจ้าเองก็แก่แล้วเช่นกัน”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมก็แก่แล้ว” เสนาบดีฝ่ายขวาฝืนยิ้ม “พริบตาเดียวสิบปีก็ผ่านไปแล้ว”
“ใช่แล้ว หลายสิบปีผ่านไปไวเพียงแค่ดีดนิ้ว” ฮ่องเต้ทรงนวดหว่างคิ้ว ตรัสด้วยความห่อเ**่ยว “เรายิ่งรู้สึกสังขารไม่อำนวยขึ้นทุกวัน ถ้าเราไม่ยินดีก็ยากจะควบคุมรัชทายาทและราชสำนักด้วย”
“ฝ่าบาททรงอย่ากังวลมากเกินไปเลย รักษาพระวรกายให้ดีเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายขวาทูลกล่าว
“อาการป่วยของเราเรารู้ดีกว่าใคร รักษาตัวเช่นไรก็ไม่ดีขึ้น” ฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์
เสนาบดีฝ่ายขวามองฮ่องเต้ กล่าวไม่ออกชั่วขณะ
“เรื่องที่รัชทายาทรับปากเจ้าว่าจะคงตำแหน่งขุนนางเสนาบดีในสามรุ่น เราไม่ก้าวก่ายแล้ว เราไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่งเมื่อไร ถ้าดวงตาคู่นี้ปิดลงก็อยากสบายใจให้มากที่สุด” ฮ่องเต้ทรงมองเขาแล้วตรัสขึ้นอีก
“รัชทายาทแม้รับปากกระหม่อมแล้ว แต่กระหม่อมขอสาบานกับฝ่าบาท ตระกูลของกระหม่อมหากไร้คนมีแววเป็นเสนาบดีก็จะมิให้เป็นเสนาบดีโดยเด็ดขาด เพื่อมิให้ทำลายระบอบการปกครอง” เสนาบดีฝ่ายขวาขยับมุมปาก ฝืนยิ้มทูลกล่าว
“เจ้าหลี่ของตระกูลเจ้าเพียบพร้อมด้วยบุ๋นบู๊ บุ๋นจะทำให้บ้านเมืองสงบสุข บู๊จะทำให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพ นับว่ามีพรสวรรค์คนหนึ่ง หากเขาเป็นเสนาบดีย่อมมีแวว รัชทายาทฉลาดเลือกใช้คน และฉลาดเลือกคบคน บ้านเมืองนี้หากมอบให้เขา เราก็วางใจแล้วเช่นกัน” ฮ่องเต้ตรัสจบก็โบกพระหัตถ์ “เราเหนื่อยแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ”
“ฝ่าบาทพักผ่อนให้สบายใจเถิด อย่าได้ทรงงานหนัก เรื่องในราชสำนักมีพวกกระหม่อมช่วยดูแลอยู่ กระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายขวารีบลุกขึ้น
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์
เสนาบดีฝ่ายขวาถอยหลังมาจนถึงประตู ทันทีที่ข้ามธรณีประตูตำหนักก็ได้ยินเสียงฝ่าบาทตรัสขึ้นอีกครั้ง “ราชโองการถอนหมั้น เราจะให้อู๋เฉวียนนำไปส่งที่จวนเสนาบดีทีหลัง”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เสนาบดีฝ่ายขวาค้อมคำนับ ก่อนออกไปนอกตำหนัก