เมื่อออกจากตำหนักบรรทมแล้ว เสนาบดีฝ่ายขวาก็ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา ก่อนเอื้อมมือลูบแผ่นหลัง บริเวณหลังเปียกโชก สายลมเย็นพัดผ่านชวนให้หนาวถึงขั้วกระดูก
เมื่อออกจากประตูวังก็บังเอิญพบเสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบร้อนมา เสนาบดีฝ่ายขวาตะโกนเรียกอีกฝ่าย “รีบร้อนเช่นนี้ เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ”
“ท่าน…เพิ่งออกจากวังหรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายชะงัก
เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า
“ฝ่าบาทเล่า ทรงดีขึ้นหรือยัง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบถาม
“ฝ่าบาททรงเหนื่อยและล้ามาก เรื่องที่อุทยานหลวงวันนี้ ฝ่าบาทยังมิคลายโทสะลง ระบบทหารเป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงดำเนินการอย่างเต็มที่หลังอดีตฮ่องเต้สวรรคต ความปรารถนาตลอดชีวิตของพระองค์คือการกำจัดตระกูลเซี่ยซึ่งเป็นดั่งเสือร้ายนอนหมอบซุ่มข้างเตียงในหนานฉิน กลัวว่าวันหนึ่งเสือจะกลายเป็นมังกรคะนองน้ำ ทว่าสุดท้ายแล้วก็ทำมิได้ กลับกันในระหว่างที่บ้านเมืองปั่นป่วนและภายนอกถูกรุกรานจำต้องพึ่งพาตระกูลเซี่ย” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจ กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “จากสถานการณ์ในตอนนี้ หนานฉินภายในมี
เซี่ยฟางหวาย่อมเรียกขวัญจากประชาชน พรมแดนมีเซี่ยม่อหานรับช่วงต่ออำนาจการทหาร หากรัชทายาทขึ้นเครื่องราชย์ ตระกูลเซี่ยต้องเจริญรุ่งเรืองอีกร้อยปี ไม่มีทางพลาดจากนี้”
เสนาบดีฝ่ายซ้ายเดิมฉลาดปลิ้นปล้อน ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจยกใหญ่ คว้าแขนเสนาบดีฝ่ายขวาแล้วเอ่ยถามเสียงต่ำ “กล่าวเช่นนี้ ฝ่าบาทได้รับผลกระทบจากการที่รัชทายาทขอให้แก้ไขระบบทหารวันนี้ ไม่ค่อยดีนัก”
“ลับหลังที่ระบบทหารถูกแก้ไข คือฝ่าบาทมิอาจควบคุมตระกูลเซี่ยได้แล้ว และมิอาจควบคุมสถานการณ์ในหนานฉินได้แล้วด้วย” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว “บ้านเมืองย่อมมีอัจฉริยะบุคคลกำเนิดขึ้นทุกรุ่น คนรุ่นใหม่แทนที่คนรุ่นเก่า ฝ่าบาททรงชราแล้ว พวกเราเองก็แก่แล้วเช่นกัน หากรัชทายาทราชาภิเษกเมื่อไร ช้าเร็วก็ต้องแก้ไขระบบทหารอยู่ดี ยามนี้แค่รอรุ่นใหม่มาแทนที่เท่านั้น”
“ท่านกลัวว่าฝ่าบาทจะ…” เสนาบดีฝ่ายซ้ายได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ
เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า เผยความชราเคร่งขรึมบนใบหน้า
เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวไม่ออกพักหนึ่ง มองไปยังวังหลวง ประตูวังอันสูงตระหง่านคล้ายกับสิงโตเพศผู้ที่แก่ตัวลง มิอาจทรงพลังน่าเกรงขามเหมือนวันวานอีก ตะวันใกล้ลาลับ บรรยากาศเงียบสงัดยิ่ง เขาวิ่งมาด้วยเหงื่อโทรมกาย ถูกสายลมเย็นพัดผ่านหนาวสะท้าน หัวใจเริ่มจะหนาวเหน็บขึ้นบ้างแล้วเช่นกัน “เดิมข้าอยากไปโน้มน้าวให้ฝ่าบาททรงแก้ไขระบบทหารอีกครั้ง แค่พระราชโองการเกรงว่าจะไม่มีประโยชน์ต่อกองทัพม่อเป่ยเท่าไรนัก ถ้าเป่ยฉีรุกรานเข้ามา หนานฉินของเราจะมีภัย แต่ได้ยินท่านพูดเยี่ยงนี้ ข้าก็มิกล้าเข้าไปอีกแล้ว”
“อย่าไปเลย ถึงไปก็เปล่าประโยชน์” เสนาบดีฝ่ายขวาโบกมือห้าม
เสนาบดีฝ่ายซ้ายพยักหน้า ผละตัวออกจากประตูวังกลับไปพร้อมเสนาบดีฝ่ายขวา
เสนาบดีฝ่ายขวากลับมาถึงจวนได้มินาน อู๋เฉวียนก็นำพระราชโองการมายังจวนเสนาบดีฝ่ายขวา
ทุกคนในจวนเสนาบดีฝ่ายขวาออกมารับพระราชโองการ
พระราชโองการถอนหมั้นเป็นไปตามคำขอร้องของเสนาบดีฝ่ายขวา ให้ดำเนินการถอนหมั้นการสมรสระหว่างคุณหนูแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวากับรัชทายาท นับจากนี้ต่างฝ่ายต่างหาคู่ครองใหม่ได้
ทุกคนในจวนเสนาบดีฝ่ายขวากล่าวขอบพระทัย
อู๋เฉวียนส่งพระราชโองการให้เสนาบดีฝ่ายขวาพร้อมกล่าวเสียงเบา “ท่านเสนาบดี วันนี้เป็นเพราะท่านกระมัง หากเป็นคนอื่น คงมิได้เดินออกมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”
ถ้อยคำนี้แฝงความหมายชัดเจน
“ขอบคุณกงกงที่พูดจาแก้ต่างให้ต่อพระพักตร์ฝ่าบาท” เสนาบดีฝ่ายขวารับพระราชโองการ
“ข้าเป็นแค่บ่าวรับใช้ ไหนเลยจะก้าวก่ายเรื่องมากมายเหล่านั้นได้ และไหนเลยจะมีอิทธิพลต่อพระประสงค์ ฝ่าบาททรงเห็นแก่ท่านเสนาบดีที่ช่วยปกครองบ้านเมืองด้วยความจงรักภักดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา และอาวรณ์ท่าน ฝ่าบาทนั้นแท้จริงแล้วเป็นคนเห็นแก่ความสัมพันธ์ เพียงแต่ฐานะจักรพรรดิบดบังอยู่เท่านั้นเอง” อู๋เฉวียนโบกมือปัด
“ใช่แล้ว” เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า ก่อนผายมือเชิญ “กงกงเข้าไปดื่มชาในจวนก่อนเถิด”
“ข้ายังต้องกลับไปรายงานที่วังหลวง ไว้วันหน้าแล้วกัน” อู๋เฉวียนขอตัวลา ขึ้นรถม้าย้อนกลับไปวังหลวง
เสนาบดีฝ่ายขวามองส่งอู๋เฉวียนจากไปไกล ก่อนหันกลับมามองหลี่หรูปี้ที่ยืนอยู่ข้างฮูหยินตน
หลี่หรูปี้ผอมลงไปเยอะมาก ดูแล้วราวกับเพียงถูกลมพัดก็จะล้มลง เพราะหลายวันนี้เอาแต่อุดอู้อยู่ในจวนจึงใบหน้าซีดเพราะมิได้พบเจอแสงแดด
“ปี้เอ๋อร์ ชีวิตคนยาวนานมาก มีวาสนากับผู้ใดเพราะชะตาลิขิตไว้แล้ว หากไร้วาสนาก็บังคับมามิได้เช่นกัน ไฉนเจ้าถึงต้องทรมานตัวเองด้วย” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจออกมา
“ลูกทราบดี” หลี่หรูปี้ย่อเข่าทำความเคารพ
“ถ้าเจ้าเข้าใจจริงๆ ก็ดี” เสนาบดีฝ่ายขวามองนาง “เจ้าเป็นเด็กฉลาด อย่าได้มุ่งเข้าหาทางตันเลย ตอนนี้เจ้าถอนหมั้นกับรัชทายาทแล้ว จวนเสนาบดีฝ่ายขวาของเราเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นเองจึงไม่ส่งผลกระทบต่องานสมรสของเจ้าในอนาคต เจ้าลองทบทวนให้ดีเถอะ ต่อไปข้ากับแม่เจ้าจะหาคู่ครองให้เจ้าเอง”
หลี่หรูปี้เม้มปาก ไม่เอ่ยคำใด
“นายท่านมีธุระใดก็ไปทำเถิด ข้าจะคุยกับปี้เอ๋อร์เอง” ฮูหยินมองหลี่หรูปี้แวบหนึ่งแล้วกล่าวกับเสนาบดีฝ่ายขวา
เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้าแล้วเดินไปยังห้องหนังสือ
เสนาบดีฝ่ายขวาเดินจากไป ฮูหยินก็คว้ามือหลี่หรูปี้เดินเข้าไปข้างใน ระหว่างเดินก็พูดเสียงต่ำ “วันนี้หลังพ่อเจ้าเข้าวัง ข้าก็ว่างไม่มีธุระใดจึงให้คนไปสืบข่าวดู ทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ก่อนหน้านี้หมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่ของเรือนใหญ่ตระกูลเซี่ย แต่เพราะเรือนใหญ่ประสบเคราะห์ ทั้งตระกูลถูกเนรเทศไปยังหลิ่งหนาน ดังนั้นการสมรสจึงล่มลง ตอนนี้ทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางยังไม่หาคู่ครองใหม่”
“ท่านแม่อยากให้ข้าออกเรือนกับทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางหรือ” หลี่หรูปี้ชะงัก
“ทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางได้รับการสั่งสอนจากในตระกูลมาตั้งแต่เด็ก มีพรสวรรค์ ข้าเคยเห็นหน้าค่าตาที่จวนเรือนใหญ่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นฮูหยินหมิ่นอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้นกับตระกูลชุยแห่งชิงเหอ และจวนอิงชินอ๋องคิดหาวิธีการเพื่อเร่งงานสมรสระหว่างบุตรีของตนกับทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางให้เร็วที่สุด ทว่ากลับกลายเป็นคว้าน้ำเหลว” ฮูหยินพยักหน้า
“ทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางแม้ดีนักหนา แต่ท่านแม่เคยคิดบ้างหรือไม่ หากสมรสกับเขา ข้าต้องออกเรือนไปไกล หรือว่าท่านแม่อยากให้ข้าออกเรือนไปไกล” หลี่หรูปี้ถามเสียงต่ำ
ฮูหยินถอนหายใจ “แม่ก็ไม่อยาก แต่ฉินเจิงลั่นวาจาไว้แบบนั้นว่าหากพบเจ้าจะสังหาร ตอนนี้รัชทายาทถอนหมั้นแล้ว ในเมืองแห่งนี้แม้มีบุตรชายที่ยังไม่แต่งภรรยามากมาย วงศ์ตระกูลสูงส่งที่เหมาะสมกับเจ้าก็มีอยู่ ทั้งบุตรชายของสำนักวิชาขั้นสูงฮั่นหลิน บุตรชายของผู้ตรวจการ แต่ว่า…” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอย่างจนใจ “แต่คนเหล่านี้ต่างทราบเบื้องหลังดี เกรงว่าจะไม่ยินยอม ออกเรือนด้วยไม่ได้”
นัยน์ตาของหลี่หรูปี้ค่อยๆ แดงก่ำ คว้าชายเสื้อของฮูหยิน “ท่านแม่ หรือว่านี่เป็นความผิดของลูกหรือ”
“ย่อมไม่ใช่ความผิดของลูก แต่สวรรค์ก็ลิขิตไว้แล้ว ใครจะรู้เล่าว่าเรื่องจะเปลี่ยนไปจนมาถึงขั้นนี้ เหตุใดท่านอ๋องน้อยเจิงถึงอยากสังหารเจ้า จนป่านนี้แม่ยังไม่ทราบ พ่อเจ้าลองถามอิงชินอ๋องเป็นการส่วนตัวแล้ว ท่านอ๋องก็มิทราบเช่นกัน แม้แต่พระชายาเองยังสับสนเลย นี่มีแต่ต้องถามท่านอ๋องน้อยเจิงเองเท่านั้น ไม่รู้ว่าเจ้าไปล่วงเกินอันใดเขาไว้” ฮูหยินเห็นหลี่หรูปี้เช่นนี้ก็เศร้าใจตาม
“ข้าชื่นชมเขา ทว่าหลังจากเรื่องพิษกามารมณ์ในวังหลวง ข้าก็มิกล้าคิดเช่นนั้นอีกแล้ว ต่อมาเขากับเซี่ยฟางหวาสมรสกัน ฮองเฮากับรัชทายาทรับข้าเข้าวัง ข้าเป็นเพียงแค่ธงปักหน้าร้านเหมือนที่พวกเขาผลักไสหลูเสวี่ยเหยียนเข้าจวนอิงชินอ๋อง เรื่องพวกนี้เกี่ยวกับลูกตรงไหน” หลี่หรูปี้พูดพลางก็ร้องไห้ออกมา “ท่านแม่ เกี่ยวกับลูกตรงไหนหรือ การชื่นชมเขาเป็นความผิดอย่างนั้นหรือ แม้แต่จะอยู่เมืองหลวงแห่งนี้ เขายังไม่อนุญาตเลยใช่หรือไม่”
“ใช่ ท่านอ๋องน้อยเจิงรังแกผู้อื่นอย่างยิ่ง” ฮูหยินถูกหลี่หรูปี้พูดเช่นนี้ใส่ก็โกรธขึ้นมา
หลี่หรูปี้ร้องไห้ต่อพักหนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้นมา มองฮูหยินพลางกล่าวอย่างแน่วแน่ “ท่านแม่ ต่อให้ทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางดีเพียงใด ข้าก็จะไม่ออกเรือนไปไกลโดยเด็ดขาด ข้าจะอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ หากฉินเจิงจะสังหารข้าก็ปล่อยให้เขาสังหารข้าเถิด ถึงอย่างไรก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ลูกเองก็ไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้ว”