ตอนที่ 359 พาฮ่องเต้สุนัขมาเข้าพบผู้ใหญ่ในบ้าน

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

การระเบิดโทสะของท่านผู้เฒ่าในครั้งนี้ต้องถือว่าผ่านการอดทนมามากแล้ว

 

 

หากมิใช่เพราะว่าในอดีตเขาเคยกล่าวคำสาบานอย่างหนักแน่นไว้กับปฐมฮ่องเต้ ว่าเขาจะสนับสนุนราชวงศ์จีไปชั่วชีวิต ไม่ปันใจออกห่างโดยเด็ดขาด เกรงว่าต่อให้เป็นพระบิดาของจีเฉวียนก็ถูกตัดพระเศียรไปก่อน ส่วนเขาก็ขึ้นเป็นฮ่องเต้ไปนานแล้ว

 

 

ไหนเลยจะถึงรอบให้ไอ้เด็กนี่มายุ่มย่ามกับดวงใจของเขา

 

 

ที่ก่อนหน้านี้เขายอมส่งมอบกองทัพตระกูลตู๋กูกว่าครึ่งออกไป นอกจากเพื่อหลานสาวแล้ว ก็ยังเป็นเพราะว่าเขาได้ให้คำสาบานอย่างหนักแน่นเอาไว้กับปฐมฮ่องเต้

 

 

มิเช่นนั้นจีเฉวียนที่พึ่งจะขึ้นครองราชย์จะนั่งบัลลังก์ได้อย่างสงบสุขหรือ?

 

 

ตอนนั้นที่ต้องทิ้งหลานสาวสุดที่รักเอาไว้ในตำหนักเย็นเพียงลำพัง เขาก็ละอายใจจนแทบจะตายอยู่แล้ว ตอนนี้พอต้องมาทนเห็นฮ่องเต้น้อยรังแกนาง ตู๋กูถิงย่อมต้องระเบิดลงแล้ว

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างเงียบๆ หยิบเอาไม้กวาดมาวางเอาไว้ในจุดที่มือของตู๋กูถิงสามารถคว้าถึง หลังจากนั้นก็ค่อยๆย่องกลับไปนั่งที่เดิม แล้วคว้าชามข้าวใบโตขึ้นมา

 

 

ต้องรีบกินให้อิ่มก่อน เขาถึงจะมีแรงพูด!

 

 

ตอนท่านปู่ลงมือให้ใช้แค่ไม้กวาดด้ามนี้ก็พอแล้ว…..

 

 

จีเฉวียนเองก็วางตะเกียบลง และก่อนที่ไม้กวาดของท่านผู้เฒ่าจะถูกโบกขึ้นมา พระองค์ก็ประทับขึ้นยืน

 

 

สูดลมหายพระทัยเข้าไป กลั้นไว้ชั่วขณะ

 

 

ตู๋กูซิงหลันเกือบจะยื่นมือไปดึงฉลองพระองค์เพื่อขอให้ทรงพระทัยเย็นลงหน่อยอยู่แล้ว

 

 

นางคิดไม่ถึงว่าท่านปู่จะเป็นคนที่รั้นถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าพี่ใหญ่ออกจะเป็นทหารมากไป แต่คิดไม่ถึงว่าท่านปู่จะเป็นคนที่ดุดันเสมือนหมาป่า แถมยังดุเสียยิ่งกว่าหมาป่าอีกต่างหาก

 

 

หากมองดูไปทั่วทั้งแคว้นต้าโจว เกรงว่าคงจะมีแต่เขาเท่านั้นที่กล้าปฏิบัติต่อจีเฉวียนเช่นนี้

 

 

ในใจของนางทั้งอบอุ่นทั้งหวาดกลัว ถึงแม้ว่าช่วงนี้จีเฉวียนจะทำตัวอบอุ่นเหมือนคนทั่วไป แต่ก็ยากที่จะรับรองได้ เพราะว่าหากเขาอยากจะพิโรธก็จะพิโรธ

 

 

พระองค์ก็เป็นเหมือนกับระเบิดลูกหนึ่ง ยามปกติก็สงบนิ่งดีแต่หากว่าระเบิดขึ้นมาก็เป็นอันจบกัน

 

 

เจียงเหม่ยหยู่ยืนมองดูงิ้วอยู่ห่างๆ เฮอะ เฮอะ เอาละสิ ตอนนี้ตาเฒ่าผู้นั้นชักจะพองขนขึ้นมาแล้วละมั้ง?

 

 

นางเคยต้องเสียทีถูกรังแกยามอยู่ต่อหน้าจีเฉวียนมาแล้วหลายครั้ง นางรู้ดีว่าพระองค์ทรงชิงชังตระกูลตู๋กูเพียงไร

 

 

ตอนนี้สุนัขจะกัดกันแล้ว มันช่างสะใจดีแท้!

 

 

เหล่าองครักษ์ที่รออยู่ภายในสวนของตระกูลตู๋กู ตอนนี้ต่างก็หัวใจตุ๊มๆต่อมๆขึ้นมา….หากว่าฝ่าบาททรงพิโรธขึ้นมา ไม่แน่ว่าวันนี้แม้แต่เมืองหลวงก็อาจจะไม่สงบสุขอีกต่อไปแล้ว

 

 

ท่านผู้เฒ่าตระกูลตู๋กูผู้นั้นก็เช่นกัน….ฝ่าบาทก็แค่คีบอาหารประทานให้ไทเฮาเพียงสองครั้งเท่านั้นเองมิใช่หรือ? เขาจะต้องมีน้ำโหไปทำไม?

 

 

ในขณะที่คนทั้งหมดกำลังกังวลอยู่นั้น จีเฉวียนก็ทรงโน้มพระองค์โค้งลงไปทางตู๋กูถิงดุจคันธนูคันหนึ่ง

 

 

“เราขออภัยในทุกสิ่งที่ได้ทำลงไปก่อนหน้านี้”

 

 

 

 

 

 

ผู้คนทั้งหลาย “! ! !”

 

 

นี่ นี่ นี่ นี่ นี่ ….พวกเขาเกิดตาฝาดหรือว่าหูฝาดขึ้นมากัน?

 

 

ตู๋กูถิงเองก็ตะลึงไปเช่นกัน ไม่เขาใจว่าจีเฉวียนทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร แล้วตอนนี้เขาควรจะหยิบไม้กวาดขึ้นมาดีหรือไม่?

 

 

สองพี่ชายตระกูลตู๋กูต่างก็มีสีหน้างวยงง

 

 

จีเฉวียนที่สูงส่งอยู่เสมอ อยู่ๆก็มาขออภัยต่อท่านปู่?

 

 

นี่ดวงอาทิตย์ย้ายไปขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วหรือไร? หรือว่าเขามีแผนการอื่นใดอีก?

 

 

ไม่มีใครอยากจะเชื่อว่าจีเฉวียนจะทรงทำเรื่องนี้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ

 

 

แม้แต่ตู๋กูซิงหลันเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ….วันนี้ตอนที่จีเฉวียนทรงขวางนางเอาไว้ไม่ให้นางออกจากวัง นางก็ยังนึกว่าพระองค์ทรงคิดจะทำเรื่องอะไรใหญ่โตเสียอีก

 

 

คิดไม่ถึงว่า คนที่หยิ่งยโสเช่นพระองค์ จะยอมก้มศีรษะขออภัยท่านปู่?

 

 

“ก่อนหน้านี้เราไม่เข้าใจในตัวซิงซิง เข้าใจผิดนางไปมาก เราได้สำนึกตนเองอย่างจริงใจ   ต่อไปจะต้องชดเชยสิ่งที่ติดค้างคืนให้นางทั้งหมด”

 

 

ตู๋กูถิง ตู๋กูจุน ตู๋กูเจวี๋ย “ซิงซิง?”

 

 

นี่มันเรื่องผีสางอะไรกัน? เจ้าทำไมไม่ไปร้องขอกับดวงจันทร์เล่า?

 

 

จีเฉวียนสีพระพักตร์จริงจัง ตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ท่านผู้เฒ่าจากเมืองหลวงไปสองปี สองปีนี้เกิดเรื่องที่ท่านไม่รู้ขึ้นมากมาย พวกเราต่างก็ไม่เคยทำความเข้าใจกันอย่างดีๆ ที่วันนี้เราพาซิงซิงมาด้วยตนเองก็เพราะอยากจะให้โอกาส”

 

 

ท่านผู้เฒ่ารู้สึกว่าเขาไม่ได้ต้องการโอกาสใดๆจากพระองค์ทั้งสิ้น

 

 

หากจะให้โอกาสก็สมควรที่เขาจะต้องเป็นฝ่ายให้มากกว่ากระมัง?

 

 

ขณะที่พร้อมจะคว้าไม้กวาดอยู่ทุกเมื่อ ตู๋กูถิงก็อ้าปากขึ้นมา  เขามองไปที่จีเฉวียนด้วยความงุนงง และเคร่งเครียด “ฝ่าบาท รับสั่งเช่นนี้ทรงหมายความว่าอย่างไรกันแน่ กระหม่อมงุนงงแล้ว”

 

 

อืม……ดูท่าคงคิดจะเข้ามาสร้างความใกล้ชิด เพื่อให้เขาไปตีแคว้นเหยียนล่ะสิ

 

 

แม้ต้องเผชิญหน้ากับท่านผู้เฒ่าที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารทั่วร่าง ฮ่องเต้กลับมิได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย ทรงยืดพระองค์ตรงดุจพู่กัน สีพระพักตร์เคร่งขรึม

 

 

ครู่ใหญ่ถึงได้ทรงตรัสออกมาว่า “เรากำลังไล่ติดตามเพื่อขอความรักจากหลานสาวสุดที่รักของท่าน ตู๋กูซิงหลัน”

 

 

ตู๋กูถิง “? ? ?” ยายเอ๋ย ผักกาดขาวหัวงามของบ้านเรา ถูกไอ้หมูหมายตาเขาเสียแล้ว!

 

 

นี่เขาอายุมากเกินไป จนโบกไม้กวาดไม่ไหวแล้วหรือ?

 

 

สองพี่ชายต่างก็มีสีหน้าตกตะลึงไปเช่นกัน

 

 

ตู๋กูซิงหลันอยากจะตะครุบปากของจีเฉวียนเอาไว้ …..ถ้านางสามารถลุกขึ้นยืนได้นะ

 

 

ยามปกติเขาบอกเรื่องนี้กับนางต่อหน้าก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมพอมาถึงนี่ก็ต้องมาสารภาพกับท่านปู่ด้วยเล่า?

 

 

นางกลัวว่าเกิดท่านปู่ทนรับไม่ได้ จะขาดใจตายตรงนี้เลย

 

 

ก่อนหน้านี้หลานสาวสุดที่รักก็แต่งให้กับบุรุษที่แก่กว่าบิดาของนาง ตอนนี้ก็ยังจะมาพัวพันกับคนที่เป็นบุตรอีก?

 

 

จะมีผู้อาวุโสบ้านใดบ้างที่ไม่ขุ่นเคือง?

 

 

เจียงเหม่ยหยู่ตาค้างไปแล้ว

 

 

นางไม่นึกไม่ฝันเลยว่าฝ่าบาทจะทรงถูกพระทัยในตัวนังตัวร้ายตู๋กูซิงหลันนั่น ทั้งยังไล่ตามจีบไม่สำเร็จอีกด้วย?

 

 

แล้วนี่ถึงกับต้องมาแจ้งแก่ผู้อาวุโสในบ้าน?

 

 

เป็นถึงฮ่องเต้มีหรือว่าต้องการสตรีแบบใดแล้วจะไม่ได้ จำเป็นจะต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมาโน้มน้าวผู้อื่นให้เป็นพวกจนเป็นเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้?

 

 

 พอคิดไปถึงตู๋กูเหลียนหลานสาวของตนเองที่ยังคงตัวสั่นสะท้านแอบอยู่ในมุมมืด เจียงเหม่ยหยู่ก็แทบจะอยากระเบิดตัวเองแล้ว

 

 

ต่างก็เป็นหลานสาวของตระกูลตู๋กูเหมือนกัน คนหนึ่งถูกอดีตฮ่องเต้หมายตา ทั้งยังถูกพระทัยฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน อีกคนหนึ่งกลับเป็นเหมือนน้ำครำในท่อน้ำทิ้ง

 

 

ทำไมฟ้าดินช่างไร้ความยุติธรรมถึงเพียงนี้?

 

 

อีกด้านหนึ่ง ทรวงอกของตู๋กูถิงก็กระเพื่อมขึ้นมา ว่ากันตามจริงแล้ว เขาอยากจะใช้ดาบเดียวตัดพระเศียรของจีเฉวียนให้จบสิ้นไป

 

 

สีหน้าของเขามืดครึ้มราวกับจะมีพายุฝน

 

 

“ฝ่าบาท เมื่อครู่ลมพัดแรงเกินไป กระหม่อมฟังไม่ค่อยชัดว่าพระองค์รับสั่งว่าอะไร”

 

 

 ท่านผู้เฒ่าย่อมไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้ มิสู้แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องจะดีกว่า

 

 

เขาไหนเลยจะรู้ว่าฝ่าบาทจะเอาจริงเอาจังถึงเพียงนั้น หน้าต่างภายในห้องไม่ได้เปิด ประตูก็ปิดอยู่จะเอาลมมาจากไหนกัน?

 

 

เห็นอยู่ว่าตู๋กูถิงกำลังหนีปัญหานี้อยู่ชัดๆ

 

 

พระองค์ยิ่งตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าเดิมว่า “เราชอบซิงซิง รักแต่ซิงซิง ค่ำคืนพลิกตื่นตลอดเวลา คะนึงหามิเว้นวาย”

 

 

วิญญาณทมิฬแทบจะถูกเขาเชื่อมจนหวานเยิ้มไปแล้ว มันคอยกระซิบกระซาบทางจิตกับตู๋กูซิงหลันอยู่ตลอดเวลา “เจ้าว่าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้มีตำราคารมคำหวานหรือไม่ ไยอ้าปากขึ้นมาแต่ละทีก็มาเป็นชุดเลย”

 

 

ตู๋กูซิงหลันขี้เกียจจะไปสนใจมัน รู้จักกันมาก็นานแล้ว ประกอบกับการแสดงออกในวันนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ชักจะรู้สึกเชื่อว่าจีเฉวียนจริงใจขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

 

 

ในโลกก่อนนางก็เคยได้เล่นละครอยู่หลายเรื่อง บุรุษที่มีความจริงใจ คิดจะเคียงคู่กับอีกฝ่ายไปจนชั่วชีวิต ล้วนทำเช่นเดียวกันกับจีเฉวียน ให้ความเคารพกับผู้อาวุโส ด้วยท่าทีที่จริงใจอย่างแท้จริง

 

 

วันนี้ตั้งแต่ตอนเช้า นางเห็นจีเฉวียนเสด็จกลับไปกลับมา ตรัสพึมพำคนเดียวอยู่พักใหญ่ นางก็นึกว่าเขากำลังทำอะไรอยู่เสียอีก ที่แท้ก็กำลังเตรียมตัวมาพบผู้อาวุโสในบ้าน

 

 

นางก็นึกอย่างใสซื่อว่าเป็นแค่การกลับมาทานข้าวมื้อหนึ่งที่บ้านเท่านั้น

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้ให้กับความซื่อของตนเองดี หรือว่าจะร้องไห้เพราะตกใจกับการกระทำที่คาดไม่ถึงของจีเฉวียนดีกว่ากัน

 

 

“ท่านผู้เฒ่า ความจริงใจของเราที่มีต่อนาง ฟ้าดินสามารถเป็นพยานได้”

 

 

 

 

——

 

 

ตอนต่อไป “เจ้าไม่ได้เสเพล เจ้าก็แค่รักไปเรื่อยๆ”