ตอนที่ 360 เจ้าไม่ได้เสเพล เจ้าก็แค่รักไปเรื่อยๆ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เห็นท่านผู้เฒ่าไม่พูดไม่จาไปพักใหญ่ จีเฉวียนก็เกรงว่าเขาจะปฏิเสธ จึงอดไม่ได้ที่จะพรั่งพรูความรู้สึกที่มีต่อตู๋กูซิงหลันออกมาจนหมด

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมเองก็เป็นบุรุษ ย่อมรู้ดีว่าฝีปากของบุรุษนั้นไม่มีสัจจะอยู่จริง” ตู๋กูถิงมองพระองค์นิ่งอยู่นาน ก็หัวเราะออกมา

 

 

ตอนนั้นก่อนที่เจียงเย่วจะถูกพากลับมาที่วัง เสด็จปู่ของพระองค์จีจ้านก็ออกพระโอษฐ์ว่าจริงใจอย่างแท้จริง แต่แล้วสุดท้ายเล่า?

 

 

ก็ยังหนีไม่พ้นวังหลังมีสนมสามพันอยู่ดี

 

 

พระองค์ทรงเป็นหลายชายของจีจ้าน โลหิตที่ปราศจากความจริงใจนั้นไหลเวียนอยู่ในกระดูก….แล้วเขาจะไปเชื่อถือได้อย่างไร

 

 

หากถอยออกมาพูดกัน ต่อให้หัวใจของจีเฉวียนดวงนี้มีความจริงใจ เขาก็ไม่อาจอยู่ร่วมกับหลานสาวยอดดวงใจของตนได้

 

 

เขาไม่เหมาะสม

 

 

“เราจริงใจ” ตลอดชีวิตที่ผ่านมาจีเฉวียนไม่ทรงเคยต้องมาอธิบายพระองค์เองต่อหน้าผู้อื่น

 

 

“ที่เรามาในวันนี้ เพราะต้องการมาพูดคุยให้ชัดเจน” จีเฉวียนตรัสต่อไป ขณะเดียวกันก็หันมาทอดพระเนตรสตรีข้างกาย สายพระเนตรมีแต่ความอ่อนโยน

 

 

“เราหลงรักซิงซิง เป็นความรักที่ปราศจากการวางอุบายใดๆ เราไม่เคยต้องทุกข์ทรมานใจเพราะผู้ใดมาก่อนเลย ขอเพียงแค่นางยอมพูดคุยกับเรามากขึ้นสักคำ ยอมมองเราให้นานขึ้นอีกหน่อยเราก็พอใจมากแล้ว”

 

 

ตรัสแล้วจีเฉวียนก็เก็บสายพระเนตรกลับมา มองดูตู๋กูถิง “ท่านผู้เฒ่าเองก็เคยมีความรักลึกซึ้งต่อคนผู้หนึ่ง ย่อมต้องเข้าใจความรู้สึกของเรา”

 

 

“ตอนที่นางหายสาบสูญไปนั้น เป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิตของเรา ยังมืดมนยิ่งกว่าช่วงเวลาที่เราไปเป็นตัวประกันอยู่ในแคว้นเหยียนอีกหลายเท่านัก”

 

 

“ในตอนนั้น เราเหมือนกับคนที่สูญเสียแสงแห่งชีวิตไปแล้ว คิดแต่จะดำดิ่งลงไปในความมืดมิดเท่านั้น ตอนนั้นเราแสนเคียดแค้น เคียดแค้นฟ้าดินช่างไร้ความเที่ยงธรรม ทำไมคนสำคัญของเราเป็นต้องจากเราไปจนหมดสิ้น เราอยากจะให้คนทั่วทั้งแผ่นดินต้องทนทุกข์ทรมานเช่นเดียวกันกับเรา”

 

 

“แต่พอได้พบนางอีกครั้ง เราก็วาดหวังให้ทั่วทั้งแผ่นดินมีความสุขเช่นเดียวกันกับเรา”

 

 

“ถึงแม้ว่านางจะไม่เคยยอมรับเรา แต่ขอเพียงแค่เราได้เห็นนางทุกๆวัน รู้ว่านางอยู่ใกล้ๆเรา มิได้ไปไหน หัวใจดวงนี้…. ก็พอใจมากแล้ว”

 

 

จีเฉวียนจับที่พระทัยของพระองค์เอง “เราคิดว่า เราจะต้องรักนางมากมายอย่างแน่นอน รักขนาดไม่อาจห่างกัน ไม่อาจจากไปไหน”

 

 

คำพูดเหล่านี้อู๋เหนียงจื่อไม่เคยสอนพระองค์มาก่อน

 

 

จีเฉวียนทรงรับสั่งจากพระทัยของพระองค์

 

 

วิญญาณทมิฬแทบจะอยากหาสมุดมาเล่มหนึ่งเพื่อบันทึกถ้อยคำทั้งหมดลงไป รอจนเมื่อกลับไปยังโลกโน้นแล้ว จะได้ให้ซื่อมั่วศึกษาเพื่อปรับปรุงตัว หรือว่าอ่านตามก็ยังดี

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยเคยคิดว่าตนเองคือคนที่พูดมากที่สุดแล้ว แต่ว่าพอตอนนี้ได้เห็นฝ่าบาทอธิบายความในพระทัยไม่ยอมหยุด เขาถึงได้พบว่าตนเองไม่อาจกล่าววาจาแทรกได้เลยแม้แต่คำเดียว

 

 

ดูเหมือนว่า…..พระองค์จะทรงชอบน้องเล็กจริงๆ

 

 

ฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะกระทำการเกินเลยไปบ้าง แต่ว่าก็ยังมิได้ถึงขั้นทำให้พวกเขาต้องอับจน

 

 

เรื่องที่น้องเล็กขาพิการก็ไม่อาจโทษว่าเขา ….หากพูดเฉพาะแค่ช่วงที่น้องเล็กกลับมานี้ฮ่องเต้สุนัขก็ทุ่มเทจิตใจดูแลเอาใจใส่นางจริงๆ

 

 

 เดิมทีเขานึกว่านี่เป็นแผนตบตาของพระองค์เสียอีก…..

 

 

แต่ว่าเมื่อได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด การที่คนผู้หนึ่งจะจริงใจหรือเสแสร้ง ย่อมสามารถสังเกตเห็นได้อยู้แล้ว

 

 

หากว่าที่พระองค์ทำไปเพื่อน้องเล็กทั้งหมดนั้นเป็นแค่การเสแสร้งละก็……..ก็คงได้แต่บอกว่าฮ่องเต้พระองค์นี้แสดงได้เหนือชั้นเกินไปแล้ว

 

 

เกินขนาดที่ก่อนหน้านี้ตู๋กูเจวี๋ยที่คิดจะทำตัวเป็นไม้ตักปุ๋ย ตอนนี้ได้แต่ต้องยอมปิดปากอย่างเชื่อฟัง

 

 

พอมองเห็นว่าพี่ใหญ่ที่อยู่ด้านข้างก็คิดจะเอ่ยปากขึ้นมา เขาก็เข้าไปกระตุกชายเสื้อของพี่ใหญ่ ลากคนออกไปที่ด้านข้าง

 

 

“พี่ใหญ่ พวกเราลองมองดูกันก่อนว่าที่จริงแล้วฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์จะทำเช่นใดกันแน่ พวกเราล้วนอยู่ที่นี่กันหมด พระองค์จะจับน้องเล็กกินได้อย่างไร?” ตู๋กูเจวี๋ยกล่าวเสียงเบา คอยดึงตู๋กูจุนเอาไว้ไม่ให้เขาเข้าไปแทรกเป็นไม้ตักปุ๋ยอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

 

พี่ใหญ่ที่ดีแต่ล่ำบึกบึนย่อมไม่เข้าอกเข้าใจเรื่องของความรักความใคร่อะไรอยู่แล้ว หากปล่อยให้เข้าไปมีหวังยิ่งยุ่ง

 

 

ท่านปู่ของพวกเขาผ่านโลกมามาก อย่าได้เห็นว่าตอนนี้ออกจะหยาบกร้านไปสักหน่อย ตอนที่ท่านย่ายังอยู่นั้น เขาก็เคยใช้ชีวิตอย่างชื่นมื่นมาก่อน

 

 

เป็นบุรุษที่ให้ความสำคัญกับความรักเช่นกัน……..

 

 

เรื่องการทุ่มเทให้กับสตรีที่รัก ท่านปู่มีประสบการณ์มากกว่าพวกเขาสองพี่น้องมากมายนัก

 

 

จะจริงใจหรือว่าเสแสร้ง ท่านปู่ย่อมต้องมองออกอย่างแน่นอน

 

 

อ๋อ แต่ก็เคยมองพลาดมาแล้วครั้งหนึ่งเหมือนกัน

 

 

ก็คือไอ้ตัวไม่ได้เรื่องอี้อ๋องจีเย่ผู้นั้น…..

 

 

คิดๆดูแล้วตอนนั้นจีเย่เองก็คงจะเอ่ยปากออกมาอย่างชัดเจนว่ารักน้องเล็ก ชั่วชีวิตนี้จะแต่งกับนางเท่านั้นเหมือนกัน

 

 

แล้วดูเอาสิ ต่อมาเขากลับทำอะไรลงไป?

 

 

เพื่อตำแหน่งฮ่องเต้ ถึงกับผลักไสน้องเล็กไปให้บิดาของตนเอง?

 

 

ตอนนั้นจีเย่เองก็แสดงออกมาจริงใจอย่างลึกซึ้ง ไม่ได้น้อยไปกว่าจีเฉวียนในตอนนี้เลย

 

 

ดังนั้นสองพี่ชายจึงยังคงรักษาความระแวงสงสัยเอาไว้

 

 

เมื่อต้องเผชิญกับความเงียบงันของท่านผู้เฒ่า ฮ่องเต้ก็ได้แต่ต้องตรัสให้แจ่มกระจ่างกว่าเดิม

 

 

“ท่านผู้เฒ่าอย่าได้ลำบากใจ เรารักซิงซิง เป็นความเต็มใจของเราเอง นางไม่จำเป็นต้องตอบสนอง”

 

 

“เราเพียงแต่หวังให้ คนในครองครัวของซิงซิงไม่เป็นเช่นดังก่อนนี้ เปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อเราบ้าง”

 

 

แต่ไหนแต่ไรฮ่องเต้ทรงตรัสแต่น้อย วางพระองค์สูงส่งอยู่เสมอ

 

 

วันนี้ต้องถือว่าพระองค์ทรงทำตนต่ำต้อยที่สุดในชีวิตของพระองค์แล้ว

 

 

ตู๋กูซิงหลันคิดจะพูดอะไรออกไปบ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดอะไรดี

 

 

คำปฏิเสธก็เคยพูดออกไปหลายรอบแล้ว ทั้งยังพูดออกไปอย่างเด็ดขาดชัดเจน…..

 

 

หากว่าจะให้พูดออกไปอีก ก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร

 

 

วิญญาณทมิฬยังคงตื้อถามนางต่อไป “หลันหลัน เจ้าไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อยจริงๆหรือ?”

 

 

คำถามนี้ตู๋กูซิงหลันก็ฟังมาหลายรอบแล้ว

 

 

“วิญญาณทมิฬ เจ้าก็คิดว่าข้าใจแข็งเป็นหินเกินไปใช่หรือไม่” ตู๋กูซิงหลันแอบเลือกขาหมูมากินเองอย่างเงียบๆ “มันแปลกมากเลย ….ทุกครั้งที่ข้ารู้สึกว่าจีเฉวียนพอจะมีข้อดีอยู่บ้าง ในใจจะเกิดความเจ็บปวดขึ้นมา”

 

 

ดังนั้นนางจึงไม่กล้าคิดถึงเรื่องดีๆของจีเฉวียนเลย

 

 

แต่ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าทำไม ถึงได้ค่อยๆรู้สึกคุ้นเคยกับจีเฉวียนขึ้นมาเรื่อยๆ คุ้นเคยกับอ้อมกอดของเขา คุ้นเคยกับการถูกเขาจูบ คุ้นเคยกับการที่ทุกเช้าลืมตาขึ้นมาต้องได้เห็นเขาอยู่ตรงหน้า

 

 

ทั้งหมดนี้….เป็นเพียงแค่ความคุ้นเคยเท่านั้นหรือ?

 

 

ตู๋กูซิงหลันคิดไปเรื่อยๆ “วิญญาณทมิฬ เจ้าคิดว่าข้าเสเพลมากหรือไม่?”

 

 

วิญญาณทมิฬ “เจ้าอยากจะฟังความจริงหรือว่าคำลวงกันละ?”

 

 

 ตู๋กูซิงหลัน “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อย่าพูดอะไรเลยจะดีกว่า”

 

 

วิญญาณทมิฬ “ไม่ เค้าจะพูด เค้าจะพูด เจ้าไม่ใช่คนเสเพล เจ้าก็แค่รักไปเรื่อยๆ เจอคนหนึ่งก็รักคนหนึ่ง ให้ความหวังกับเหล่าเทพธิดาเซียนบุรษไปทั้วทั้งใต้หล้า”

 

 

หลังจากนั้นก็ฉีกทึ้งความหวังทิ้งเป็นชิ้นๆ

 

 

อืม พอคิดเช่นนี้ หลันหลันก็ไม่ใช่คนเสเพลเลยสักนิดเดียว

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “อย่าได้คิดว่า เจ้าแอบนินทาข้าอยู่ในใจแล้วข้าจะไม่รู้นะ”

 

 

ขอเพียงแค่พวกนางไม่ได้ปิดกั้นความคิดของตนเอง ก็สามารถรู้สึกได้ถึงความคิดของอีกฝ่าย

 

 

วิญญาณทมิฬ “เค้าเปล่าจริงๆนะ รักไปเรื่อยๆก็ไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย ที่ผิดคือพวกคนหน้าตาดีพวกนี้ ต่างพากันเข้ามาล่อลวงเจ้าต่างหาก”

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่ามันพูดดีมีเหตุผล

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็สามารถกินขาหมูต่อไปได้อย่างสบายใจ อืม…..ช่างหอมจริงๆ

 

 

อีกด้านหนึ่ง จีเฉวียนยังคงมุ่งมั่นสาบานต่อฟ้าดินต่อไป หากว่าท่านผู้เฒ่าเป็นสตรีเกรงว่าคงถูกคำพูดของเขาโยกคลอนจนหวั่นไหวไปแล้ว

 

 

หลังจากที่จีเฉวียนพร่ำเพ้อออกมาชุดใหญ่แล้ว สีหน้าของท่านผู้เฒ่าเองก็แปรเปลี่ยนไปอีกหลายรอบ ในที่สุดก็ได้ยินเขากราบทูลออกมาว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมกินเกลือมายังมากกว่าที่พระองค์เคยเสวยข้าว[1]เสียอีก ความโปรดปรานของพระองค์ กระหม่อมไม่อาจเชื่อได้”

 

 

“กระหม่อมเป็นขุนนางของแคว้นต้าโจว ย่อมต้องทุ่มเทสติปัญญาและความสามารถ[2]เพื่อแคว้นต้าโจวอยู่แล้ว ฝ่าบาทไม่จำเป็นจะต้องใช้วิธีนี้มาซื้อใจกระหม่อมและตระกูลตู๋กู”

 

 

 

 

——

 

 

ตอนต่อไป “ ท่านปู่ ข้าชอบกินแต่เนื้อ”

 

 

——

 

 

[1] 吃过的盐比你吃过的米多:เปรียบเทียบว่ามีประสบการณ์สูงกว่า

 

 

[2] มาจากวรรคทองในสามก๊กที่ว่า 鞠躬尽瘁, 死而后已 (jū gōng jìn cuì,sǐ ér hòu yǐ):ทุ่มเทปัญญาและความสามารถ แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต