ระหว่างที่เฉินจิ้งเฉวียนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นจู่ๆ เสียงของโทคุงวาวะ ฮิโรชิก็ดังขึ้น “คุณเฉิน.. พวกเราชาวญี่ปุ่นแตกต่างจากชาวจีนอย่างพวกคุณมาก หากมีใครกล้าบังอาจเหยียดหยามพวกเรา พวกเราจะไม่คิดมากเหมือนกับชาวจีน แต่จะจัดการบดขยี้มันผู้นั้นทันที!”
  จากนั้นโทคุงวะฮิโรชิก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ “คุณเฉิน.. คุณไม่จำเป็นต้องกังวลใจไป ในวันประลองไม่ว่าตระกูลหลิงจะมาไม้ใหน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราตระกูลโทคุงาวะเอง พวกเราจะจัดการทุกอย่างแทนตระกูลเฉินเอง!”
  คำพูดอวดดีของโทคุงาวะฮิโรชินั้น ทำให้เฉินจิ้งเฉวียนรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก แต่เพราะตระกูลเฉินเป็นฝ่ายเชิญตระกูลโทคุงาวะให้มาช่วยในการประลองครั้งนี้ เขาจึงต้องข่มความโกรธ และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ  “ถ้าเช่นนั้นการประลองในครั้งนี้คงต้องมอบให้ท่านโทคุงาวะเป็นผู้จัดการแทนข้า!”
  และการที่ตระกูลโทคุงาวะยินยอมมาช่วยตระกูลเฉินประลองในครั้งนี้ก็ย่อมต้องมีข้อแลกเปลี่ยนอย่างแน่นอน เฉินจิ้งเฉวียนต้องรับปากว่าจะยกหม้อเสินหนงให้ตระกูลโทคุงาวะครอบครอง และยังจะให้ผลประโยชน์อื่นๆอย่างมากมายอีกด้วย!
  เหตุผลที่เฉินจิ้งเฉวียนยอมรับปากตระกูลโทคุงาวะเพราะจำเป็นต้องอาศัยตระกูลโทคุงาวะให้ช่วยสังหารหลิงหยุนให้นั่นเอง และหากสามารถสังหารหลิงหยุนได้ คนอื่นๆในตระกูลหลิงนั้น ตัวเขาเองย่อมสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย..
  เพราะหากจะหวังพึ่งเหล่าแวมไพร์ฝั่งตะวันตกก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเวลานี้เฉินเจี้ยนกุ่ยก็หายตัวไปไม่ได้ข่าวคราว และไม่มีผู้ใดรู้ว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยเป็นตายร้ายดีเช่นใด
  ด้วยเหตุนี้..ตราบใดที่การประลองยังไม่สิ้นสุด เฉินจิ้งเฉวียนก็จำเป็นต้องอดทนอดกลั้นต่อท่าทียะโสโอหังชองโทคุงาวะ ฮิโรชิไปก่อน!
  จากการร่วมมือกันของสองตระกูลรวมทั้งการประชุมในคืนนี้ ทำให้ซันเจิ้นหวู่กับเฉินจิ้งเฉวียนมั่นใจในชัยชนะเป็นอย่างมาก!
  แต่หลังจากที่ได้รับรายงานว่าแผนสร้างความวุ่นวายให้กับตระกูลหลิงนั้นล้มเหลวงเฉินจิ้นเฉวียนก็หงุดหงิดใจจนไม่มีอารมณ์ที่จะประชุมต่อ หลังจากเจรจากันต่ออีกเพียงครู่หนึ่ง เขาจึงขอตัวกลับไปพักผ่อนที่ห้อง..
  ทางด้านซันเจิ้นหวู่เองก็เช่นกัน..เขาได้สั่งให้ซันเจี๋วยหลานชายไปส่งคนตระกูลไป๋หลี่กลับไปพักผ่อนที่บ้านตระกูลซัน ส่วนตัวเขากับซันเทียนหลัวนั้น ก็ได้แอบไปเจรจาลับกับเฉินจิ้งเฉวียนและเฉินไห่เผิงต่อ..
  ……
  “เจิ้นหวู่..ท่านนี้คือไต้ซือหลู่หมิงฉู่แห่งหน่วยนภา! ไต้ซือหลู่หมิงฉู่ได้ทราบเรื่องของพวกเราสองตระกูลหมดแล้ว..”   หลู่หมิงฉู่นั้นเป็นศิษย์ของปรมาจารย์หลัวฮ่านถังแห่งวัดเส้าหลินเขาอยู่ในด่านกลางขั้นพลังเหนือธรรมชาติแล้ว อีกทั้งยังเชี่ยวชาญ 72 กระบวนท่าวัดเส้าหลินมากด้วย..
  ในหน่วยนภานั้นมียอดฝีมือเพียงแค่ไม่กี่ร้อยคนเท่านั้นและทุกคนก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในขั้นที่สามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติได้แล้วทั้งสิ้น..
  แต่ยอดฝีมือในหน่วยนภานั้นจะรวมกลุ่มกันก็ต่อเมื่อประเทศชาติกำลังประสบกับภัยพิบัติครั้งใหญ่เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ ภัยที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น หรือแม้แต่การถูกรุกรานจากต่างชาติ ยอดฝีมือจากหน่วยนภานี้จึงจะรวมตัวกันต่อสู้เพื่อประเทศชาติของตนเอง..
  แต่ในยามปกตินั้น..ยอดฝีมือเหล่านี้จะเป็นอิสระต่อกัน ต่างคนต่างก็มีสำนัก และครอบครัวของตนเองที่ต้องดูแล หรือไม่ต่างก็แยกย้ายกันไปฝึกฝนวิชาตามที่ต่างๆ ดังนั้นหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ และต้องแยกย้ายกันในแต่ละครั้ง หลายคนอาจไม่เคยพบเจอกันอีกเลย ซึ่งอาจนานถึงเจ็ดแปดปี หรืออาจจะเป็นสิบหรือยี่สิบปีก็เป็นได้..
  อย่างเฉินจิ้งเฉวียนเป็นต้น..ตัวเขาเองก็ไม่ได้ปฏิบัติภารกิจให้กับหน่วยนภานานกว่าสิบปีแล้วเช่นกัน!
  แม้ว่ารัฐบาลจะมีภารกิจลับชั่วครั้งชั่วคราวอยู่บ้างแต่ก็จะเรียกตัวไปครั้งละสามถึงห้าคนเท่านั้น อีกทั้งเวลานี้ประเทศจีนก็เจริญรุ่งเรื่องอย่างมาก จึงไม่มีเรื่องหนักหนาสาหัสที่ทางรัฐบาลจะต้องส่งคนจากหน่วยนภาไปจัดการ..
  และก็เป็นปกติที่คนในหน่วยนภาอาจจะขัดแย้งกันเองเพราะต่างก็มาจากตระกูล และสำนักที่ต่างกัน แต่หากทางรัฐบาลเรียกตัวไปเมื่อใด ยอดฝีมือเหล่านี้จะยอมทิ้งความแค้นส่วนตัวไปก่อน และคิดถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก..
  และนี่คือความคิดของยอดฝีมือในหน่วยนภา..หากต้องปฏิบัติภารกิจระดับชาติ พวกเขาจะยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง จนกว่าภารกิจที่ได้รับมอบหมายจะเสร็จสิ้น!
  และตราบใดที่รัฐบาลไม่ได้เรียกตัวและสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั้นไม่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ ก็จะไม่มีผู้ใดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้ง หรือมิตรภาพของยอดฝีมือภายในหน่วยนภาเลย..
  ความบาดหมางระหว่างตระกูลเฉินกับตระกูลหลิงก็นับเป็นเรื่องส่วนตัวเช่นกัน ด้วยเหตุนี้การที่ตระกูลเฉินจะเชิญตระกูลโทคุงาวะ ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นให้มาเข้าร่วมประลองด้วย จึงไม่นับว่าเป็นความผิดอะไร..
  แต่มันคือการสะสางปัญหาที่สั่งสมมานานระหว่างสองตระกูลเท่านั้น!
  เรื่องส่วนตัวก็อย่างหนึ่งเรื่องของตระกูลก็เรื่องหนึ่ง ภารกิจของรัฐบาลก็อีกเรื่อง ทุกอย่างล้วนไม่ข้องเกี่ยวกัน!
  สำหรับผู้ที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกในหน่วยนภานั้นจะได้รับผลประโยชน์มากมายจากทางรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นสิทธิพิเศษในเรื่องต่างๆมากมาย รวมทั้งทรัพยากรที่ใช้สำหรับการฝึกฝนวิชาที่แต่ละคนต้องการ..
  เพียงแค่เหตุผลสองข้อนี้..ก็ทำให้ยอดฝีมือหลายๆคน ยินดี และเต็มใจที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกหน่วยนภาได้แล้ว!
  ไต้ซือหลู่หมิงฉู่ก็เป็นยอดฝีมืออีกหนึ่งคนที่เฉินจิ้งเฉวียนเชิญมาช่วยในการประลองครั้งนี้ และทั้งคู่มีความสนิทสนมกันดั่งพี่น้อง..
  ระหว่างนั้นเฉินจิ้งเฉวียนก็แอบบอกกับซันเจิ้นหวู่ผ่านทางกระแสจิตว่า..
  –ต่อหน้าตระกูลโทคุงาวะและตระกูลไป๋หลี่ เจ้าอย่าได้แพร่งพายการทำงาน และฐานะของข้าในหน่วยนภาให้พวกเขาล่วงรู้!-
  ซันเจิ้นหวู่พยักหน้าอย่างเข้าใจ..
  จากนั้นเฉินจิ้งเฉวียนก็ได้ย้ำให้ซันเจิ้นหวู่มั่นใจอีกครั้ง“เจิ้นหวู่.. มีไต้ซือหลู่หมิงฉู่อยู่ข้างเรา ตระกูหลหลิงต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน! เจ้าอย่าได้กังวลใจไป” novel-lucky
  ….  ในการประลองทั้งหมดห้ายกนั้นตระกูลซันจะต้องเป็นฝ่ายเริ่มประลองในสองยกแรก และเฉินจิ้งเฉวียนเองก็สังเกตเห็นว่าซันเจิ้นหวู่มีสีหน้าหนักอกหนักใจ และเป็นกังวล เขาจึงย้ำอีกครั้งเพื่อให้ซันเจิ้นหวู่มั่นใจ..
  “อาวุโสเฉิน..นี่ท่านมั่นใจถึงเพียงนี้เชียวรึ!” ซันเจิ้นหวู่ถึงกับร้องถามออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ!
  เฉินจิ้งเฉวียนพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เจิ้นหวู่.. เจ้ามั่นใจได้! ข้ากับไต้ซือหลู่หมิงฉู่ล้วนฝึกวรยุทธจากเส้าหลินมาด้วยกัน รับรองว่าต้องตระกูลหลิงไม่มีทางเอาชนะไต้ซือได้แน่!”
  ซันเจิ้นหวู่ได้ฟังถึงกับนิ่งอึ้งไป..แต่หลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา และตัดสินใจพูดออกไปว่า
  “แต่หนังตาของข้ากระตุกอยู่ตลอดเวลา..อาวุโสเฉิน! ข้าเกรงว่าหลิงหยุนจะลงสนามประลองเองตั้งแต่ยกแรกน่ะสิ! และข้าว่าเขาน่าจะยังมีไพ่ในมือที่พวกเราต่างก็ยังไม่รู้อีกด้วย!”
  เฉินจิ้งเฉวียนยิ้มเย็นพร้อมตอบกลับไปทันที“เป็นเช่นนั้นก็ดีสิ! หากหลิงหยุนเริ่มประลองตั้งแต่ยกแรก ทางฝ่ายเราก็มียอดฝีมือที่สามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติได้มากกว่าสิบคน ข้าไม่เชื่อว่าไพ่ในมือของหลิงหยุนจะมีมากจนกระทั่งถึงยกที่ห้า!”
  “อย่าลืมว่านอกเหนือจากยอดฝีมือที่เจ้าเห็นข้ายังจะมียอดฝีมือจากหน่วยนภามาร่วมการประลองในครั้งนี้อีกถึงสี่คน!”
  “เจิ้นหวู่..ในเมื่อพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันประกาศสนามประลองแล้ว ข้าจะบอกกับเจ้าให้รู้ว่า.. ยอดฝีมือจากหน่วยนภาอีกสี่คนที่จะมาร่วมนั้น ล้วนแล้วแต่เคยเป็นศัตรูของหลิงหยุนทั้งสิ้น!”
  “หนึ่งในนั้นก็คือไต้ซือจากวัดเส้าหลินซึ่งเป็นอาจารย์ของเจี้ยนห่าวกับเจี้ยนจื่อหลานชายของข้ายังมีเจ้าสำนักเขาหลงหู่ สองมือกระบี่จากสำนักกระบี่เทียนซัน และสำนักกระบี่คุนหลุน..”
  “หลิงหยุนบังอาจสังหารหลานชายที่เก่งที่สุดของข้าไม่เพียงเท่านั้นพวกเขาทั้งคู่ยังเป็นศิษย์เอกของท่านไต้ซือจื้อกงด้วย และไต้ซือจื้อกงเองก็ต้องการที่จะสังหารหลิงหยุนให้กับศิษย์ของเขาเป็นการแก้แค้นอยู่แล้ว..”
  “ในการต่อสู้บนยอดเขาหลงเหมินนั้นหลิงหยุนก็ได้สังหารศิษย์ทั้งห้าคนของสำนักเขาหลงหู่ไป และยังได้สังหารศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุนไปถึงสองคน ส่วนอีกสองคนได้รับบาดเจ็บสาหัส!”
  “สำหรับสำนักกระบี่เทียนซันนั้น..เท่าที่ข้ารู้มา เวลานี้แม่บุญธรรมของหลิงหยุนก็ยังอยู่ที่สำนักกระบี่เทียนซันเช่นกัน!”
  “ส่วนตี๋ยั่วถังแห่งสำนักเทียนซันก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับศัตรูหัวใจของฉินจิวยื่อเช่นนี้แล้วเจ้าว่าตี๋ยั่วถังจะไม่พยายามอย่างดีที่ที่สุดในการประลองกับตระกูลหลิงงั้นรึ”
  หลังจากที่ซันเจิ้นหวู่ได้ฟัง..เขาก็ถึงกับตื่นเต้นดีใจจนกระโจนลุกขึ้นยืนจากโซฟาทันที!
  ไม่แปลกที่เฉินจิ้งเฉวียนดูมั่นอกมั่นใจนักว่าจะสามารถเอาชนะการประลองกับหลิงหยุนและตระกูลหลิงในครั้งนี้ได้!
  นั่นเพราะเขามีทั้งยอดฝีมือทั้งจากวัดเส้าหลินหน่วยนภา สำนักเขาหลงหู่ สำนักกระบี่คุนหลุน และสำนักกระบี่เทียนซันนี่เอง!
  เฉินจิ้งเฉวียนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ในเมื่อศัตรูของหลิงหยุนโคจรมารวมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันเช่นนี้ เจ้ายังคิดว่าตระกูลหลิงจะมีโอกาสชนะอีกงั้นรึ ข้าว่า.. หลิงหยุนจะมีชีวิตอยู่ถึงแค่สิ้นเดือนสิงหาคมนี้ต่างหากเล่า!”
  จากนั้นเฉินจิ้งเฉวียนจึงหันไปทางซันเจิ้นหวู่พร้อมกับถามขึ้นว่า“เจิ้นหวู่.. เจ้ายังมีอะไรค้างคาใจอีกหรือไม่”
  ซันเจิ้นหวู่ร้องตอบด้วยความตื่นเต้นดีใจ“อาวุโสเฉิน.. ข้าไม่มีสิ่งใดคาใจอีกแล้ว! หลังจากการประลองครั้งนี้สิ้นสุด ตระกูลซันจะยินดีเชื่อฟังตระกูลเฉิน!”
  ในที่สุดซันเจิ้นหวู่ก็เข้าใจแล้วว่าช่องว่างระหวางตระกูลเฉินกับตระกูลหลิงนั้นห่างไกลกันมากจริงๆ แม้แต่ตระกูลซันเองก็ยังห่างไกลกับตระกูลเฉินมากนัก!
  เมื่อเป็นเช่นนี้หลังจากสิ้นสุดการประลอง ตระกูลซันก็จะใช้โอกาสนี้ฝากตัวกับตระกูลเฉิน เขาเชื่อมั่นว่าการทำเช่นนั้น จะทำให้ตระกูลซันมีแต่ได้กับได้!
  “ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
  เฉินจิ้งเฉวียนดูเหมือนจะดีใจกับผลการเจรจาในครั้งนี้มากเขายิ้มพร้อมกับลุกขึ้นยืน และพูดขึ้นว่า
  “เอาล่ะ..แยกกันไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้พวกเราจะต้องเข้าไปบ้านตระกูลหลิง!”
  …..
  หลังจากที่ซันเจิ้นหวู่กับลูกชายกลับไปแล้วเฉินไห่เผิก็หันไปพูดกับเฉินจิ้งเฉวียนว่า “ซันเจิ้นหวู่.. เจ้าจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ คิดจะหาผลประโยชน์โดยที่ตัวเองไม่ต้องลงแรงเลยงั้นสิ!”
  แต่หลังจากที่คนตระกูลซันกลับไปแล้วสีหน้าของเฉินจิ้งเฉวียนกลับเปลี่ยนเป็นหนักอกหนักใจ และกังวลขึ้นมาแทน เฉินไห่เผิงเห็นเช่นนั้นจึงถามขึ้นว่า..
  “ท่านลุงใหญ่..มีอะไรอีกงั้นรึ”
  เฉินจิ้งเฉวียนจึงตอบผ่านกระแสจิต..
  –มีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังกังวลใจนัก..ซึ่งก็คือท่าทีของตระกูลหลง!-
  –ไห่เผิง..เจ้าต้องรู้ว่าตระกูลเฉินของเราเตรียมการมานานหลายปี ก็เพื่อจะจัดการกับตระกูลหลงและตระกูลเย่ แต่กลับกลายเป็นว่าต้องมาสู้กับตระกูลหลิงเช่นนี้ ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน!-
  –หลิงหยุนเพียงคนเดียว..แต่กลับสามารถทำลายความแข็งแกร่งของตระกูลเฉินที่เฝ้าบ่มเพาะมานาน เท่านั้นยังไม่พอ.. มันยังคิดที่จะทำให้ตระกูลเฉินของเราต้องสิ้นชื่อไปด้วย!-
  –การที่ข้าตัดสินใจท้าประลองกับตระกูลหลิงเช่นนี้ก็เพราะยอมไม่ได้ที่จะเห็นตระกูลหลิงผงาดขึ้นมาได้อีกครั้ง และค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!-
  –แต่ข้าก็รู้ดีว่า..ระหว่างที่ตระกูลเฉินกับตระกูลซันประลองกับตระกูลหลิงนั้น ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายแพ้หรือว่าชนะ ตระกูลหลงและตระกูลเย่ก็ย่อมทำตัวเป็นนักตกปลา ที่คอยเกาะเกี่ยวเอาผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น..-
  –ตระกูลหลงนั้นหูตากว้างไกลย่อมสามารถรู้ความเคลื่อนไหวของตระกูลเฉินได้ไม่ยาก..–
  –ข้าสังหรณ์ใจว่า..ตระกูลเฉินของเรากำลังถูกตระกูลหลงยืมมือ เดิมทีตระกูลเฉินของเราวางแผนเล่นงานตระกูลเกาก่อน จากนั้นจึงค่อยจัดการกับตระกูลหลิง และบีบให้ตระกูลหลิงไปจัดการกับตระกูลหลงต่อ..–
  –แต่เมื่อตระกูลหลิงมีหลิงหยุน..เหตุการณ์ก็กลับตาลปัตรไปหมด! หลิงหยุนไม่เพียงช่วยตระกูลเกาได้ แต่ยังมีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลฉิน และมันเองก็ได้สร้างเมืองจิงฉูให้กลายเป็นฐานกำลังที่แข็งแกร่งของตนเองด้วย..–
  –เวลานี้สถานการณ์ของเหล่าตระกูลใหญ่ได้แบ่งออกเป็นพันธมิตรสองขั้วขั้วหนึ่งคือตระกูลหลิง ตระกูลฉิน และตระกูลเกา ที่กำลังจะมาจัดการกับตระกูลเฉินและตระกูลซัน..–
  –มาถึงตอนนี้..ตระกูลหลงกับตระกูลเย่กำลังคิดอ่านอะไรอยู่ ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจ และไม่อาจคาดเดาได้!-
  –ดังนั้น..ในการประลองครั้งนี้ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายแพ้ หรือว่าชนะ ก็ล้วนแล้วแต่ต้องตกอยู่ในกำมือของตระกูลหลงและตระกูลเย่ทั้งสิ้น!-
  “และนี่คือสิ่งที่ข้ากังวลใจและหนักใจอย่างที่สุด!”
  หลังจากที่ได้ฟัง..เฉินไห่เผิงก็ถึงกับเย็นแผ่นหลังวาบขึ้นมาทันที!
  “ลุงใหญ่..เช่นนี้แล้วพวกเราควรทำเช่นใด”   แม้ว่าเฉินไห่เผิงจะเป็นถึงผู้นำตระกูลแต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากพอ หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเฉินจิ้งเฉวียน จึงอดที่จะตกใจจนร้องถามออกมาไม่ได้!
  แต่จะว่าไป..เรื่องนี้แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นเฉินจิ้งเฉวียนยังเป็นกังวล จึงไม่แปลกที่เฉินไห่เผิงจะตกอกตกใจ
  เฉินจิ้งเฉวียนเห็นท่าทางของเฉินไห่เผิงก็ได้แต่แอบถอนหายใจเขายกมือขึ้นโบกไปมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “ไห่เผิง..ข้าเพิ่งจะบอกว่าเป็นเรื่องที่ข้าหนักใจและกังวลเท่านั้น ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง และต่อให้เกิดขึ้นจริง ข้ายังอยู่ทั้งคน ข้าย่อมมีวิธีจัดการของข้า..”
  จากสิ่งที่เฉินจิ้งเฉวียนกังวลใจนั้นทำให้เห็นว่าตระกูลใหญ่ในปักกิ่งนั้น แต่ละตระกูลก็ล้วนแล้วแต่จ้องที่จะทำร้ายกันและกัน..
  ระหว่างนั้นเฉินจิ้งเฉวียนก็ถามเฉินไห่เผิงขึ้นว่า“ไห่เผิง.. เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดหลิงเจิ้นจึงยอมถอยให้ และปล่อยให้หลิงหยุนขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลแทนเช่นนี้ แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ใหนกันแน่?”
  “หลิงเจิ้นงั้นรึ!”
  หลังจากที่ได้ยินเฉินจิ้งเฉวียนพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเฉินไห่เผิงก็เพิ่งจะนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเช่นกัน!