เหตุการณ์ภายในห้องรับแขกตระกูลเฉินเวลานี้ไม่ต่างจากเรื่องเล่าที่ว่า.. สามีภรรยาสองคนที่ซื้อลอตเตอรี่มา และภรรยาก็ถามสามีว่าถ้าได้รางวัลห้าล้านจะเอาเงินไปทำอะไร สามีตอบกลับโดยแทบไม่ต้องคิด.. ซื้อรถ ซื้ออะไรอื่นๆอีกมากมาย
  ภรรยาได้ยินเช่นนั้นก็โมโหสามีที่ไม่แบ่งให้ตนเองเลยแล้วทั้งคู่จึงได้ทะเลาะตบตีกันจนกระทั่งตำรวจต้องมาแยก..
  การทะเลาะกันระหว่างโทคุงาวะฮิโรชิกับไป๋หลี่เทียนจั่วในเวลานี้ ก็มีลักษณะเช่นเดียวกันกับเรื่องเล่าตลกขบขันนั่น..
  การประลองระหว่างตระกูลหลิงกับตระกูลเฉินและตระกูลซันยังไม่ทันจะเริ่มต้นขึ้นด้วยซ้ำไป แต่ทั้งคู่กลับเริ่มทะเลาะเบาะแว้งกันเองแล้วว่า ผู้ใดจะได้เป็นฝ่ายครอบครองสิ่งของบนร่างกายหลิงหยุน!
  หากหลิงหยุนได้มาเห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตนเองเขาคงต้องหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งเป็นแน่!
  แล้วก็เป็นอย่างที่ซันเจิ้นหวู่กังวลใจ..ไป๋หลี่เทียนจั่วมั่นใจอย่างยิ่งว่าการประลองที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้ เขาจะต้องสามารถสังหารหลิงหยุนได้อย่างง่ายดาย..
  แม้ไป๋หลี่เทียนจั่วจะมั่นอกมั่นใจอย่างมากว่าจะสามารถสังหารหลิงหยุนได้แต่โทคุงาวะ ฮิโรชิดูเหมือนจะมั่นใจยิ่งกว่า ท่าทางของเขาจึงดูยะโสโอหัง และหยิ่งผยองยิ่งนัก!
  และการที่โทคุงาวะฮิโรชิมั่นอกมั่นใจเช่นนั้น ก็เพราะว่าเขาเป็นถึงนินจาขั้นเงาระดับสามแล้วนั่นเอง!
  นินจาขั้นเงาของชาวญี่ปุ่นนั้นเทียบเท่ากับยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติของจีนซึ่งในขั้นนี้ก็จะแบ่งออกเป็นเก้าระดับเหมือนกัน ดังนั้นนินจาขั้นเงาระดับสาม จึงเทียบเท่ากับขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับสามนั่นเอง..
  ยิ่งไปกว่านั้น..นินจาทั้งห้าที่โทคุงาวะ ฮิโรชิพามาด้วยนั้น ทั้งโทคุงาวะ ทาเคชิ และโทคุงาวะทาเคกิ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นนินจาขั้นเงาระดับสองทั้งคู่ ส่วนอีกสองคนเป็นนินจาขั้นเงาระดับหนึ่ง!
  ด้วยเหตุนี้..การที่โทคุงาวะ ฮิโรชิสามารถจองหองได้เช่นนี้ ก็เพราะว่ามีนินจาที่แข็งแกร่งติดตามมาด้วยถึงสี่คน อาจพูดได้ว่าภายในห้องรับแขกตระกูลเฉินเวลานี้ เหล่านินจาญี่ปุ่นนับว่าเป็นฝ่ายที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่เห็นจะผิดนัก!
  เมื่อเห็นว่าคำพูดที่จงใจยั่วยุให้เหล่านินจากับตระกูลไป๋หลี่ให้ฮึกเหิมขึ้นมาได้แล้วนั้นเฉินจิ้วเฉวียนก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์..
  เมื่อครู่เฉินจิ้งเฉวียนจงใจบอกเล่าถึงความแข็งแกร่งของหลิงหยุนให้ทุกคนได้รับรู้แต่กลับคิดไม่ถึงว่าตระกูลไป๋หลี่จะไม่มีท่าทีหวาดกลัวหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย ทำให้เฉินจิ้งเฉวียนรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก และมั่นใจอย่างมากว่าตระกูลไป๋หลี่จะต้องมีไพ่ตายอยู่ในมือเช่นกัน!
  มีทั้งยอดฝีมือจากตระกูลไป๋หลี่และนินจาที่แข็งแกร่งทั้งห้าของตระกูลเฉิน ทำให้ช่องว่างของการประลองของทั้งสองฝ่ายยิ่งห่างไกลกันมากขึ้น!
  แม้ว่าหลิงหยุนจะเป็นผู้บ่มเพาะตนที่แข็งแกร่งมากแต่ก็ยังอยู่เพียงแค่ขั้นเริ่มต้นของการฝึกตนเท่านั้น และหากต้องเผชิญกับยอดฝีมือที่แข็งแกร่งพร้อมๆกันเช่นนี้ ก็คงยากที่จะต้านทาน และถูกสังหารตายได้ไม่ยากนัก..
  เฉินจิ้งเฉวียนที่เจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าจิ้งจอกนั้นหลังจากดีดลูกคิดคำนวนอยู่ในใจแล้ว ก็ได้แต่แอบกรีดร้องอยู่ในใจเงียบๆ
  แต่นี่เป็นช่วงเวลาของการร่วมมือระหว่างสองตระกูลก่อนถึงวันประลอง.. เฉินจิ้งเฉวียนจะไม่ยอมให้ทั้งสองฝ่ายถกเถียงกันจนถึงขั้นต้องต่อสู้กันเองอย่างแน่นอน เขาจึงเอ่ยปากพูดออกไปว่า
  “คุณโทคุงาวะ..ท่านไป๋หลี่.. ข้าเชื่อว่าพวกท่านทั้งสองล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งมากพอที่จะสังหารหลิงหยุนได้ทั้งคู่ แต่ถึงอย่างไร.. การประลองในอีกสามวันข้างหน้าก็เป็นเรื่องที่สามารถพลิกผันได้ตลอดเวลา พวกเราทั้งสองฝ่ายอย่าด่วนผิดใจกัน และทะเลาะกันเองจะดีกว่า เพราะจะเป็นการทำลายบรรยากาศดีๆของทั้งสองฝ่ายเสียเปล่าๆ ท่านทั้งสองว่าข้ากล่าวได้ถูกต้องหรือไม่”
  เฉินจิ้งเฉวียนไม่รอฟังคำตอบแต่รีบพูดต่อทันที “เอาเป็นว่าพวกเรารอให้การประลองสิ้นสุดก่อน และสามารถสังหารหลิงหยุนได้แล้ว พวกเราค่อยมาเจรจาตกลงแบ่งกันว่าใครจะได้อะไรไปบ้าง”
  และเมื่อพูดมาถึงตรงนี้เฉินจิ้งเฉวียนก็ยิ้มออกมาพร้อมกับผายมือ และแสดงความใจกว้างด้วยการประกาศไปว่า
  “ตระกูลเฉินของข้าขอประกาศไว้ตรงนี้..หลังจากสิ้นสุดการประลองและได้รับชัยชนะ ตระกูลเฉินไม่สนใจ และไม่ต้องการร่างของหลิงหยุน!”   จากนั้นเฉินจิ้งเฉวียนก็หันไปมองซันเจิ้นหวู่เป็นการส่งสัญญาณให้ซันเจิ้นหวู่พูดบ้าง..
  การที่ซันเจิ้นหวู่ขอให้ตระกูลไป๋หลี่มาช่วยในครั้งนี้จุดประสงค์ก็เพื่อปกป้องตระกูลซันไม่ให้ถูกหลิงหยุนทำลายเท่านั้น เขาจึงเข้าใจและรับรู้อยู่ก่อนแล้วว่า ตนเองไม่มีคุณสมบัติพอที่จะไปแก่งแย่งใดๆกับตระกูลไป๋หลี่..
  ด้วยเหตุนี้ซันเจิ้นหวู่จึงรีบพยักหน้าและประกาศว่า “ตราบใดที่สามารถสังหารหลิงหยุนได้ และถล่มตระกูลหลิงจนไม่เหลืออะไร สามารถกู้หน้าให้กับตระกูลซันได้แล้ว ตระกูลซันของเราก็พอใจเพียงแค่นั้น สิ่งของใดๆของหลิงหยุน ตระกูลซันจะไม่ขอแตะต้องเช่นกัน!”
  จิ้งจอกเฒ่าทั้งสองนับว่าเข้าใจสถานการณ์ได้ดีทีเดียวทั้งคู่รู้ว่าในเมื่อบังคับเสือสองตัวให้ทำการสังหารเหยื่อให้ หากยังต้องการแย่งชิ้นเนื้อกับเสือ ก็นับว่าโลภมากจนเกินไป!
  หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเฉินจิ้งเฉวียนและซันเจิ้นหวู่ไป๋หลี่เทียนจั่วจึงได้ยอมนิ่งเงียบไป และคร้านที่จะทะเลาะกับโทคุงาวะ ฮิโรชิต่อ..
  ชายฝั่งของประเทศญี่ปุ่นติดกับทะเลจีนตะวันออกซึ่งเป็นบริเวณที่กลุ่มพันธมิตรทะเลจีนตะวันออกดูแลอยู่ จึงเป็นธรรมดาที่ทั้งสองฝ่ายจะไม่ลงรอยกันนัก..
  เฉินจิ้งเฉวียนจึงต้องพยายามสงบศึกก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายกันใหญ่หลังจากที่ทำสำเร็จแล้ว เขาก็มองไปทางซันเจิ้นหวู่พร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “เจินหวู่..ถ้าเช่นนั้นในการประลองก็ตกลงตามนี้”
  “พวกเราทั้งสองตระกูลจะประลองกับตระกูลหลิงทั้งหมดห้ายกหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถชนะสามในห้ายกได้ ก็จะเป็นฝ่ายชนะ! ตระกูลซันของเจ้ารับประลองสองยก ส่วนตระกูลเฉินมีคนมากกว่า จะรับประลองสามยก..”
  “ครั้งนี้ต่อให้หลิงหยุนติดปีก..ก็ยากที่จะรอดชีวิตไปได้!”
  แววตาของเฉินจิ้งเฉวียนนั้นบ่งบอกถึงชัยชนะที่กำลังจะได้รับ..
  และในเมื่อไป๋หลี่เทียนรับปากที่จะประลองไปแล้วซันเจิ้นหวู่ยังจะพูดอะไรได้อีกเล่า เขาจึงได้แต่ตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
  “ทุกอย่างแล้วแต่อาวุโสเฉินจะจัดการ!”
  เฉินจิ้งเฉวียนได้ฟังก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างพอใจจากนั้นจึงลุกขึ้นยืน และร้องตะโกนออกไปว่า
  “หลิงหยุน..เจ้ามันไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ บังอาจลองดีกับตระกูลเฉินและตระกูลซัน อีกสามวันตระกูลหลิงของเจ้าต้องถูกทำลายจนสิ้นซากเป็นแน่!”
  จากนั้นเฉินจิ้งเฉวียนก็หันไปยิ้มให้กับซันเจิ้นหวู่พร้อมกับพูดขึ้นว่า“เจิ้นหวู่.. ตามกฏแล้วพรุ่งนี้ตระกูลหลิงจะต้องแจ้งสถานที่ประลองให้พวกเรารู้ เจ้ากับข้าควรจะไปดูสนามประลองด้วยตัวเอง เจ้าคิดเห็นเช่นใด”
  ซันเจิ้นหวุ่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับตอบยิ้มๆ“เรื่องนี้แล้วแต่อาวุโสเฉิน!”
  หลังจากที่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลความแข็งแกร่งของหลิงหยุนและตระกูลไป๋หลี่เองก็ดูมั่นอกมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะหลิงหยุนได้ ทำให้ซันเจิ้นหวู่รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง จึงได้แต่หัวเราะออกไปอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “ฮ่า..ฮ่า.. แต่ข้าว่าก่อนจะถึงวันประลอง.. ตอนนี้ตระกูลหลิงคงกำลังโกลาหลวุ่นวายมากทีเดียว!”
  ……….
  การประกาศเป็นพันธมิตรกันระหว่างตระกูลเฉินกับตระกูลซันในครั้งนี้นับว่าสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งปักกิ่ง ในเมื่อทั้งคู่ร่วมมือจะบดขยี้ตระกูลหลิงแล้ว ตระกูลเฉินยังได้ส่งหานเถี่ยซิน และจ้าวจิ่งหมิงไปก่อกวนถึงคฤหาสน์ตระกูลหลิงอีกด้วย และเรื่องนี้ซันเจิ้นหวู่เองก็รับรู้..
  นี่เป็นหมัดแรกที่ตระกูลซันกับตระกูลเฉินใช้จัดการกับตระกูลหลิงและระหว่างที่จะถึงวันประลองนั้น ตระกูลหลิงคงจะต้องวุ่นวายจนไม่เป็นอันทำอะไรอย่างแน่นอน..
  แต่ในเวลานั้นเอง..ทายาทรุ่นเล็กของตระกูลเฉินก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา และหยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องรับแขก สีหน้าของเขานั้นบ่งบอกถึงความกระวนกระวายใจ และรุ่มร้อนอย่างมาก..
  เฉินจิ้งเฉวียนหันไปมองพร้อมกับร้องตะโกนถามออกไปทันที“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ”
  “ท่านลุงใหญ่..หานเถี่ยซินกับจ้าวจิ่งหมิงเพิ่งจะโทรมาบอกว่าตระกูลหลิง..”
  เด็กหนุ่มพูดได้เพียงแค่นั้นก็นิ่งเงียบไปเพราะหลังจากเงยหน้าขึ้นมา เขาก็พบว่ามีผู้คนอยู่ในห้องรับแขกเต็มไปหมด.. novel-lucky
  เฉินจิ้งเฉวียนเห็นเช่นนั้นจึงขมวดคิ้วพร้อมกับบอกไปว่า“เจ้าพูดออกมาเถิด! ทุกคนในห้องนี้ล้วนแล้วแต่คนกันเองทั้งนั้น!”
  เด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนและพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาราวกระซิบ “ลุงใหญ่.. ข้าเพิ่งจะได้รับข่าวว่าแผนการของเราล้มเหลว! เวลานี้ตระกูลหลิงได้จัดการจ่ายเงินคืนให้กับนักธุรกิจจากตระกูลเล็กๆ ที่เข้าไปทั้งหมด ทุกคนล้วนได้เงินที่ลงทุนกลับไปเพียงแค่ครึ่งเดียว แล้วก็…”
  “แล้วหานเถี่ยซินกับจ้าวจิ่งหมิงที่พวกเราส่งไปก่อกวนก็ถูกคนตระกูลหลิงหักขา..”
  “อะไรนะ!”
  “นี่มัน!”
  หลังจากที่ได้ฟังทายาทรุ่นเล็กของตระกูลเฉินรายงานทั้งเฉินจิ้งเฉวียน และซันเจิ้นหวู่ต่างก็ตกใจอย่างมาก สีหน้าของคนทั้งคู่นั้นบ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน!
  จู่ๆตระกูลหลิงมีเงินมากมายเช่นนั้นได้อย่างไรกัน! เป็นไปไม่ได้!
  ทั้งเฉินไห่เผิงและซันเทียนหลัวที่นั่งอยู่ในห้องด้วยต่างก็หันไปมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ในดวงตาของทั้งคู่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย..
  “ทั้งสองคนยังบอกอีกว่าเวลานี้หลิงหยุนได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหลิงแล้ว!และเงินทั้งหมดที่นำมาจ่ายให้กับทุกคนร่วมหมื่นล้านนั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเงินของหลิงหยุนทั้งสิ้น!” ทายาทรุ่นเล็กของตระกูลเฉินยังคงรายงานด้วยสีหน้าตื่นเต้น..
  ทั้งเฉินจิ้งเฉวียนและซันเจิ้นหวู่ต่างก็หน้าถอดสีและทั้งคู่ก็ได้แต่ตกตะลึงกับฐานะทางการเงินของหลิงหยุน!
  และทันทีที่ข่าวคราวเรื่องนี้แพร่สะพรัดออกไปก็ทำให้สถานะที่ได้เปรียบของตระกูลเฉินกับตระกูลซันทรุดฮวบลงทันที และความน่าเชื่อถือก็ลดลงอย่างมากเช่นกัน!
  เฉินจิ้งเฉวียนถึงกับร้องตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ“มันก็คงได้เงินมาจากตระกูลเกาน่ะสิ!”
  แต่เฉินจิ้งเฉวียนไม่สนใจเรื่องเงินแต่กลับสนใจเรื่องผู้นำตระกูลหลิงมากกว่า “นี่หลิงหยุนมันได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหลิงจริงๆงั้นรึ”
  “เป็นเรื่องจริง!”ทายาทหนุ่มตอบกลับอย่างไม่ลังเล..
  …..
  เรื่องที่หลิงหยุนได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหลิงนั้นเฉินจิ้งเฉวียนเองก็รู้อยู่แล้ว เพราะในวันที่เผชิญหน้ากับตระกูลหลิงที่สุสานนั้น หลิงลี่ก็ได้ประกาศต่อหน้าสาธารณชน ครั้งนั้นแม้แต่คนตระกูลเฉินเองยังตกใจ..
  แต่หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว..พวกเขาต่างเห็นพ้องต้องกันว่าการที่หลิงลี่ประกาศออกมาเช่นนั้น เพราะสถานการณ์บีบบังคับ หลิงลี่ไม่สามารถโต้เถียงกับเฉินจิ้งเทียนได้ หลิงหยุนจึงได้เข้ามาช่วย แต่เฉินจิ้งเทียนปฏิเสธที่จะเสวนากับหลิงหยุน โดยอ้างว่าเขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ..
  ในเมื่อเฉินจิ้งเทียนใช้เหตุผลข้ออ้างเช่นนี้หลิงลี่จึงต้องประกาศให้หลิงหยุนเป็นผู้นำตระกูลหลิงเพื่อแก้หน้า..   แต่การประกาศก็เรื่องหนึ่ง..ความจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ เพราะเมื่ออยู่ในตระกูลหลิง หลิงหยุนอาจไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริงก็เป็นได้!
  และนี่คือเหตุผลที่เฉินจิ้งเฉวียนต้องถามออกไปเช่นนั้น..เพราะเขาเชื่อว่าหลิงหยุนไม่ได้มีอำนาจอะไรในตระกูลหลิง!
  “อะไรนะ!ตาเฒ่าหลิงบ้าไปแล้วหรืออย่างไรกัน?!”
  หลังจากที่ได้รับคำยืนยันว่าหลิงหยุนได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหลิงอย่างแท้จริงไม่ใช่เพียงในนามแล้ว สีหน้าของเขาถึงกับเคร่งเครียดขึ้นมาทันที คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น และกำลังครุ่นคิดถึงเหตุผลที่หลิงลี่ต้องทำเช่นนั้น..
  เฉินจิ้งเฉวียนนั้นพอจะเข้าใจว่า..ด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้ ย่อมสามารถรับตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิงได้ แต่เขาเพิ่งจะอายุสิบแปดปีเท่านั้น อีกทั้งเพิ่งจะกลับเข้าตระกูลหลิงอย่างเป็นทางการ เหตุใดหลิงลี่จึงต้องรีบร้อนผลักดันหลิงหยุนให้ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำตระกูลรวดเร็วเช่นนี้!
  มันดูรีบร้อนมากจนเกินไป!
  ต่อให้หลิงเจิ้นสละตำแหน่งในตระกูลหลิงก็ยังมีหลิงลี่ หลิงเย่ว และหลิงเสี่ยวที่จะสามารถขึ้นมารับตำแหน่งแทนได้ เหตุใดจึงต้องเลือกหลิงหยุนให้มารับตำแหน่งด้วย!
  หลิงหยุนนั้นนับว่ายังเด็กนักแม้จะเป็นเลิศด้านบ่มเพาะตนก็ตาม..และในช่วงเวลาเช่นนี้หลิงหยุนควรต้องทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกตนเพื่อพัฒนาขั้นไม่ดีกว่าหรือ เหตุใดยังต้องมาดูแลจัดการเรื่องต่างๆภายในตระกูลหลิงด้วยเล่า?
  ต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นภายในตระกูลหลิงอย่างแน่นอน!
  ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเฉินจิ้งเฉวียนทันทีและเริ่มคิดว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นภายในตระกูลหลิง และเป็นเรื่องที่ตระกูลหลิงปกปิดไม่ยอมให้คนนอกรับรู้!   ไม่เช่นนั้นมีหรือที่หลิงเจิ้นจะยอมสละตำแหน่งผู้นำตระกูลของตนเอง!
  อีกทั้งจู่ๆคนในตระกูลหลิงก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นมาทันที และทุกคนต่างก็ดูห้าวหาญไม่เกรงกลัวผู้ใด แม้แต่เฉินจิ้งเฉวียนที่ได้เห็นเหล่าทายาทตระกูลหลิงที่หน้าสุสาน ยังนึกอิจฉาอยู่ในใจ..