หลังจากที่จัดการกับตระกูลเล็กๆเสร็จสิ้นแล้ว ตกดึกหลิงหยุนก็ออกจากคฤหาสน์ตระกูลหลิง และมุ่งหน้าไปยังรอยตัดระหว่างเขาหยุนเมิ่งกับเขาหลงหยุน ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์บัญชาการใหญ่ขององค์กรนักฆ่าสาขาปักกิ่ง เพื่อไปตระเตรียมสนามประลอง..
…..
ก่อนหน้านั้น..เมื่อเหล่าตัวแทนจากตระกูลเล็กๆในปักกิ่งได้ออกจากบ้านตระกูลหลิงไปแล้วนั้น ยิ่งคิดทุกคนก็ยิ่งโมโห!
ทุกคนต่างก็โมโหหานเถี่ยซินและจ้าวจิ่งหมิงเพราะคำพูดของหลิงหยุนนั้นยังดังก้องอยู่ในโสตประสาทของพวกเขาทุกคน..
หลังจากที่ช่วยกันพยุงร่างของหานเถี่ยซินกับจ้าวจิ่งหมิงออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลหลิงได้แล้วทุกคนต่างก็โกรธมาก และได้ทิ้งร่างของทั้งสองคนไว้ที่พื้นถนนเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจางเสี่ยวตงที่ถึงกับพูดกับคนทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงดุดัน“พวกคุณสองคนฟังผมให้ดี.. หากการประลองในครั้งนี้ตระกูลหลิงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ผมจะนำกระเช้าไปขอบคุณ และขอโทษพวกคุณถึงบ้าน พร้อมกับจะมอบผลประโยชน์ให้มากมาย..”
“แต่หากตระกูลหลิงเป็นฝ่ายชนะแล้วล่ะก็..ผมจะตัดสัมพันธ์กับพวกคุณทั้งสองตระกูลแน่ และพวกคุณทั้งสองจะต้องได้รับบทเรียนราคาแพง!
พูดจบ..จางเสี่ยวตงก็เตะเข้าที่ขาของหานเถี่ยซินด้วยความโมโห จากนั้นคนอื่นๆ ก็พากันสาปแช่งหานเถี่ยซินกับจ้าวจิ่งหมิง แล้วต่างก็จากไป..
และนี่ก็คือธรรมชาติของมนุษย์..มิตรภาพ ความจงรักภักดีอย่างนั้นหรือ แท้จริงก็คือความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ทั้งสิ้น!
หลังจากที่นักธุรกิจจากตระกูลต่างๆได้พากันรุมด่ารุมประนามทั้งคู่จนพอใจ และแยกย้ายกันกลับไปแล้ว คนขับรถของพวกเขาจึงมานำตัวคนทั้งสองส่งโรงพยาบาล
ระหว่างทางที่ไปโรงพยาบาลนั้นหานเถี่ยซินก็ได้กดโทรศัพท์หาใครบางคนในตระกูลเฉิน..
“แผนการล้มเหลว..”
“และตระกูลหลิงก็ได้คืนเงินพวกเราทุกคนจนครบ..”
“ยังมีอีกเรื่อง..รบกวนคุณช่วยไปบอกคุณเฉินด้วยว่า ตระกูลหานไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ผู้นำตระกูลหลิงคนใหม่ทั้งแข็งแกร่งและดุดัน ผมไม่สามารถรับมือได้แน่..”
ทางด้านจ้าวจิ่งหมิงเองก็เช่นกันเขาได้โทรหาตระกูลเฉิน และพูดเช่นเดียวกับหานเถี่ยซิน..
และครั้งนี้ทั้งคู่ก็ได้บทเรียนกว่าต่อให้มีปืนในมือก็ต้องพิจารณาคุณสมบัติของตนเองด้วย.. และระหว่างตระกูลหลิงกับตระกูลเฉินนั้น คุณสมบัติของพวกเขาทั้งสองยังห่างไกลที่จะต่อกรด้วยนัก..
……
ในคืนวันเดียวกัน..ภายในคฤหาสน์ตระกูลเฉิน
คฤหาสน์ตระกูลเฉินนั้นแตกต่างจากคฤหาสน์เก้าชั้นของตระกูลหลิงเพราะคฤหาสน์ตระกูลเฉินนั้นแม้จะไม่ได้แบ่งเป็นสัดส่วนอย่างเด่นชัด แต่ก็นับว่าใหญ่โตมโหฬารไม่แพ้กัน และเวลานี้ภายในคฤหาสน์ตระกูลเฉิน ก็มีนักรบตระกูลเฉินเดินเวรยามอยู่มากมาย เรียกได้ว่าแม้แต่แมลงวันสักตัวก็ยากที่จะเล็ดลอดเข้าไปได้..
ภายในห้องรับแขกที่ใหญ่โตและเปิดไฟสว่างไสวนั้น.. มีผู้คนมากมาย และต่างคนต่างก็แต่งกายแปลกตาหลายรูปแบบ ทั้งหมดกำลังพูดคุยเรื่องสำคัญกันอยู่
ภายในห้องมีเฉินจิ้งเฉวียนซึ่งเป็นคนของหน่วยนภาและด้านหลังของเขาก็คือผู้นำตระกูลเฉินคนปัจจุบัน – เฉินไห่เผิง แต่กลับไม่มีแม้แต่เงาของเฉินจิ้งเทียน.. นั่นเพราะเมื่อครั้งที่ประมือกับหลิงหยุนที่หน้าสุสานนั้นเฉินจิ้งเทียนได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกข้อศอกแตก และกระดูกซี่โครงหักถึงแปดซี่ จนคนตระกูลเฉินต้องช่วยกันหามกลับไป และอาการบาดเจ็บขนาดนี้ หากไม่มียันต์บำบัดของหลิงหยุนแล้ว ก็ยากที่จะรักษาให้หายภายในเวลาอันสั้นได้ ต่อให้เป็นเฉินจิ้งเฉวียนก็ตาม..
แต่อาการบาดเจ็บภายในของเฉินจิ้งเทียนนั้นเฉินจิ้งเฉวียนได้ทำการรักษาให้จนอาการดีขึ้นมากแล้ว..
และผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินจิ้งเฉวียนก็คือซันเจิ้นหวู่และลูกชายกับหลานชายของเขา – ซันเทียนหลัว และซันเจี๋วย
ต่อหน้าเฉินจิ้งเฉวียน..ซันเจี๋วยค่อนข้างระมัดระวังกิริยามารยาทอย่างมาก แม้แต่ผู้นำตระกูลซันอย่างซันเจิ้นหวู่ยังต้องระมัดระวังมากเช่นกัน นั่นเพราะเฉินจิ้งเฉวียนเป็นคนของหน่วยนภา ช่องว่างระหว่างสองตระกูลจึงค่อนข้างห่างไกลกันมาก นอกเหนือจากสมาชิกตระกูลซันกับตระกูลเฉินแล้วก็ยังมียอดฝีมือของทั้งสองตระกูลนั่งอยู่ด้วย..
ด้านตระกูลเฉินมีชายชุดดำพร้อมผ้าปิดบังใบหน้าสีดำห้าคนและทั้งห้าก็คือนินจาขั้นเงาจากตระกูลโทคุงาวะนั่นเอง!
หนึ่งในห้านินจานั้นนั่งอยู่ข้างเฉินจิ้งเฉวียนเป็นหัวหน้านินจากลุ่มนี้ และเป็นนินจาขั้นเงาระดับสามนามว่า.. โทคุงาวะ ฮิโรชิ!
นินจาขั้นเงาอีกสี่คนที่ยืนอยู่ด้านหลังนั้นส่วนใหญ่มีรูปร่างผอมบาง แต่กลับดูแข็งแกร่งยิ่งนัก และนินจาทั้งสี่ก็คือโทคุงาวะ ทาเคชิ, โทคุงาวะ ทาเคกิ, โทคุงาวะ ทาเคชิ และโทคุงาวะ ทาเคฮิโกะ!
และนี่คือเหล่านินจาที่ตระกูลโทคุงาวะส่งมาร่วมประลองกับหลิงหยุนในครั้งนี้..
ส่วนยอดฝีมือที่มากับตระกูลซันนั้นมีทั้งหมดเก้าคน..เป็นระดับผู้เฒ่าสองคน รุ่นกลางสี่คน และรุ่นเล็กอีกสองคน! และยอดฝีมือทั้งเก้าคนนี้..หลิงหยุนก็ได้เคยพบเจอที่สนามบินนานาชาติปักกิ่ง เมื่อครั้งที่เขาเดินทางมาปักกิ่งครั้งแรก ในครั้งนั้นทั้งเก้าคนล้วนแล้วแต่แต่งตัวประหลาดจนเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนในสนามบินอย่างมาก..
และทั้งหมดก็คือยอดฝีมือจากตระกูลเก่าแก่ที่อยู่ในแถบทะเลจีนตะวันออกซึ่งก็คือตระกูลไป๋หลี่..
ผู้เฒ่าทั้งสองนั้นอยู่ในขั้นเหนือธรรมชาติและมีนามว่าไป๋หลี่เทียนจั่ว กับไป๋หลี่เทียนโย่ว ทั้งคู่นั่งสงบนิ่งอยู่ข้างซันเจิ้นหวู่
แม้หน่วยนภาจะมีหน้าที่ดูแลยุทธภพในประเทศนี้แต่ก็ครอบคลุมเพียงแค่ยุทธภพภาคพื้นดินเท่านั้น ส่วนชาวยุทธในกลุ่มทะเลจีนตะวันออกนั้น พวกเขาต่างก็มีกฏเกณฑ์ของตนเอง เฉินจิ้งเฉวียนจึงไม่ได้เชิญชาวยุทธกลุ่มนี้ให้เข้าร่วมประลองกับตระกูลเฉิน..
ไม่เช่นนั้น..หากชาวยุทธกลุ่มทะเลจีนใต้กับนินจาญี่ปุ่นเกิดผิดใจกันเข้าจนมีเรื่องกัน แม้แต่เฉินจิ้งเฉวียนเองก็คงจากที่จะหยุดยั้งทั้งสองฝ่ายได้!
และเมื่อถึงตอนนั้นเฉินจิ้งเฉวียนไม่เท่ากับสะดุดก้อนหินล้มเองก่อนที่จะถึงวันประลองหรอกหรือ
เวลานี้ก็เกือบจะสี่ทุ่มตรงแล้ว..แต่ตระกูลซันกับตระกูลเฉินยังคงนั่งคุยกันเรื่องรายละเอียดในวันประลอง และดูเหมือนการพูดคุยคงจะดำเนินไปอีกนาน..
……….
ห้องรับแขกของคฤหาสน์ตระกูลเฉินนับว่าใหญ่โตยิ่งนักแม้จะมีผู้คนนั่งอยู่มากมายร่วมยี่สิบคน แต่กลับไม่รู้สึกคับแคบ และยังมีพื้นที่เหลืออยู่อย่างกว้างขวาง..
“เอาล่ะ..หลังจากที่ได้พูดคุยกันมาร่วมสองชั่วโมง ทุกท่านคงจะรับรู้ และเข้าใจแล้วว่าหลิงหยุนแข็งแกร่ง และมีพละกำลังมากเพียงใด” “ถ้าเช่นนั้น..พวกเราจะได้ปรึกษา และตกลงเรื่องการรับมือกับหลิงหยุนต่อไป!”
เฉินจิ้งเฉวียนพูดออกไปพร้อมกับดวงตาที่คมราวนกอินทรีย์นั้นก็จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของซันเจิ้นหวู่..
ตลอดเวลาร่วมสองชั่วโมงที่ทั้งคู่ได้คุยกันก่อนหน้านี้นั้น..ทั้งสองตระกูลต่างก็ผลัดกันแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับหลิงหยุน และตระกูลหลิงเท่าที่ตนเองได้รับรู้มา!
ในเมื่อทั้งสองตระกูลได้ประกาศเป็นพันธมิตรอย่างออกหน้าออกตาเช่นนี้แล้วยังจำเป็นต้องปิดบังข้อมูลที่ล่วงรู้มาอีกทำไมกันเล่า
และข้อมูลที่ทั้งสองตระกูลแลกเปลี่ยนกันก็คือ..
หลิงหยุนเป็นผู้บ่มเพาะตนที่ดูเหมือนจะรวมเอาทั้งพุทธเต๋า และมาร รวมไว้อยู่ในตัวคนเดียว!
หลิงหยุนไม่เพียงแข็งแกร่งแต่ยังมีพละกำลังมหาศาลอีกด้วย และดูเหมือนจะหายตัวได้จากที่หนึ่งไปโผล่อีกที่หนึ่งได้ด้วย นอกเหนือจากนั้นหลิงหยุนยังมีกระบี่วิเศษ และมีวัตถุวิเศษอีกมากมาย..
ไม่ว่าจะเป็นยันต์ชนิดต่างๆน้ำลายมังกร อีกทั้งยังเก่งกาจในเรื่องการวางค่ายกลด้วย!
ทั้งสองตระกูลต่างก็แลกเปลี่ยนประสบการณ์การต่อสู้ที่่พวกเขาเคยประมือกับหลิงหยุนในที่ต่างๆอีกมากมายแม้กระทั่งเรื่องที่หลิงหยุนบุกเข้าไปช่วยหลิงเสี่ยวออกมา รวมถึงเรื่องแวมไพร์ห้าตนที่เป็นบริวารของหลิงหยุนด้วย..
แม้กระทั่งเรื่องที่หลิงลี่สามารถเข้าสู่ขั้นเหนือธรรมชาติได้แล้วก็ยังถูกพูดถึงและเรื่องสาวงามของหลิงหยุนในเมืองจิงฉู โดยเฉพาะอย่างยิ่งไป๋เซียนเอ๋อที่แข็งแกร่ง ทั้งสองตระกูลต่างก็ไม่รู้ว่านางจะเข้าร่วมประลองในครั้งนี้ด้วยหรือไม่
และเรื่องที่หลิงหยุนเป็นบุตรของหยินชิงเฉวียนธิดาพรรคมารคนก่อนพวกเขาจึงไม่มั่นใจว่าเย่ซิงเฉินธิดาพรรคมารคนปัจจุบันนั้น จะเข้าร่วมประลองในฝ่ายของตระกูลหลิงด้วยหรือไม่
ทั้งสองตระกูลต่างก็เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับหลิงหยุนและตระกูลหลิงเท่าที่ตนรู้ออกมาทั้งหมด เพื่อจะได้สามารถประเมินความแข็งแกร่งของหลิงหยุน และหาทางรับมือกับเขาได้ ดังคำโบราณว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งย่อมชนะร้อยครั้ง!
……
แต่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับตัวหลิงหยุนที่ทุกคนได้รู้ได้เห็นจนถึงวันที่ประมือกันครั้งสุดท้ายที่สุสานเท่านั้น!
แต่หลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นการเตรียมการรับมือด้านอื่นๆของหลิงหยุนรวมทั้งไพ่ต่างๆในมือของเขาที่ทั้งสองตระกูลยังไม่รู้ก็มีอีกมากมาย อย่างเช่นเรื่องที่เวลานี้หลิงหยุนสามารถกลั่นหยดเสินหยวนได้แล้ว ใหนจะเรื่องที่เขากำลังฝึกควบคุมโซ่หยิน–หยาง และยันต์ระดับเจ็ดที่หลิงหยุนเพิ่งปลุกเสกเสร็จ! สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความลับที่หลิงหยุนตั้งใจปกปิดไว้จึงยากที่ทั้งสองตระกูลจะสามารถล่วงรู้ได้..
ยังมีพู่กันจักรพรรดิสมุดจักรพรรดิ ประคำโพธิ น้ำเต้าวิเศษ และวัตถุวิเศษอีกมากมาย ที่ผู้อื่นยังไม่รู้
….
ซันเจิ้นหวู่สารภาพกับเฉินจิ้งเฉวียนไปตามตรง“อาวุโสเฉิน.. ขอบอกตามตรงว่าตระกูลซันมีคนไม่มากพอที่จะรับมือตระกูลหลิงได้ถึงสามยก!”
ดูเหมือนซันเจิ้นหวู่จะเกรงกลัวเฉินจิ้งเฉวียนไม่น้อยถึงกับเรียกเขาว่าอาวุโสเฉิน!
แม้ตระกูลซันจะเชิญยอดฝีมือตระกูลไป๋หลี่มาแต่ก็มียอดฝีมือขั้นเหนือธรรมชาติที่จะเข้าร่วมประลองเพียงแค่สามคนเท่า แต่อีกหนึ่งคนไม่ได้อยู่ในที่นี้ด้วย..
แต่ทางฝั่งตระกูลเฉินนั้น..มีทั้งเฉินจิ้งเฉวียน นินจาทั้งห้า และยอดฝีมือจากหน่วยนภาที่ยังมาไม่ถึงอีก รวมแล้วตระกูลเฉินมียอดฝีมือขั้นเหนือธรรมชาติถึงสิบคนเลยทีเดียว!
เฉินจิ้งเฉวียนพยักหน้าพร้อมกับจ้องมองผู้เฒ่าตระกูลไป๋หลี่ทั้งสองคนแล้วจึงพูดขึ้นว่า “อย่าได้กังวลใจไปนัก.. ในเมื่อตระกูลเฉินกับตระกูลซันร่วมมือกันเช่นนี้ พวกเราก็จะประลองกับตระกูลหลิงทั้งหมดห้ายก”
“ตะกูลซันของเจ้ารับมือกับตระกูลหลิงสองยก..”
“ส่วนตระกูลซันของข้าจะรับมือตระกูลหลิงสามยกเองเพียงแค่พวกเราสามารถเอาชนะได้สามในห้ายก ก็นับว่าเป็นฝ่ายชนะแล้ว
แม้ตระกูลเฉินกับตระกูลซันจะร่วมมือกันแต่ตระกูลเฉินก็ไม่กล้าที่จะรับมือตระกูลหลิงทั้งห้ายกเพียงฝ่ายเดียว และหากตระกูลเฉินต้องทำเช่นนั้น เหตุใดยังต้องจับมือกับตระกูลซันด้วยเล่า
จากนั้นเฉินจิ้งเฉวียนก็ยิ้มออกมาและพูดต่อว่า “จากข้อมูลที่ข้าได้มา.. ในการประลองครั้งนี้สมาชิกตระกูลหลิงที่สามารถเข้าร่วมประลองได้ ก็เห็นจะมีแต่หลิงหยุนกับหลิงลี่เท่นั้น..”
“แต่หากคิดว่าฝ่ายนั้นจะให้ไป๋เซียนเอ๋อกับเย่ซิงเฉินเข้าร่วมประลองด้วยย่อมเท่ากับว่าฝ่ายนั้นมีกันเพียงแค่สี่คน แต่ต้องต่อสู้ทั้งหมดห้ายก..”
“จากจำนวนยอดฝีมือของพวกเราสองตระกูล..ย่อมสามารถบดขยี้ตระกูลหลิงได้อย่างง่ายดาย..”
ซันเจิ้นหวู่ได้ฟังถึงกับหน้าเสียทันที..หากตระกูลซันต้องประลองกับตระกูลหลิงสองยก ย่อมหมายความว่าตระกูลซันจะต้องเป็นฝ่ายประลองในยกที่หนึ่งกับยกที่สอง เช่นนั้นแล้วตระกูลซันจะไม่เป็นฝ่ายเสียเปรียบหรอกหรือ
นั่นเพราะนี่เป็นการประลองที่ไร้รูปแบบเช่นนี้แล้วหากหลิงหยุนจะประลองทั้งห้ายกคนเดียวก็ย่อมได้ ไม่ผิดกติกา.. และหากตระกูลซันต้องเป็นฝ่ายประมือกับหลิงหยุนตั้งแต่ยกแรก มิเท่ากับว่า..
“อาวุโสเฉิน..คือ..”
ซันเจิ้นหวู่อ้ำๆอึ้งๆจะพูดก็ไม่กล้าพูด เพราะเกรงว่าหากเขาพูดออกไปตรงๆ ก็เท่ากับยอมรับว่าตระกูลซันไม่เชื่อใจยอดฝีมือจากตระกูลไป๋หลี่ว่าจะสามารถเอาชนะหลิงหยุนได้!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น..เหตุใดพวกเขายังต้องเสียเวลาเดินทางจากฝั่งทะเลจีนตะวันออกมาที่ปักกิ่งเพื่ออะไรกัน
เฉินจิ้งเฉวียนนั้นรู้ว่าผู้เฒ่าตระกูลไป๋หลี่ทั้งสองล้วนอยู่ในขั้นที่สามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติได้และเข้าใจถึงความกังวลใจของซันเจิ้นหวู่ดี จึงแสร้งทำเป็นเหลือบมองผู้เฒ่าตระกูลไป๋หลี่ทั้งสองคน และพูดขึ้นว่า
“เจิ้นหวู่..ในเมื่อเจ้ากังวลใจเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องการฝืนใจเจ้า เอาเป็นว่าในห้ายกนี้หากหลิงหยุนลงประลองยกใด ตระกูลเฉินจะเป็นฝ่ายประลองกับเขาเอง!” “แต่หากยกใดที่ตระกูลหลิงส่งหลิงลี่เข้าประลองเขาเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติ คงจะยังไม่แข็งแกร่งนัก คิดว่าตระกูลซันของเจ้าก็น่าจะรับมือได้ไม่ยากนัก!”
เฉินจิ้งเฉวียนจงใจปลายตามองไปทั่งไป๋หลี่เทียนจั่วกับไป๋หลี่เทียนโยว่พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ..
เฉินจิ้งเฉวียนกำลังใช้วิธียั่วยุ..แต่ผู้เฒ่าตระกูลไป๋หลี่ทั้งสองกลับยังคงสงบนิ่งไม่มีท่าทีใดๆ แต่เด็กหนุ่มนามว่าไป๋หลี่เล่ยกลับทำเสียงคำรามอยู่ในลำคออย่างไม่พอใจ..
ไป๋หลี่เล่ยเคยเผชิญหน้ากับหลิงหยุนที่สนามบินนานาชาติปักกิ่งมาก่อนและเขาก็ไม่พอใจหลิงหยุนอย่างมาก และได้แต่คิดว่าหากตนได้พบเจอกับหลิงหยุนอีกครั้ง จะต้องหาทางประมือกับหลิงหยุนเป็นแน่!
ไป๋หลี่เล่ยมีนิสัยมุทะลุดุดันเขาเติบโตมาในหมู่เกาะเช่นนั้น จึงค่อนข้างทะนงตัว และหยิ่งผยอง และแทบไม่เห็นตระกูลซันกับตระกูลเฉินอยู่ในสายตา เมื่อได้ยินเฉินจิ้งเฉวียนพูดจาเช่นนั้นก็ถึงกับโมโห..
ไป๋หลี่เล่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจอย่างมาก“หลิงหยุนเป็นผู้บ่มเพาะตนแล้วมีความหมายอะไรงั้นรึ ในเมื่อตระกูลซันก็มียอดฝีมือจากทะเลจีนตะวันออกอย่างตระกูลไป๋หลี่!”
“หลิงหยุนมันก็แค่เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนหนึ่งเท่านั้นแต่พวกเจ้ากลับหวาดกลัวมันถึงเพียงนี้เชียวรึ นี่ย่อมหมายความว่าจอมยุทธภาคพื้นดีคงจะไม่ได้มีดีอะไรนัก?”
เวลานี้ไป๋หลี่เทียนอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7เขาเพิ่งจะพบเจอหลิงหยุนเมื่อสองเดือนก่อน และเกือบจะมีเรื่องกันแล้ว แต่ไป๋หลี่เทียนมาห้ามไว้เสียก่อน!
ไป๋หลี่เล่ยจึงไม่คิดว่า..ภายในเวลาเพียงแค่สองเดือน หลิงหยุนจะก้าวหน้าได้มากมายอะไรนัก เมื่อเห็นทั้งสองตระกูลทำเหมือนหวาดกลัวหลิงหยุนมากเช่นนี้ จึงได้แต่รู้สึกหงุดหงิด และไม่พอใจ! ไอลีนโนเวล
และนี่คือปฏิกิริยาที่เฉินจิ้งเฉวียนพอใจ..เขาเห็นไป๋หลี่เล่ยโมโหจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เช่นนี้ จึงได้แต่แอบยิ้มออกมา แต่ไม่พูดอะไร..
“เจ้าเล่ย..หยุดพูดได้แล้ว!”
เมื่อถูกไป๋หลี่เทียนจั่วซึ่งเป็นปู่สั่งห้ามเช่นนั้นไป๋หลี่เล่ยจึงได้แต่นิ่งเงียบ..
จากนั้นไป๋หลี่เทียนจั่วจึงหันไปมองเฉินจิ้งเฉวียนอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ท่านเฉิน.. อย่าได้ตื่นเต้นไปนัก!”
แล้วจึงหันไปทางซันเจิ้นหวู่พร้อมกับพูดขึ้นว่า“ท่านซัน.. ท่านเองก็อย่าได้กังวลใจจนเกินไป!”
“ตระกูลไป๋หลี่ของเราอาศัยอยู่ในแถบทะเลจีนตะวันออกมานานและเวลานี้ก็จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ของที่นั่น!”
“ครั้งนี้ตระกูลซันให้เกียรติเชิญตระกูลไป๋หลี่มาเยี่ยมเยียนตระกูลไป๋หลี่ของเราก็อยากจะตอบแทนตระกูลซันคืนบ้าง!”
“คนตระกูลไป๋หลี่ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด!”
และครั้งนี้สายตาของไป๋หลี่เทียนจั่วก็จับจ้องอยู่ที่เฉินจิ้งเฉวียนและซันเจิ้นหวู่ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงมาดมั่น
“สองยกแรกในการประลอง..ไม่ว่าตระกูลหลิงจะส่งผู้ใดมา ตระกูลไป๋หลี่จะขอรับมือเอง!”
“ยอดเยี่ยมมาก!”
เฉินจิ้งเฉวียนได้ยินเช่นนั้นจึงรีบร้องออกมาอย่างดีใจ และไม่เปิดโอกาสให้ผู้เฒ่าตระกูลไป๋หลี่ได้เปลี่ยนใจ..
ซันเจิ้นหวู่ได้แต่แอบหนักใจอยู่เงียบๆตระกูลไป๋หลี่นั้นอาศัยอยู่แถบโพ้นทะเลอยู่นานเกินไป จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับยุทธภพภาคพื้นดินบ้าง
แต่ในเวลาเดียวกันนั้นไป๋หลี่เทียนจั่วก็พูดขึ้นว่า “แต่ข้าขอบอกไว้ตรงนี้ก่อน.. หากตระกูลไป๋หลี่สามารถสังหารหลิงหยุนได้ภายในสองยกแรก ทุกอย่างของหลิงหยุนจะต้องตกเป็นของตระกูลไป๋หลี่เพียงผู้เดียวเท่านั้น!”
“ไม่ได้!”
ยังไม่ทันที่ไป๋หลี่เทียนจั่วจะพูดจบประโยคดี..เขาก็ได้ยินเสียงค้านดังขึ้นมา!
โทคุงาวะฮิโรชิพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและดุดัน “หลิงหยุนสังหารนินจาของตระกูลโทคุงาวะตายไปตั้งมากมาย ตระกูลโทคุงาวะจะต้องเป็นผู้สังหารหลิงหยุนเท่านั้น และสิ่งของมีค่าทั้งหมดของหลิงหยุน ก็ต้องตกเป็นของพวกเราตระกูลนินจาเท่านั้น!”
โทคุงาวะฮิโรชิจะไม่ยอมให้ผู้ใดสังหารหลิงหยุน และยึดของมีค่าของหลิงหยุนไปได้.. ไม่มีทาง!