ตอนที่ 1149 ผู้ท้ายทายที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้า

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1149 ผู้ท้ายทายที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้า โดย Ink Stone_Fantasy

ในตอนที่พระอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยตกไปทางด้านหลังเทือกเขา ทั่วทั้งพื้นที่ราบถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดง

สีแดงที่ว่านี้ไม่เหมือนกับละอองชีวิต มันดูบริสุทธิ์และชัดเจน

ในเวลาแบบนี้อุรูคมักจะชอบอยู่บนที่สูงเพื่อดื่มด่ำกับระยะห่างระหว่างตัวเองกับท้องฟ้า

ถึงแม้มันจะบินขึ้นไปได้สูงกว่านี้ แต่พลังเวทมนตร์จะไปทำลายความเงียบ แล้วก็ทำให้มันยิ่งรู้สึกว่าไม่มีทางที่จะไปถึงบนจุดสูงสุดของท้องฟ้าได้

แต่ถ้าหากมันนั่งอยู่เฉยๆ เมฆสีทองและท้องฟ้าสีม่วงแดงจะทำให้มันรู้สึกเหมือนอยู่ห่างไกลจากท้องฟ้าแค่เพียงก้าวเดียว

ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก

ส่วนใหญ่ด้านบนมักจะมีละอองชีวิตปกคลุมอยู่ตลอด ถึงแม้การอยู่ในนั้นจะทำให้อุรูครู้สึกสบาย แต่มันก็เหมือนเป็นผ้าบางๆ ที่กั้นระหว่างมันกับท้องฟ้าเอาไว้

มันน่าจะเป็นส่วนน้อยในบรรดาเหล่าปีศาจที่ไม่ชอบอยู่ในหอคอยแห่งการให้กำเนิด

แต่อุรูคไม่ได้คิดว่าตัวเองแปลกประหลาด

มันแค่มีความกระหายที่จะได้โอบกอดแหล่งกำเนิดของพลังเวทมนตร์มากกว่าปีศาจตัวอื่นเท่านั้น

ถูกต้อง แหล่งกำเนิดนั้นมาจากบนท้องฟ้า

มนุษย์เรียกมันว่าพระจันทร์สีแดง ซึ่งก็ถือว่าคล้ายทีเดียว

ว่ากันว่าหากได้รับการสืบทอดทั้งหมดแล้ว เผ่าพันธุ์จะได้รับการยกระดับในขั้นสูงสุดได้ ระหว่างพื้นดินและท้องฟ้าจะมีทางเปิดขึ้นมาเพื่อรับพวกมันขึ้นไปบนสวรรค์

ที่นั่นน่าจะกว้างกว่าโลกใบนี้

บางทีอาจจะเป็นที่อยู่ของพระเจ้า

เมื่อถึงตอนนั้นพวกมันจะแข็งแกร่งกว่าตอนนี้เป็นร้อยเท่า ร่างกายจะเป็นอมตะจากพลังเวทมนตร์ที่เพิ่มขึ้น

แต่อุรูคไม่ได้เชื่อเรื่องนี้ไปซะทีเดียว

มันเคยพยายามที่ใช้กำลังของตัวเองในการบินขึ้นไปให้สูงที่สุด

แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีละอองชีวิต มันพบว่าหลังจากที่มันบินขึ้นไปจนสูงถึงระดับหนึ่งก็จะมีอุปสรรคต่างๆ นาๆ ปรากฏขึ้นมา — อย่างเช่นอุณหภูมิลดลง เกราะจับตัวเป็นน้ำแข็ง เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หายใจลำบาก ถ้าหากใช้พลังเวทมนตร์มาช่วย ถังสำหรับช่วยหายใจที่อยู่ด้านหลังก็จะถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว

มีครั้งหนึ่งที่มันเกือบต้องตายเพราะการที่พยายามบินขึ้นไปให้สูงที่สุด

แต่ก็เป็นเพราะการทดลองครั้งนั้นที่ยิ่งเพิ่มความปรารถนาที่มีต่อท้องฟ้าให้กับมัน

เพราะว่าบนท้องฟ้าที่ม่วงดำ มันมองเห็นอะไรบางอย่างอยู่บนนั้น เพียงแต่มันยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

ถ้าจะอธิบายให้ได้ มันน่าจะเป็นเหมือนเกล็ดปลาที่ส่องแสงวาบขึ้นมา

นี่หมายความว่าสิ่งที่เล่าลือต่อๆ กันมาไม่ใช่ว่าจะไม่มีมูล

ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นมันเหมือนจะได้ยินเสียงเรียกเบาๆ ด้วย

มันเหมือนเป็นเสียงกระซิบ แล้วก็เป็นเหมือนเสียงบ่นพึมพำที่ดังสะท้อนไปมาอยู่ในหัว

อุรูครู้ว่านั่นคือสัญญาณว่าโลกแห่งจิตสำนึกกำลังเข้าใกล้มัน

เสียดายที่ยังไม่สามารถขึ้นไปถึงดินแดนที่อยู่สูงขึ้นไปได้

คนที่สามารถเปิดประตูของทั้งสองโลกได้จะถูกเรียกว่าราชา

ในตอนที่มันกำลังหลับตาเพื่อรับรู้ถึงความอบอุ่นและสายลมที่พัดเข้ามา ด้านหลังมันพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น

“ท่านอุรูค ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วขอรับ”

คนที่รายงานมันก็คือองครักษ์ระดับต้น

“ดีมาก” อุรูคตอบโดยไม่หันหน้ามา “หลังจากนี้แค่จับตาดูต่อไปเรื่อยๆ ก็พอ”

“ขอรับ” องครักษ์ไม่ได้จากไปทันทีที่รับคำ หากแต่พูดอย่างลังเลต่อว่า “แต่ว่าแมลงพวกนั้นมันจะทำตามแผนของพวกเราจริงๆ เหรอขอรับ? พวกมันน่าจะเข้าใจพลังของท่านแล้ว…เพื่อจะวางกับดัก พวกเราสูญเสียไปไม่น้อย หากท่านสกายลอร์ดรู้เข้า…”

“อืม ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล แต่ข้าคิดว่ามันคุ้มที่จะทำ” อุรูคลืมตาขึ้นพร้อมกับมองไปทางทิศใต้  ตอนนี้เมื่อยืนอยู่บน ‘ฮอร์น’ มันพอจะมองเห็นรางเหล็กสีดำนั่นได้ลางๆ หลังผ่านการหยั่งเชิงมาหกเดือน ร่างระดับต้นจำนวนไม่น้อยต้องตายอยู่ในแนวรบของพวกมนุษย์ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหยุดยั้งการบุกของพวกมนุษย์ได้ รางเหล็กนั่นค่อยๆ ยืดยาวออกอย่างช้าๆ แต่กลับมีความแข็งแกร่งเหมือนกับรากไม้

เท่าที่มันจำได้ นี่เป็นครั้งแรกที่มนุษย์สามารถปะทะกับพวกมันได้แบบซึ่งๆ หน้าอย่างไม่เสียเปรียบโดยไม่ต้องพึ่งพากำแพง

ถึงแม้วิธีแบบนี้มันจะดูโง่จนน่าหัวเราะ ถ้าเข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่มีละอองชีวิตปกคลุมอยู่ มันมีวิธีอยู่นับร้อยวิธีที่จะทำให้อีกฝ่ายต้องเสียหายอย่างหนัก แต่มันกลับเป็นเรื่องยากที่จะเล่นงานมนุษย์บนที่ราบอันกว้างใหญ่แห่งนี้ จำนวนทหารที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้นคือหนึ่งในเหตุผลสำคัญ แต่ต่อให้ท่านราชาจะรวบรวมกำลังพลมาให้มันมากกว่านี้ การจะเล่นงานพวกมนุษย์ที่ปักหลักอยู่บนที่ราบลุ่มก็ยังทำให้มันต้องเสียหายไม่น้อยเหมือนกัน

ดังนั้นมันจึงจำเป็นต้องกำจัดกองทัพของมนุษย์ที่ค่อยๆ คืบเข้ามาใกล้

“เจ้าคิดว่าการต่อสู้ช่วงนี้เป็นยังไง? มีความรู้สึกว่ายากที่จะคืบรุกไปข้างหน้าไหม?”

องครักษ์นิ่งเงียบไปเล็กน้อย “นั่นเป็นเพราะว่าเรากำลังสู้แบบหลังชนฝาขอรับ”

“ไม่ เป็นเพราะศัตรูที่ทำให้เราต้องสู้แบบหลังชนฝา” อุรูคพูดแก้ “พวกเราสร้างหอสังเกตการณ์และพยายามที่จะขยายพื้นที่ปกคลุมของละอองชีวิตออกไปให้กว้างขึ้น แต่มันกลับไม่ได้ผลเหมือนเมื่อ 400 ปีก่อน นั่นเป็นเพราะว่ามนุษย์ในตอนนี้มีวิธีการโจมตีที่ไกลกว่า ‘ทูมสโตน’ ไม่ว่าเจ้าจะมองศัตรูเป็นแมลงหรือไม่ เจ้าก็จำเป็นต้องยอมรับในจุดนี้ บวกกับเรื่องที่การเคลื่อนไหวของพวกเราล้วนแต่ถูกแม่มดจับตามองเอาไว้อยู่ พวกเราถึงได้รู้สึกเหมือนขยับไปไหนไม่ได้”

มันชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือขวาไปทางรางเหล็กสีดำพร้อมกับค่อยๆ กำหมัดแน่น “ถ้าพวกเราไม่ตั้งหอคอยแห่งการให้กำเนิดขึ้นมาก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในตอนนี้ได้ ด้วยเหตุนี้พวกเราต้องฉวยโอกาสบดขยี้ดวงตาของพวกมันตอนที่พวกมันยังไม่รู้ตัว แล้วก็หักแขนขาของพวกมันทิ้ง ทำให้พวกมันไม่มีโอกาสที่จะฟื้นกลับมาอีก ต่อให้ต้องเสีย ‘ฮอร์น’ ไปสองแห่งก็ไม่เป็นไร!”

ในขณะที่พูด อุรูคแสยะยิ้มดุร้าย พลังเวทมนตร์ไหลทะลักออกมา ทำให้บรรยากาศรอบๆ สั่นสะเทือนขึ้นมา มันรู้ว่าภายในค่ายที่อยู่ตรงปลายสุดของรางเหล็กสีดำนั้นมีคนกำลังคอยจ้องมองมันอยู่ การที่มันปล่อยพลังเวทมนตร์ออกมาแบบนี้คงจะทำให้พวกนั้นแตกตื่นกันขึ้นมาแน่

“ข้าขอสัญญาว่าจะติดตามท่านไปตลอดขอรับ!” เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังที่ไหลทะลักออกมา องครักษ์ก็รีบก้มหัวลงไปทันที

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่อุรูคไม่ได้พูดออกมา

มันรับรู้ได้ว่าตัวเองใกล้ที่จะยกระดับขึ้นไปอีกขึ้นแล้ว

บางทีศึกครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาส

เพราะแต่ไหนแต่ไรมา การต่อสู้อย่างดุเดือดจนเลือดอาบนั้นเป็นวิธีในการยกระดับที่ได้ผลมากที่สุด ต่อให้กลายเป็นราชาแล้วก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธการท้าทายแบบนี้ได้

ถ้ามันสามารถก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปได้และยกระดับเป็นราชาคนใหม่ เช่นนั้นสกายลอร์ดก็จะไม่สามารถมาควบคุมมันได้อีก

ส่วนเรื่องที่ว่ามนุษย์จะเคลื่อนไหวหรือไม่นั้น อุรูคไม่ได้กังวลใจเลย

เขารู้จักความละโมภของมนุษย์ดี

ขอเพียงเหยื่อล่อมีจำนวนมากพอ พวกเขาจะต้องติดเบ็ดอย่างแน่นอน

ในที่สุดพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไป แสงสุดท้ายของวันค่อยๆ จางหายไป ท้องฟ้าถูกความมืดเข้าปกคลุม บนหัวเหลือเพียงแต่แสงดาวที่อ่อนแรง

ภาพๆ นี้เหมือนจะซ้อนทับกับภาพในตอนที่มันพุ่งขึ้นไปบนฟ้า

ในวันนี้มันแน่ใจในความปรารถนาของตัวเอง

และตอนนี้ มันก็กำลังค่อยๆ เข้าไปใกล้เป้าหมายอันนั้น

สิ่งที่มนุษย์กำลังคิดอยู่ในตอนนี้…เกรงว่าคงเหมือนกับตัวเองล่ะมั้ง?

ในศึกตัดสินชะตาชีวิตครั้งนี้ ผู้ชนะที่ยังยืนอยู่เป็นคนสุดท้ายถึงจะมีคุณสมบัติได้เข้าไปยังดินแดนที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน แล้วก็ได้สัมผัสกับแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์

มันเฝ้ารอคอยศึกที่กำลังจะมาถึง

………………………………………………………………..