หากสตรีนางนั้นคือผู้ที่โม่เทียนเกอคาดคิดเอาไว้จริง นางจะต้องไร้ซึ่งเหตุผลอย่างแน่นอน
โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นมา และเล็งเห็นว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอ ผู้ซึ่งกำลังยิ้มเยาะเมื่อครู่ กลับมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่แยแส “ให้นางเข้ามา”
“ท่านปรมาจารย์…” แม้ว่าเวยอวี่จะตะลึงงันไปชั่วขณะ แต่ไม่นานนัก นางก็ตั้งสติกลับคืนมาได้ พร้อมกับขานรับ “เจ้าค่ะ”
เมื่อคำนึงถึงเหตุผลแล้ว โม่เทียนเกอควรจะขอตัวลากลับในบัดนั้น อย่างไรก็ตามนางอยากชมการแสดงชุดนี้เสียเหลือเกิน นางจึงยืนอยู่ที่ด้านหลังเช่นเดิมอย่างไร้ยางอาย แม้ว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอจะจ้องเขม็งนางก็ตาม
ในเมื่อนางไม่ได้ตอบรับสายตาจ้องเขม็งของเขา ประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงเกียจคร้านเกินกว่าจะสนใจนางอีกต่อไป
หลังจากเวยอวี่ออกไปได้ไม่นาน พวกเขาพลันเห็นสตรีนางนั้นรีบพุ่งเข้ามาจากด้านนอกประตู ทันทีที่นางเห็นประมุขเต๋าจิ้งเหอ แววตาของนางกลายเป็นสีแดงก่ำอย่างฉับพลัน และนางวิ่งไปหาเขาในทันที พร้อมกับขานเรียกด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “ท่านปรมาจารย์!”
เมื่อนางถึงตัวของประมุขเต๋าจิ้งเหอ นางคุกเข่าลงกับพื้นด้วยเสียง “แปะ” และจับชายเสื้อของเขาเอาไว้ จากนั้นนางจึงเงยหน้ามองเขา ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยหยาดน้ำตา “ท่านปรมาจารย์ ข้า…”
โม่เทียนเกอเห็นได้ว่าถึงแม้ประมุขเต๋าจิ้งเหอจะมีท่าทางเย็นชาในตอนแรกเริ่ม ทว่าท่าทางของเขาค่อยๆ อ่อนโยนมากขึ้น เมื่อสตรีนางนั้นคุกเข่าลงต่อหน้าเขา และร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความโศกเศร้าเสียใจ ในท้ายที่สุด เขาได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นจึงประคองนางขึ้นมาอย่างเบามือ “หมิงจู หลังจากผ่านไปหลายปีมานี้ เจ้าสำนึกในความผิดของเจ้าที่ได้กระทำไปหรือยัง”
สตรีนางนั้นปาดน้ำตาของนาง พลางกล่าวอย่างสะอึกสะอื้น “ท่านปรมาจารย์ ข้ารู้ว่าข้าทำผิดไปแล้ว ข้าคิดถึงท่านตอนที่อยู่ข้างนอกเหลือเกิน ข้ารู้สึกเสียใจจริงๆ …”
“ดีแล้วหากเจ้ารู้ตัวว่าทำผิดไป” ประมุขเต๋าให้นางนั่งอยู่ข้างกายเขา และกล่าวด้วยท่าทีขึงขัง “บอกข้าสิ เจ้าทำผิดพลาดอะไรลงไป”
“ข้า…” สตรีนางนั้นปาดน้ำตาของนางอีกครั้ง และกล่าวว่า “ข้าไม่ควรโจมตีลูกศิษย์ร่วมสำนัก…”
“และ…”
นางขบริมฝีปากของนาง “ข้าไม่ควรหักห้ามผู้อื่นไม่ให้เข้าใกล้ศิษย์พี่ ข้ายังไม่ควรสั่งสมความคิดอันไม่เหมาะสมภายในจิตใจของข้า… ท่านปรมาจารย์ ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ วอนท่านได้โปรดอย่าบังคับให้ข้าอยู่ข้างนอกต่อไปตามลำพังอีกเลยจะได้ไหม”
ศิษย์พี่อย่างนั้นหรือ โม่เทียนเกอเลิกคิ้วของนางขึ้น เรื่องราวต่างๆ ที่เฟิงเสวี่ยเล่าน่าจะเป็นความจริง ไม่ว่าจะด้วยระดับการฝึกตนหรือความอาวุโสก็ตาม นางควรจะเรียกเขาว่าอาจารย์ลุงไม่ใช่หรือ
ท่าทีของประมุขเต๋าจิ้งเหออ่อนโยนมากขึ้น เขากล่าวอย่างจริงจัง “ผู้ฝึกตนอย่างเราควรจะเข้าใจหลักการที่ว่า ‘หัวใจเคลื่อนได้ตามต้องการ หากแต่จิตใจต้องสงบนิ่งและกระจ่างชัด’ มันไม่ใช่ว่าเราไม่ควรรู้สึกรักใคร่ในหัวใจของเรา หรือเราควรทอดทิ้งแนวคิดของความรักไป หากแต่เราจะต้องไม่ถูกมันครอบงำต่างหาก เราจะต้องไม่เข้าสู่เขตแดนของปีศาจเพราะมัน เจ้าเข้าใจหรือไม่”
สตรีนางนั้นรู้สึกละอายใจ พยักหน้าและร่ำไห้ออกมาในขณะเดียวกัน
เดิมทีประมุขเต๋าจิ้งเหอยังคงมีเรื่องต้องการกล่าวต่อไป ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของนางแล้ว เขาจึงส่ายศีรษะในที่สุด พร้อมกล่าวว่า “ครั้งนี้ลูกศิษย์ทุกคนถูกเรียกกลับมา ฉะนั้น เจ้าจำต้องกลับมาด้วยอย่างแน่นอน ข้าจะไม่ว่ากล่าวอันใดในเรื่องนี้ เพราะเจ้าจากไปโดยไม่รับได้อนุญาต กลับไปที่เรือนจือหลี่ก่อน มันยังคงเหมือนเช่นคราที่เจ้าจากไป”
โม่เทียนเกอมองดูใบหน้าของนางที่ยังคงกำลังปาดน้ำตาอยู่ ทันใดนั้น นางจึงแสดงสีหน้าปลาบปลื้มยินดีออกมา อย่างไรเสีย เมื่อสตรีนางนั้นเงยหน้าขึ้น นางลดระดับอารมณ์ที่ปรากฏบนใบหน้าลงเล็กน้อย “ท่านปรมาจารย์ ท่านยังคงใจดีกับข้าเหมือนเช่นเดิม…”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอเอื้อมมือของเขาออกไปลูบศีรษะนาง สีหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความนึกถึงอดีตและความโศกเศร้า “เจ้าคือเด็กน้อยที่ข้าเลี้ยงดูจนเติบใหญ่… เอาล่ะ ไปพักผ่อนเสียเถอะ เมื่อเรื่องราวจัดการเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าสามารถกลับไปที่ลานอีกแห่งหนึ่งของสันเขาเมฆาได้อีกครั้ง”
สตรีนางนั้นตะลึงงัน นางกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์ ข้าอยากกลับไปที่…”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอยิ้มอย่างแผ่วเบา แต่ไม่มีการแสดงออกอื่นใดที่ไม่จำเป็นปรากฏบนใบหน้าของเขา “ไปพักผ่อนก่อนเสียเถอะ เจ้าคงเหนื่อยหลังจากเร่งรีบเดินทางไกลเช่นนั้นกลับมา หากเจ้ายังมีเรื่องอันใดอยากพูด เราค่อยว่ากันทีหลัง”
สีหน้าของสตรีนางนั้นเปลี่ยนไป นางอ้าปากหมายจะกล่าวบางสิ่ง ถึงกระนั้น ท้ายที่สุดแล้ว นางก็เก็บคำพูดเหล่านั้นเอาไว้ และโค้งคำนับ “เช่นนั้น ท่านปรมาจารย์ ข้าขอตัวลากลับก่อน”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยักหน้า จากนั้นจึงหลับตาลง คล้ายกับว่าเขากำลังเข้าฌาน
สตรีนางนั้นไม่มีทางเลือกอื่น นางได้แต่กัดฟันแน่น และกลับไปอย่างคับข้องใจ
เมื่อโม่เทียนเกอเห็นสตรีนางนั้นแสดงท่าทางเหยียดหยามและริษยาออกมาเล็กน้อย ขณะที่สตรีนางนั้นกำลังเดินผ่านนางไป โม่เทียนเกอจึงเพียงแต่ยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบอย่างนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีอะไร
ทันทีที่เสียงฝีเท้าของนางเลือนหายไป และทั่วทั้งห้องโถงกลายเป็นความเงียบเชียบ ในที่สุด ประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงลืมตาของเขาขึ้น และมองไปยังทิศทางที่สตรีนางนั้นจากไป แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
นี่เป็นครั้งแรกที่โม่เทียนเกอได้เห็นอาจารย์ผู้ไร้ยางอายของนาง แสดงสีหน้าท่าทางที่ดูโศกเศร้าเช่นนี้ ชั่วพริบตาหนึ่ง นางพลันรู้สึกอิจฉาสตรีนางนั้นที่เพิ่งกลับไปขึ้นมา แม้ว่าอาจารย์ของนางจะไม่เคยยกตมข่มท่านต่อหน้านาง และแม้แต่ยอมให้นางยียวนกวนใจด้วยซ้ำ ทว่าเขากลับไม่เคยมองนางด้วยสายตาเช่นนั้น สายตาของใครคนหนึ่งที่กำลังมองเด็กน้อยผู้เป็นที่รัก
นางรู้ดีว่าไม่ว่าอาจารย์ของนางจะปฏิบัติต่อนางดีเพียงใด ทว่าตำแหน่งของนางในหัวใจของเขาคงไม่อาจเทียบเคียงกับสตรีนางนั้นได้
เมื่อตระหนักได้ถึงสิ่งที่นางกำลังคิด โม่เทียนเกอจึงหัวเราะเยาะเย้ยตนเองออกมาอย่างช่วยไม่ได้ นางเพิ่งจะรู้สึกอิจฉาเจินจีไปเมื่อสองวันก่อน แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกอิจฉาเพราะอาจารย์ของนาง เกิดอะไรขึ้นกับนางกัน นอกจากความจริงที่ว่านางไม่ควรถูกเรื่องเช่นนี้ครอบงำแล้ว บนบรรทัดฐานใดที่นางจะสามารถขอให้เจินจีและอาจารย์ของนางปฏิบัติต่อนางดีขึ้นกว่าแต่ก่อนกัน ผู้ที่สั่งสอนเจินจีตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาหาใช่นางไม่ และนางเองก็ไม่ใช่เด็กน้อยที่ถูกอาจารย์เลี้ยงดูขึ้นมา
“เทียนเกอ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเรียกนางอย่างกะทันหัน
โม่เทียนเกอใช้เวลาสักครู่หนึ่งในการหลุดจากภวังค์ความคิด ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น “ท่านอาจารย์”
“เจ้ารู้ไหมว่านางเป็นใคร”
โม่เทียนเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าคิดว่า… นั่นคงจะเป็นบุตรีของศิษย์พี่อาจารย์ชิงหย่วน”
“ถูกต้อง” ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่แปลกใจที่นางคาดเดาได้ถูกต้องเลยแม้แต่น้อย เขาเอนหลังพิงเก้าอี้มังกรชองเขา จ้องมองไปยังที่อันไกลโพ้น “นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากว่าร้อยปีแล้ว ในตอนนั้น ข้าเพิ่งเข้าสู่ระดับกลางของดินแดนจิตวิญญาณใหม่ได้ไม่นาน และข้าต้องการเดินหน้ามุ่งสู่เส้นทางของความเป็นอมตะอย่างสุดขั้วหัวใจ ฉะนั้น ข้าจึงมักออกไปตามหาโอกาสที่ถูกลิขิตไว้เสมอ ด้วยเหตุนี้เอง ลูกศิษย์ทั้งหลายที่ข้ามีจึงละทิ้งการฝึกตนของตนเอง และออกไปทำประโยชน์ให้ข้าอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน”
“แม้ว่าชิงหย่วนจะเป็นลูกศิษย์ของข้า ทว่าเขาไม่มีสมรรถภาพในการเรียนรู้เท่าไรนัก ในตอนนั้น ข้ารู้สึกสงสารเขา เพราะข้าเล็งเห็นแล้วว่าเขาฝึกตนอย่างขยันขันแข็งอยู่เสมอ ฉะนั้น ข้าจึงรับเขาเข้าเป็นศิษย์ แม้ว่าเขาจะมีความสามารถทั่วไปก็ตาม เด็กคนนั้นมีหัวใจที่ซื่อสัตย์ เขามักจะรู้สึกว่าเขาสามารถสร้างขุมพลังของเขาได้สำเร็จ เพราะข้าคอยดูแลเขาอยู่เสมอ ฉะนั้น เขาจึงเคารพเลื่อมใสในตัวข้ามาก เมื่อเข้าต้องจัดการเรื่องราวต่างๆ แทนข้า เขามักจะทำอย่างสุดความสามารถเสมอ”
“… มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ชิงหย่วนออกไปข้างนอก เขาบังเอิญพบกับต้นเถี่ยหลีอายุหมื่นปีเข้า เขารู้ว่าข้าต้อการผลเถี่ยหลี เขาจึงเด็ดมันมา แต่ใครจะรู้กันว่า… ต้นเถี่ยหลีนั่นมีอสูรปีศาจระดับแปดคอยคุ้มกันอยู่…” เมื่อถึงจุดนั้น ประมุขเต๋าจิ้งเหอหลับตาลง “เมื่อข้าเห็นตะเกียงชีพของเขาดับลง ข้าเดินทางไปหาเขาในทันที และในที่สุด ก็ค้นพบว่าเขาตายไปโดยไม่เหลือกระดูกเลยแม้แต่ชิ้นเดียว”
โม่เทียนเกอตะลึงงัน อสูรปีศาจระดับแปดเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ระดับต้น ในขณะที่ศิษย์พี่อยู่แค่เพียงดินแดรแห่งการก่อเกิดขุมพลังเท่านั้น เขาจะพิชิตอสูรปีศาจตนนั้นได้เช่นไร ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมอาจารย์ถึงได้อดทนต่อหลานศิษย์ที่แสนเอาแต่ใจของเขายิ่งนัก เพราะบิดาของนางต้องตายเพราะอาจารย์นี่เอง
“ท่านอาจารย์…” นางกล่าวอย่างแผ่วเบา “ท่านเล่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้ข้าฟังเพราะ…”
รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของประมุขเต๋าจิ้งเหอ “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าหมิงจูมีนิสัยใจคออย่างไร นางสูญเสียบิดาไปตั้งแต่ยังเด็กเพราะข้า แต่ข้ากลับล้มเหลวในการสั่งสอนนางอย่างเหมาะสม เมื่อมองย้อนกลับไปยังเรื่องราวทั้งหมดนั้น ข้าต่างหากที่เป็นหนี้บุญคุณนาง หลังจากข้ารับนางเข้ามาดูแล ข้าประคบประหงมนางมากจนเกินไป ทำให้นางมีนิสัยใจคอที่ชอบยกตมข่มท่าน แม้ว่าข้าจะรู้อยู่แก่ใจว่านางทำความผิดบางประการ ทว่าข้าไม่เคยเข้มงวดกับนาง จนกระทั่งวันหนึ่ง นางโจมตีศิษย์ร่วมสำนักเข้าจนบาดเจ็บสาหัส…”
โม่เทียนเกอเคยได้ยินเรื่องนี้มาจากหลัวเฟิงเสวี่ย เว่ยจยาซือถูกสตรีนางนั้นทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส และเหตุผลนั้นก็ง่ายดายนัก เพราะเว่ยจยาซือได้รับคำสั่งให้คอยดูแลรับใช้ศิษย์พี่โส่วจิ้ง
“เด็กที่นางทำร้ายเป็นลูกศิษย์ของซวนหยิน และเป็นหลานศิษย์ของข้าด้วย ไม่ว่าข้าจะรักหมิงจูอย่างไร แต่ข้าต้องไม่ลำเอียงเกินไปนัก ข้าจำต้องลงโทษหมิงจู ด้วยการกักขังนางอย่างไร้ความปรานี ถึงกระนั้นก็ตาม เด็กคนนั้นถูกข้าเอาอกเอาใจมาเสียนานแล้ว นอกจากนางจะไม่เปลี่ยนไปในทางดีขึ้นแล้ว นางกลับแย่ลงกว่าแต่ก่อนด้วย ช่างไม่สำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย… ข้าผิดหวังมากเหลือเกิน ด้วยอารมณ์โกรธของข้า ข้าขับไล่นางไปยังลานแยกที่ห่างออกไปไกลกว่าพันไมล์จากที่นี่ หากไม่มีการเรียกขาน นางห้ามกลับมายังภูเขานี้เป็นอันขาด”
โม่เทียนเกอฟังเขาอย่างสงบนิ่งอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นจึงถามว่า “ท่านอาจารย์ ท่านกำลังขอให้ข้าอดทนกับนางสักหน่อยอย่างนั้นหรือ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอจ้องเขม็งไปที่นาง จากนั้นจึงกล่าวพร้อมถอนหายใจ “เจ้าเป็นเด็กชาญฉลาด ดูท่าเจ้าจะเข้าใจเจตนาของข้าอย่างชัดแจ้งแล้ว มันเป็นเวลาอย่างน้อยหกสิบปีที่ข้าสั่งให้นางไปที่ลานแยกแห่งนั้น เด็กคนนั้นคงจะเผชิญหน้ากับความยากลำบากมาเช่นกัน อย่างไรเสีย ท่าทางของนางในตอนนี้… ส่วนไหนของนางที่รู้สึกสำนึกผิดขึ้นมาสักเล็กน้อยบ้างกัน หกสิบปี… ลูกศิษย์ที่คุ้มกันประตูของข้า สาวรับใช้ของข้า พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่ถูกเปลี่ยนใหม่หมดแล้ว พวกเขาจะจำนางได้อย่างไรกัน เมื่อนางกลับมา แทนที่จะให้ใครสักคนมารายงานข้า นางกลับรังควานผู้อื่นอย่างไม่เลือกหน้า…”
โม่เทียนเกอพิจารณาเรื่องนี้ภายในใจอย่างรอบคอบ หลานศิษย์ที่ว่านี้น่าจะอายุได้ราวๆ ร้อยหกสิบถึงร้อยเจ็ดสิบปีได้สินะ ทว่ากลับมีพฤติกรรมอวดดีจนเกินไปอย่างแท้จริง แม้ว่าอาจารย์ของนางจะปฏิบัติต่อสตรีนางนั้นอย่างอ่อนโยน ทว่าทัศนคติของเขายังคงตีตนออกห่างเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น โม่เทียนเกอ ผู้เป็นอาจารย์ลุงของนางก็อยู่ที่นี่ด้วย แต่ท่านอาจารย์กลับไม่ได้บอกให้สตรีนางนั้นคำนับนาง เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ของนางไม่ได้หมายให้นางกลับมาในตอนนี้
เมื่อความคิดของนางมาถึงจุดนี้ โม่เทียนเกอกลับรู้สึกอิจฉาขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
“ข้าเข้าใจ นางจะอยู่ที่นี่เพียงชั่วครู่เท่านั้น แม้ว่านางจะกระทำการอันใดที่ทำให้ขุ่นเคืองเจ็บแค้นใจ ข้าก็จะไม่ถือสานาง”
“อืม” ประมุขเต๋าจิ้งเหอรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย “นางคือเด็กน้อยที่ข้าเลี้ยงดูให้เติบใหญ่ แม้แต่ศิษย์พี่โส่วจิ้งก็ยังพ่ายแพ้นางในเรื่องนี้ แล้วข้าจะไม่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นนางกลับมาในลักษณะเช่นนี้ได้อย่างไรกัน เดิมทีข้าคิดว่ามันผ่านไปได้หกสิบปีแล้ว ข้าจะให้นางกลับมา หากนางสำนึกผิดว่าได้กระทำสิ่งใดผิดไป ทว่านางกลับพลาดโอกาสนี้ นางยังคงหยิ่งยโสเช่นเดิม ไม่มีพัฒนาการในการฝึกตนเลยแม้แต่น้อย และนางยังเรียนรู้ที่จะหลอกข้าด้วยซ้ำ! เมื่อคิดถึงพ่อของนางแล้ว ข้าไม่มีทางตระหนี่กับนางในเรื่องสำรับยาและศาตราวุธเวทอย่างแน่นอน ทว่าสำหรับภูเขาไท่คังแล้ว นางอย่าคิดแม้แต่จะได้กลับมาที่นี่อีก!”
เมื่อโม่เทียนเกอเห็นสีหน้าของอาจารย์ ซึ่งมักจะแสยะยิ้มและไม่เคยเคร่งขรึมเลยแม้แต่ครั้งเดียว กลับปรากฏให้เห็นความไม่ยินดียินร้ายออกมา นางรู้ดีว่าเขากำลังโกรธจัดอย่างแท้จริง สตรีนางนั้น… ช่างโง่เขลาเบาปัญญายิ่งนัก! นางแสร้งสวมบทโศกเศร้าต่อหน้าอาจารย์ แต่นางไม่อาจซ่อนเร้นความรู้สึกของนางเอาไว้ได้โดยสมบูรณ์ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ซึ่งไร้เทียมทานจะถูกหลอกลวงง่ายๆ ได้อย่างไร “คนโง่เขลาผู้เชื่อว่าตนเองแสนชาญฉลาด” เช่นนี้ ยังน่ากลัวยิ่งกว่าคนโง่เขลาทั่วๆ ไปเสียอีก
“ท่านอาจารย์ อย่าเศร้าใจไปเลย เรื่องนี้… หาใช่ความผิดของท่านไม่ นางและศิษย์พี่โส่วจิ้งเติบโตมาด้วยกัน แต่ศิษย์พี่โส่วจิ้งเองก็เติบโตมาได้ดีไม่ใช่หรือ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางสู่ความเป็นอมตะหรือเส้นทางของชีวิต ทั้งสองเส้นทางล้วนแต่บังคับให้เราต้องเดินด้วยตนเองทั้งสิ้น หากคนผู้หนึ่งไม่อาจทำให้ตนเองพัฒนาได้ คนผู้นั้นจะสามารถทำอะไรได้อีกกัน”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอส่ายศีรษะ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านางกำลังปลอบโยนเขา “การสั่งสอนลูกศิษย์จำต้องสอดคล้องกับทัศนคติของพวกเขา จุดนี้… ข้าล้มเหลวที่จะสั่งสอนเด็กคนหนึ่งอย่างแท้จริง ข้ารู้สึกว่ามันไม่เสียหายที่จะประคบประหงมนางสักหน่อยอยู่เสมอ ในเมื่อนางเป็นเด็กผู้หญิง นางถึงได้ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ ลืมมันเสียเถอะ ลืมมันเสีย ข้าให้โอกาสนางมามากพอแล้ว ทว่านางยังคงไม่สำนึกผิดอย่างสิ้นเชิง และรู้จักที่จะใช้เล่ห์กลเสียด้วยซ้ำ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าจะปล่อยให้นางอยู่ในลานแยกตลอดชั่วชีวิต เมื่อไรที่นางปรับปรุงตัวกลายเป็นคนใหม่ ข้าถึงจะให้นางกลับมา”
แม้ว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอจะกล่าวเช่นนั้น ทว่าโม่เทียนเกอรู้ดีว่าเขายอมแพ้เสียแล้ว นางไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอิจฉาริษยาหรือเห็นอกเห็นใจสตรีนางนั้นดี อาจารย์ของนางกล่าวมากมายเช่นนี้ เพราะเขาหวังว่าโม่เทียนเกอจะอดทนกับนางสักเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าภายในใจของเขายังคงรักนางมากเหลือเกิน ถึงกระนั้นก็ตาม สิ่งที่เขากล่าวก็ยังอนุมานได้ว่าเขาจะปล่อยให้นางใช้ชีวิตอยู่ที่ลานแยกแห่งนั้น เขาเกียจคร้านเกินว่าจะกล่าวถึงความผิดพลาดที่สตรีนางนั้นกระทำเสียด้วยซ้ำ
หากเด็กน้อยผู้เป็นที่รักปฏิเสธที่จะสำนึกผิดครั้งแล้วครั้งเล่า หัวใจที่เคยรักใคร่เอ็นดูพลันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความเย็นชา อาจารย์ไล่ให้นางไปที่ลานแยกอย่างไร้ความปรานี เพื่อให้นางได้สำนึกในความผิดของนาง หลังจากไม่ได้พบนางเป็นเวลาหกสิบปี เดิมทีเขาหวังว่านางคงจะพัฒนาขึ้นสักเล็กน้อย ทว่าผลลัพธ์ก็เป็นเช่นนี้ เขาจะไม่ผิดหวังเลยได้อย่างไรกัน โม่เทียนเกอคิดว่าหากนางตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับอาจารย์ของนาง นางคงจะปฏิเสธไม่ขอพบสตรีนางนั้นแต่แรก ต่างกับอาจารย์ของนาง ผู้ยังคงปฏิบัติต่อสตรีนางนั้นอย่างอ่อนโยนเหลือเกิน
ปกติแล้ว อาจารย์ของนางไม่เคยทำตัวถูกกาลเทศะ ทว่าเขากลับโศกเศร้าสำหรับสตรีนางนั้นยิ่งนัก มันช่างชัดเจนว่าเขารักใครเอ็นดูนางมากแค่ไหนในอดีต ทว่าสตรีนางนั้นกลับไม่รู้จักมองเห็นคุณค่าในความโชคดีของนาง สตรีนางนั้น… ช่างไม่น่าสงสารเลยแม้แต่น้อย!