เรื่องน่าขำขันมีอยู่ว่า เนื่องจากมีสตรีนางหนึ่ง ผู้ซึ่งยโสโอหังและเผเด็จการอย่างมากอยู่ที่ตำหนักซ่างชิง บรรดาผู้สูงศักดิ์และบริสุทธิ์ รวมไปถึงเหล่าปัญญาชนทั้งหลายพลันตระหนักรู้ถึงความเก่งกาจของโม่เทียนเกอในที่สุด ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ ทัศนคติและท่าทีของพวกเขาที่เปลี่ยนแปลงไปในทันที ทุกสองถึงสามวัน พวกเขาจะรีบมาหานางที่เรือน แจ้งข่าวสารแก่นาง พร้อมกับพยายามยั่วยุนางให้ท้าประลองกับสตรีนางนั้น
นอกจากโม่เทียนเกอจะล่วงรู้ข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับสตรีนางนั้นอย่างละเอียดแล้ว นางยังล่วงรู้ถึงสิ่งที่สตรีนางนั้นกระทำ สิ่งที่นางดื่มกิน และสิ่งที่ทำให้นางโกรธเคืองในวันนั้นๆ
หลานศิษย์ของนางผู้นี้… ชื่อของนางคือหร่วนหมิงจู ตอนที่ศิษย์พี่ชิงหย่วนได้ตายจากไป นางอายุได้เพียงห้าหรือหกขวบเท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงวัยที่นางยังไม่อาจเข้าใจสิ่งใดได้ทั้งสิ้น และอาจารย์ก็รับนางมาดูแลและเลี้ยงให้เติบโตขึ้นอย่างใกล้ชิดโดยทันที ในขณะเดียวกัน อาจารย์เองก็กลับไปยังตระกูลฉินในโลกแห่งฆราวาส และรับตัวศิษย์พี่โส่วจิ้งมา คนทั้งคู่นั้นอายุใกล้เคียงกัน ตั้งแต่ที่พวกเขายังเล็ก พวกเขาทั้งฝึกตนและอาศัยอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งอาศัยอยู่ที่บ้านพักหมิงซิน ในขณะที่อีกคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่เรือนจือหลี่ ซึ่งตั้งอยู่ถัดไป กล่าวได้ว่าพวกเขาต่างเป็นเพื่อนสมัยเด็กของกันและกัน
หลังจากใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานหลายสิบปี หร่วนหมิงจูย่อมเชื่อว่าศิษย์พี่โส่วจิ้งจะอยู่กับนางตลอดไป ถึงกระนั้น ศิษย์พี่โส่วจิ้งมีอุปนิสัยชอบเก็บตัว ปกติแล้ว เขามักจะมุ่งมั่นกับการฝึกตนอยู่เสมอ จึงไม่สนใจไยดีต่อความหวังดีของนางเลยแม้แต่น้อย นางโกรธเคือง และต้องการให้ปรมาจารย์ ผู้ซึ่งรักใคร่เอ็นดูนางเสมอมา ลงมือตัดสินใจในนามของนาง โชคร้ายที่การให้ใครบางคนตัดสินใจให้ในนามของตนเองนั้น ช่างเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์สำหรับเรื่องราวเช่นนี้
ขณะที่พวกเขาทั้งสองคนค่อยๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ความแตกต่างระหว่างธรรมชาติและอุปนิสัยใจคอของพวกเขาพลันยิ่งห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆ ศิษย์พี่โส่วจิ้งเลิกสนใจนางทีละน้อย หากเขาไม่มุ่งมั่นกับการฝึกตน เขาก็จะออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ เขาไม่ได้อยู่แต่ภายในถ้ำอีกต่อไปแล้ว
หร่วนหมิงจูคุ้นชินกับการได้มาซึ่งทุกสิ่งที่นางต้องการเสมอ หากนางต้องการสิ่งอันใด ปรมาจารย์ของนาง ผู้ซึ่งรักนางดั่งลูกในไส้ จะประเคนให้นางโดยทันที เช่นนั้นแล้ว นางจะสามารถยอมรับความจริงที่ว่าศิษย์พี่โส่วจิ้งไม่สนใจไยดีนางแล้วได้อย่างไรกัน ยิ่งนางไม่ได้สิ่งใดมากเท่าไร นางยิ่งปรารถนาสิ่งนั้นมากขึ้นเท่านั้น
ถึงกระนั้นก็ตาม ระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งสอดคล้องกับความแตกต่างในระดับการฝึกตนของพวกเขา หลังจากก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ศิษย์พี่โส่วจิ้งจึงย้ายออกจากตำหนักซ่างชิง แต่นอกจากหร่วนหมิงจูจะไม่คิดว่านางควรฝึกตนด้วยความขยันหมั่นเพียรแล้ว นางยังแม้แต่ทำให้เรื่องยุ่งยากมากขึ้นสำหรับลูกศิษย์สตรีเพศ ที่ต้องคอยรับใช้ศิษย์พี่โส่วจิ้งในทุกครั้งที่นางสามารถทำได้ด้วยซ้ำ จนกระทั่งมันนำไปสู่หายนะในตอนท้ายที่สุด
ข่าวคราวของเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้เข้ามาถึงหูของโม่เทียนเกอ ผ่านซั่วฉินและบรรดาคนอื่นๆ ไม่มีสาวรับใช้ผู้ใดที่ชื่นชอบศิษย์พี่หร่วนสักคน แต่เมื่อปรมาจารย์ยังคงอยู่ พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เล่ห์กลอันใดได้ ฉะนั้น พวกเขาจึงหวังให้โม่เทียนเกอก้าวออกมา และสั่งสอนนางให้หลาบจำแทน
น่าเสียดายที่สิ่งที่พวกเขากล่าวนั้น เข้าหูซ้ายและทะลุหูขวาของโม่เทียนเกอ นางเพียงแต่มุ่งมั่นในเรื่องของนางต่อไป ซึ่งทำให้พวกเขาผิดหวังอย่างถึงที่สุด
โม่เทียนเกอรู้อยู่แล้วว่าเนื่องจากอาจารย์ดื้อดึงไม่ยอมเปลี่ยนใจ และปฏิเสธไม่ให้หร่วนหมิงจูกลับมา หร่วนหมิงจูจึงโกรธแค้นและสร้างปัญหาให้กับสาวรับใช้เหล่านั้น เพื่อเป็นการเอาคืนเสียแทน ถึงกระนั้นก็ตาม โม่เทียนเกอได้สัญญากับอาจารย์แล้ว ฉะนั้น นางจึงได้แต่แสร้งทำเป็นรับฟังและมองข้ามเรื่องเหล่านั้นไป นอกจากนี้ หร่วนหมิงจูไม่ได้ยั่วยุนางแต่อย่างใด นางจะไปหาเรื่องหร่วนหมิงจูทำไมกัน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อย ฉะนั้น โม่เทียนเกอจึงสามารถสงบนิ่งได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
“อาจารย์ลุงโม่ ข้าได้ยินว่าศิษย์พี่หร่วนยังคงเรียกอาจารย์ลุงโส่วจิ้งว่า ‘ศิษย์พี่’ ด้วย!”
โม่เทียนเกอ ผู้ซึ่งกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ริมสระน้ำภายในบ้านพักหมิงซิน พร้อมกับกอดเฟยเฟยและให้อาหารมันอยู่นั้น ได้แต่ขานตอบรับอย่างว่างเปล่าว่า “อือ” เท่านั้น
เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเรื่องนี้มากนัก ชิงฉีจึงกลอกตา จากนั้นจึงกล่าวต่อไปว่า “ข้าได้ยินว่าในตอนนั้น ท่านปรมาจารย์ต้องการให้นางเปลี่ยนวิธีการเรียกขานนามของอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง แต่ศิษย์พี่หร่วนไม่ยอมทำตามไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม และเพราะเช่นนั้น อาจารย์ลุงโส่วจิ้งจึงไม่สนใจในเรื่องนี้เช่นกัน”
โม่เทียนเกอยังคงส่งเสียงตอบอย่างใจเย็น “อือ”
ซิ่วฉินไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากกล่าวต่อไป “อาจารย์ลุงโม่ ท่านคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ”
หลังจากป้อนผลวิญญาณให้เฟยเฟยแล้ว โม่เทียนเกอพลันวางมันลง เพื่อที่มันจะได้วิ่งเล่นไปรอบๆ ด้วยตนเองได้ ในขณะเดียวกัน นางกล่าวว่า “ข้าไม่มีความคิดเห็นใดในเรื่องนี้”
ซิ่วฉินและชิงฉีจ้องหน้ากันและกัน ดูเหมือนว่าทั้งคู่ยังคงไม่ยอมแพ้ “เป็นไปได้ไหมว่าท่านไม่ได้รู้สึกว่าศิษย์พี่หร่วนจะ…แบบนั้นมากเกินไป”
น่าเสียดายที่โม่เทียนเกอเพียงแต่จ้องมองพวกเขาด้วยรอยยิ้มแผ่วเบา หลังจากนางสังเกตเห็นว่าพวกเขาเริ่มประหม่า นางจึงเอ่ยวาจาออกมาในที่สุด “พวกเจ้าต้องการอะไร เจ้าต้องการให้ข้าออกหน้าและสั่งสอนนางอย่างนั้นหรือ”
ซิ่วฉินและชิงฉีหัวเราะเบาๆ อย่างประจบสอพลอ “อาจารย์ลุง ศิษย์พี่หร่วนผู้นั้นแค้นเคืองท่านเป็นอย่างมาก! เมื่อนางได้ยินว่าท่านกำลังอาศัยอยู่ที่บ้านพักหมิงชิน นางเกือบจะทำลายข้าวของทุกอย่างภายในห้องของนาง แม้ว่านางจะควบคุมตนเองได้ในตอนท้าย ทว่านางมักจะสาปแช่งท่านลับหลังอยู่เสมอ!”
“ใช่ๆ ๆ” ชิงฉีแย่งบทสนทนาไป “วันนั้น ข้าได้ยินหมดทุกอย่าง ศิษย์พี่หร่วนบอกว่าท่านเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานเท่านั้น ฉะนั้น ด้วยบรรทัดฐานใดกัน ทำไมท่านปรมาจารย์ถึงได้โปรดปรานท่าน ด้วยบรรทัดฐานใดกัน ท่านถึงเคารพท่านปรมาจารย์ในฐานะอาจารย์ของตนเอง และด้วยบรรทัดฐานใดกัน ท่านถึงสามารถอาศัยอยู่ในบ้านพักหมิงชินได้ นางยังบอกอีกว่าท่านคิดว่าตนเองสำคัญเสียเหลือเกิน แต่ลูกศิษย์ที่ท่านปรมาจารย์โปรดปรานเป็นที่สุด ยังไงเสียก็ยังเป็นนางอยู่ดี…”
โม่เทียนเกอฟังซิ่วฉินและชิงฉีเล่าเรื่องราวต่างๆ เพื่อกระตุ้นยั่วยุนาง พลางพลิกหน้ากระดาษหนังสือที่อยู่ในมือของนาง ทันทีที่นางได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจนจบนั้น นางพลันเงยหน้าขึ้นจากหนังสือในที่สุด
ซิ่วฉินและชิงฉีต่างปิติยินดีอยู่ภายใน คิดว่าในที่สุด พวกเราก็โน้มน้าวได้สำเร็จแล้ว ถึงกระนั้น คาดไม่ถึงว่าโม่เทียนเกอจะเพียงแค่กล่าวว่า “เจ้ากำลังซุบซิบนินทาอยู่ที่นี่… เจ้าคิดว่าท่านอาจารย์ไม่รู้อย่างนั้นหรือ”
“เอ่อ…” ซิ่วฉินและชิงฉีนิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาไม่อาจเอ่ยสิ่งใดตอบกลับไปได้ เรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นที่ตำหนักซ่างชิงแห่งนี้ จะหลุดรอดสายตาของปรมาจารย์ไปได้อย่างไรกัน เพียงแต่ว่าโดยทั่วไปแล้ว ปรมาจารย์เลือกที่จะไม่แยแสบางเรื่องไปก็เท่านั้น
โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ ยืนขึ้น และตบบ่าของพวกเขาด้วยหนังสือในมือของนาง “ทำไมเจ้าจะต้องกังวลกับใครบางคนที่กำลังจะจากไปไม่ช้าก็เร็วนี้ด้วยล่ะ นางคิดว่านางฉลาด ทำไมเจ้าจะต้องทำตัวเบาปัญญาเหมือนนางด้วยเล่า”
ซิ่วฉินและชิงฉีมองหน้ากันและกัน และเข้าใจอย่างแจ่มชัดขึ้นมาโดยทันที พวกเขาทั้งสองคนพลันยิ้มในพริบตานั้น และกล่าวว่า “อาจารย์ลุงโม่ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำเจ้าค่ะ”
โม่เทียนเกอเพียงแต่โบกมือ โดยไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา หมายตรงไปเข้าห้องฝึกตน
อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเอง นางพลันได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากด้านนอกอย่างกะทันหัน “ว้าว! นี่มันอะไรกัน ช่างน่ารักเหลือเกิน!”
โม่เทียนเกอเบนสายตาของนางไปยังประตูทางเข้าบ้านพักหมิงชิน ร่อยยับย่นค่อยๆ ปรากฏบนคิ้วของนาง
ทันทีที่ซิวฉินและชิงฉีเห็นสีหน้าของนางเข้า พวกเขาพลันออกไปข้างนอกโดยทันที ครู่ต่อมา โม่เทียนเกอก็ได้ยินเสียงพวกเขาด้วย
“คำนับศิษย์พี่หร่วน”
“อืม” หร่วนหมิงจูตอบรับอย่างหยิ่งยโส ราวกับว่าพวกเขาเรียกนางว่าอาจารย์ลุง
“ศิษย์พี่หร่วนเจ้าคะ” ซิ่วฉินกล่าว “นี่คือสัตว์วิญญาณของอาจารย์ลุงโม่เจ้าค่ะ!”
“หืม” น้ำเสียงของหร่วนหมิงจูดังมากขึ้นเล็กน้อย “อย่างนั้นหรือ นี่คือสัตว์วิญญาณอย่างนั้นหรือ ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้าสิ่งนี้มาก่อนล่ะ”
ชิงฉีกล่าวตอบ “มันชื่อว่าเฟยเฟย อาจารย์ลุงพบมันในเขตทะเลตะวันออก มันเป็นสัตว์ที่หายากยิ่งนัก!”
“เฟยเฟยหรือ” แม้ว่าหร่วนหมิงจูจะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนอย่างเห็นได้ชัด ทว่านางกลับกล่าวอย่างสุขใจว่า “มันดูคล้ายกับสุนัขผสมแรคคูน แต่มีสีทองทั่วทั้งตัว ช่างน่ารักจริงๆ!”
ด้วยลักษณะภายนอกของเฟยเฟย โม่เทียนเกอเชื่อว่ามีเพียงสตรีไม่กี่นางเท่านั้นที่จะไม่ชอบมัน ยามได้เห็นมันเข้า ทั่วทั้งร่างของมันเป็นสีทองล้วน ไร้ซึ่งจุดแต้มสีอื่นๆ ปะปนอยู่เลยแม้แต่น้อย มันมีดวงตากลมโตเปล่งประกาย มีหางเรียวแหลม และมีขาสั้นกระจิริดทั้งสี่ข้าง ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นสิ่งที่มีจิตวิญญาณสูงอย่างมากในธรรมชาติอีกด้วย แม้แต่ระดับความน่ารักของเสี่ยวหั่วก็ยังคงเทียบเฟยเฟยไม่ได้ด้วย ตั้งแต่ที่นางนำเฟยเฟยกลับมา เหล่าปัญญาชนและผู้อื่นที่เหลือทั้งหลาย มักจะแวะเวียนมาเยี่ยมมันครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งไปกว่านั้น เฟยเฟยยังมีนิสัยที่อ่อนโยน มันไม่เคยโกรธเคืองผู้ใด แม้ว่าจะถูกคนเหล่านั้นเย้าแหย่ก็ตาม โดยสรุปแล้ว มันช่างน่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด
ถึงกระนั้นก็ตาม พวกเขาต่างรู้ดีว่าโม่เทียนเกอให้ความสำคัญกับสัตว์วิญญาณตนนี้เป็นอย่างมาก ฉะนั้น ถึงแม้พวกเขาจะเย้าแหย่มัน แต่พวกเขามักจะดูแลเอาใจใส่เจ้าสัตว์ตนนี้อยู่เสมอ ตอนนี้ พวกเขาจึงกล่าวเตือนหร่วนหมิงจูอย่างระมัดระวัง “ศิษย์พี่หร่วน เฟยเฟยเป็นสัตว์วิญญาณขั้นสองเจ้าค่ะ!”
“ข้าเห็นแล้วน่า!” หร่วนหมิงจูกล่าวตอบอย่างไม่ชอบใจ หลังจากนั้นครู่ใหญ่ นางจึงเอ่ยวาจาอีกครั้ง “มันเป็นของอาจารย์ลุงโม่ใช่ไหม แล้วนางอยู่ไหนกันล่ะ”
น้ำเสียงของนางฟังดูไม่เต็มใจยอมรับเมื่อนางกล่าวคำว่า “อาจารย์ลุง” เป็นอย่างมาก และดูเหมือนว่านางจะไม่เคารพนับถือในตัวโม่เทียนเกอเลยแม้แต่น้อย เมื่อนางถามถึงที่อยู่ของโม่เทียนเกอ
ชิงฉีกล่าวว่า “อาจารย์ลุงโม่อยู่ด้านในบ้านพักหมิงชิน ศิษย์พี่หร่วน ท่านต้องการเข้าพบอย่างนั้นหรือ”
“เข้าพบหรือ” ดูเหมือนว่าหร่วนหมิงจูจะไม่ชอบในคำนี้เสียเท่าไร หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง นางจึงกล่าวตอบในที่สุด “ก็ได้”
โม่เทียนเกอคิดว่าหร่วนหมิงจูคงจะบอกให้ซิ่วฉินและชิงฮีมารายงานนางก่อน ทว่าท้ายที่สุดแล้ว กลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นที่ประตูบ้านพักหมิงชินโดยฉับพลัน สาวน้อยหร่วนหมิงจูเดินตรงเข้ามา พร้อมกับอุ้มเฟยเฟยเอาไว้ในอ้อมแขน
โม่เทียนเกอขมวดคิ้วของนาง เมื่อเห็นเฟยเฟย ซึ่งกำลังถูกหร่วนหมิงจูกอดรัดอย่างแน่นหนานั้น นางจึงส่งการหยั่งรู้จิตของนางไป หลังจากนั้น เมื่อเฟยเฟยดิ้นขัดขืนจนหลุดเป็นอิสระจากอ้อมกอดของหร่วนหมิงจูได้แล้ว จึงวิ่งตรงมาหาโม่เทียนเกอโดยทันที
“นี่!” หร่วนหมิงจูตะโกน “เจ้าวิ่งหนีอะไรกัน!”
โม่เทียนเกออุ้มเฟยเฟยขึ้นมา จากนั้นจึงกล่าวด้วยสายตาที่เมินเฉย “เจ้ามีธุระอันใดอย่างนั้นหรือ”
เมื่อเห็นเฟยเฟยกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของโม่เทียนเกอ และไม่แยแสนางโดยสิ้นเชิง ทำให้หร่วนหมิงจูจ้องเขม็งมันด้วยความโกรธเคืองสักพักใหญ่ ก่อนที่นางจะพลันนึกได้ว่าเจ้าของของมันคือใครในที่สุด นางยับยั้งความเอาแต่ใจของนางเอาไว้เล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวว่า “อาจารย์ลุงโม่ ท่านยกเฟยเฟยให้ข้าได้ไหม”
แม้ว่านั่นจะเป็นประโยคคำถาม ทว่ามันกลับไม่มีความจริงใจอยู่ในนั้น ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสิ้นสุดประโยคเลยแม้แต่น้อย นางไม่แม้แต่จะคำนับโม่เทียนเกอตั้งแต่แรกเสียด้วยซ้ำ
“มันเป็นสัตว์วิญญาณตามพันธะสัญญาของข้า เกรงว่าข้าจะยกให้เจ้าไม่ได้” โม่เทียนเกอกล่าว
เมื่อได้ยินคำปฏิเสธของนาง และเห็นท่าทีไม่แยแสของนางเข้า หร่วนหมิงจูพลันหน้ามุ่ยในทันที และร้องตะโกนว่า “งั้นก็ยกเลิกพันธสัญญาเสียสิ!”
แม้ว่าสีหน้าของโม่เทียนเกอจะยังคงเป็นเช่นเดิม ทว่าทั้งซิ่วฉินและชิงฉีต่างร้องออกมาด้วยความตกใจทันทีที่พวกเขาได้ยินหร่วนหมิงจูกล่าว “ศิษย์พี่หร่วน!”
โดยทั่วไปแล้วในคุนอู๋ สัตว์วิญญาณจะจดจำเจ้าของของพวกมันได้ตั้งแต่ก่อนมันฟักตัว สำหรับพันธะสัญญาเช่นนี้แล้ว มันจะไม่มีทางถูกยกเลิกไปตลอดชั่วชีวิต หากสัญญาถูกยกเลิก แก่นเลือดของเจ้านายจะได้รับบาดเจ็บ
หร่วนหมิงจูผู้นี้… เห็นได้ชัดว่านางรู้ว่าโม่เทียนเกอและเฟยเฟยผูกพันกันด้วยพันธะสัญญาแห่งเจ้านายบริวาร หาใช่พันธะสัญญาแห่งเจ้านายคนคุ้นเคยไม่ ถึงกระนั้น นางยังคงกล่าวด้วยลักษณะท่าทางเช่นนั้นอีก ราวกับว่าสิ่งที่นางกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล นางไม่ได้พิจารณาถึงผลลัพธ์ภายหลังที่ผู้อื่นอาจจะได้รับเลยสักนิด!
อย่างไรก็ตาม หร่วนหมิงจูยังคงนิ่งเฉยไม่แยแสในความผิดของนาง และยังคงถามนางต่อไป “เป็นอย่างไร ท่านเห็นด้วยกับคำขอของข้าหรือไม่”
โม่เทียนกล่าวอย่างช้าๆ พร้อมกับขมวดคิ้ว “ข้าไม่ยกเฟยเฟยให้กับผู้ใด”
“ท่าน…” ท่าทีของหร่วนหมิงจูเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อนางได้ยินคำปฏิเสธของโม่เทียนเกอ ทว่าบางทีเนื่องจากนางตระหนักได้ว่าปัจจุบันไม่เหมือนเมื่อครั้นอดีตแล้ว ฉะนั้น ท่าทีของนางเปลี่ยนไปอยู่สักพักใหญ่ แต่สุดท้ายนางก็ควบคุมตัวเองได้ในที่สุด “อาจารย์ลุงโม่ มอบสัตว์วิญญาณของท่านให้ข้า และข้าจะขอให้ท่านปรมาจารย์ชดใช้ให้ท่านทีหลัง ตกลงไหม” น้ำเสียงที่แสนมั่นจของนางทำให้คนทั้งสามต่างพากันเลิกคิ้วขึ้น
ชิงฉีอดทนต่อไปไม่ไหว จึงตะโกนออกไป “ศิษย์พี่หร่วน ท่านปรมาจารย์มอบสิ่งที่อาจารย์ลุงโม่ต้องการให้นางเสมอ หากอาจารย์ลุงต้องการสิ่งใด นางเพียงแต่ต้องบอกกล่าวท่านปรมาจารย์เท่านั้น” ข้อโต้แย้งนี้มีขึ้นเพื่อตั้งใจจะแสดงความเหนือกว่า หากอาจารย์ลุงต้องการสิ่งใด นางเพียงแต่ต้องบอกกล่าวปรมาจารย์เท่านั้นอาจารย์ลุงยังต้องการให้นางออกหน้าแทนนางด้วยหรือ
สีหน้าของหร่วนหมิงจูเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา เห็นได้ชัดว่าข้อโต้แย้งของชิงฉีทำให้นางต้องอับอาย เดิมทีนางต้องการอดทนต่อคำพูดนั้น ทว่านางกลับล้มเหลวในท้ายที่สุด นางจึงกล่าวอย่างโกรธแค้นว่า “ท่านปรมาจารย์รักข้ามาโดยตลอด ที่ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขาเป็นเช่นนั้น ก็เพราะข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอดหกสิบปีนี้เท่านั้นไม่ใช่หรือ เจ้ากล้าดูถูกข้าเสียจริง! ลูกศิษย์ที่เข้ามาแทนที่แค่ชัวคราวจะมีค่าอันใดกัน เจ้าคิดจริงๆ หรือว่านางสำคัญกว่าข้าน่ะ”
โม่เทียนเกอยิ้มเยาะอย่างระมัดระวัง นางตระหนักรู้ในท่าทีของอาจารย์อย่างแจ่มชัด เมื่อมาถึงเรื่องที่ว่าผู้ใดสำคัญกว่าผู้ใดนั้น ในหัวใจของอาจารย์ นางหาได้สำคัญเทียบเท่ากับหร่วนหมิงจูไม่ ถึงกระนั้น อาจารย์ไม่ใช่ผู้ที่เข้าข้างผู้อื่นโดยไร้ซึ่งเหตุผล และจะปฏิบัติตามในทุกสิ่งที่หร่วยหมิงจูกล่าว นอกจากนี้ อาจารย์หมดหวังกับหร่วนหมิงจูแล้ว เขาจะยอมตามใจนางต่อไปได้อย่างไร หร่วนหมิงจูผู้นี้อายุขับมากกว่าร้อยปีแล้ว ทว่านางกลับยังมีอุปนิสัยใจคอเช่นนี้อยู่อีก โม่เทียนเกอช่างสงสัยเหลือเกินว่าตลอดช่วงเวลาที่นางมีชีวิตผ่านมานั้นได้หายไปไหนกัน!
ซิ่วฉินและชิงฉีไม่ได้กล่าวตอบแต่อย่างใด มันไม่เหมาะสมสำหรับสาวรับใช้อย่างพวกเขา ที่จะกล่าวอันใดในบทสนทนาเช่นนี้ ถึงกระนั้นก็ตาม พวกเขาไม่ต้องการทนฟังหร่วนหมิงจูกล่าวอีกต่อไป ทั้งสองคนจึงเบนสายตาของพวกเขาไปที่โม่เทียนเกอโดยทันที
ท้ายที่สุดแล้ว โม่เทียนเกอมีปฏิกิริยาตามที่พวกเขาคาดหวัง นางกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ศิษย์หลานหร่วน ข้าไม่เคยมอบสัตว์วิญญาณตนนี้ให้กับผู้ใด หากเจ้าต้องการ เจ้าสามารถไปร้องขอกับปรมาจารย์ของเจ้า”
เดิมทีหร่วนหมิงจูรู้สึกตะขิดตะขวงใน ยามที่นางต้องเรียกโม่เทียนเกอว่า “อาจารย์ลุง” อยู่แล้ว ฉะนั้นในตอนนี้ เมื่อนางได้ยินโม่เทียนเกอเรียกนางว่า “ศิษย์หลาน” อย่างเต็มปากเต็มคำ จิตใจของนางพลันฉุนเฉียวขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ เมื่อได้ยินโม่เทียนเกอปฏิเสธที่จะมอบเฟยเฟยแก่นางอย่างดื้อดึง ทำให้เปลวไฟในจิตใจของนางโหมกระหน่ำอย่างเกรี้ยวกราดมากขึ้นกว่าเดิม
“ท่าน…” หร่วนหมิงจูจ้องเขม็งไปที่นางสักพักใหญ่ ก่อนที่จะกล่าวอย่างโกรธแค้นในที่สุดว่า “อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน!” จากนั้น นางจึงหันหลังกลับและเดินจากไป
เมื่อพวกเขาเห็นนางระบายความโกรธแค้นไปที่โม่เทียนเกอ ทั้งซิ่วฉินและชิงฉีราวกับว่าพวกเขาจะระบายความชิงชังที่พวกเขามีออกมา อย่างไรเสีย จากนั้นพวกเขาพลันได้ยินโม่เทียนเกอกล่าวด้วยท่าทางเชื่องช้าอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าทั้งสองคน… อ้อ ไม่สิ พวกเจ้าทั้งสิบหกคนไม่ควรก่อเรื่องอันใดขึ้น อย่าคิดจะใช้ข้าเป็นเครื่องมือในการจัดการนาง และระบายความแค้นของพวกเจ้า ไม่มีเรื่องอันใดในตำหนักซ่างชินที่ปิดบังพวกเจ้าได้ เช่นนั้น ข้าจะพูดกับพวกเจ้าอย่างตรงไปตรงมา นางจะไม่ได้อยู่ที่นี่เป็นเวลานานเด็ดขาด สำหรับท่านอาจารย์แล้ว เจ้าเองก็ไม่ควรหาเรื่องนางเช่นกัน มันจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องจัดการกับใครสักคนที่ท่านอาจารย์ล้มเลิกไปแล้วน่ะ”