ตอนที่ 231 ลุ่มหลง

ลำนำสตรียอดเซียน

“ท่านปรมาจารย์!” หร่วนหมิงจูวิ่งเข้ามาภายในโถงกลางของตำหนักซ่างชิง ร้องไห้สะอื้นมาตลอดทาง

 

 

เดิมทีประมุขเต๋าจิ้งเหอกำลังเล่าเรื่องขำขันอย่างมีชีวิตชีวา แต่เมื่อเห็นนางวิ่งเข้ามา ท่าทีสดใสของเขาก็พลันเลือนหายไป เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยว่า “เกิดอะไรขึ้น”

 

 

ดวงตาของหร่วนหมิงจูกำลังท่วมท้นไปด้วยหยาดน้ำตาที่กำลังพรั่งพรู นางพลันกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าเห็นว่าสัตว์วิญญาณของอาจารย์ลุงโม่ดูเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก ข้าจึงขอมันกับนาง ข้าไม่ได้พยายามจะทำให้นางต้องขุ่นเคือง”

 

 

ประมุขเต๋าจิ้งเหอขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างช้าๆ “แล้วอย่างไรล่ะ”

 

 

หร่วนหมิงจูก้มหน้าด้วยความละอายใจ หมายหลบซ่อนความเกลียดชังภายในแววตา “ดูเหมือนอาจารย์ลุงโม่จะโกรธเคืองข้าเป็นอย่างมาก”

 

 

เนื่องจากเวลาผ่านไปสักพักใหญ่โดยที่ไม่ได้รับปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ หร่วนหมิงจูจึงเงยหน้าขึ้นในท้ายที่สุด ทว่านางกลับเห็นประมุขเต๋าจิ้งเหอกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร และหยิบถ้วยชาขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน “หมิงจู”

 

 

“เจ้าคะ” นางสับสนงงงวยเล็กน้อยในท่าทีของปรมาจารย์ของนาง

 

 

ประมุขเต๋าจิ้งเหอจ้องมองนาง สีหน้าของเขายังคงเฉื่อยชา “เทียนเกอรักและทะนุถนอมทุกสรรพสิ่งรอบกายของนางมาโดยตลอด แม้ว่ามันจะเป็นเพียงสัตว์วิญญาณต่อเจ้า ทว่าสำหรับนางแล้ว มันคือสหาย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมนางถึงไม่ยอมมอบมันให้แก่เจ้า”

 

 

หร่วนหมิงจูตะลึงงัน นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าปรมาจารย์จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้กับนาง

 

 

ประมุขเต๋าจิ้งเหอกล่าวต่อไป “หากเจ้าไม่มีการอันใดทำแล้ว กลับไปฝึกตนให้เหมาะสมเสียเถอะ เจ้าไม่ได้เยาว์วัยอีกต่อไปแล้ว ทว่าเจ้ายังคงมีเวลาอีกหลายสิบปีรอเจ้าอยู่เบื้องหน้า หากเจ้าไม่อาจสร้างขุมพลังได้ในเร็ววัน มันจะยิ่งยากขึ้นในอนาคต”

 

 

เมื่อประเด็นการสร้างขุมพลังถูกพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันในตอนนี้ หร่วนหมิงจูพลันไร้ซึ่งคำพูดอย่างสิ้นเชิง “ท่านอาจารย์…”

 

 

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าไม่ต้องการสร้างขุมพลังของเจ้า” ประมุขเต๋าจิ้งเหอจ้องเขม็งนางด้วยสายตาอันเฉียบแหลม “เมื่อเจ้ามีเรื่องราวมากมายในหัวเช่นนี้ เจ้าจะสร้างขุมพลังของเจ้าได้อย่างไรกัน เทียนเกออายุน้อยกว่าเจ้ามาก และนางก็มีชีวิตที่ยากลำบากในวัยเด็กเช่นกัน ทว่านางก้าวสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้วในตอนนี้ ไม่ช้า นางจะต้องก้าวสู่ขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน จากนั้นนางก็จะพยายามสร้างขุมพลังของนาง แล้วเจ้าล่ะ เจ้าได้รับการสั่งสอนจากข้าเป็นการส่วนตัวตั้งแต่ยังเล็ก และเจ้าสามารถสร้างฐานแห่งพลังงานสำเร็จได้ตั้งแต่อายุยี่สิบเอ็ดปี ด้วยเหตุผลนี้ เจ้าควรจะกลายเป็นความภาคภูมิใจแห่งสรวงสวรรค์ ทำไมเจ้าถึงยังอยู่เพียงแค่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน แม้ว่าเจ้าจะอายุมากกว่าหนึ่งรเอยเจ็ดสิบปีแล้วกัน เจ้าไปทำสิ่งใดมาตลอดหกสิบปีที่ผ่านมานี้ ทำไมเจ้าถึงไม่มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย!”

 

 

ท่าทางของประมุขเต๋าจิ้งเหอเริ่มเข้มงวดมากขึ้น ทำให้จิตใจของหร่วนหมิงจูสั่นเทิ้ม นางกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “ท่านอาจารย์… คือ… เส้นเลือดวิญญาณบนภูเขาอวิ๋นกั่งนั้นต่ำกว่าระดับมาตรฐาน ตอนข้าอยู่ที่นั่น การฝึกตนของข้าไม่อาจพัฒนาได้…”

 

 

“อย่างนั้นหรือ” วิธีที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอจ้องมองนางยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “แล้วสำรับยาที่ข้าส่งให้เจ้าตลอดหลายปีที่ผ่านมาล่ะ แม้ว่าข้าจะไม่ได้เรียกเจ้ากลับมา แต่ข้าไม่เคยลดปริมาณที่จัดสรรให้สักครั้งเดียว แม้เจ้าจะได้แต่พึ่งพาสำรับยาพวกนั้น แต่ทว่าตลอดหกสิบปีนี้ มันก็มากพอที่เจ้าควรจะได้ก้าวสู่จุดสูงสุดของระดับกลางแล้วไม่ใช่หรือ”

 

 

หร่วนหมิงจูก้มหน้า และไม่กล่าวสิ่งใด

 

 

ท่าทีของประมุขเต๋าจิ้งเหอนิ่มนวลขึ้น เขากล่าวเบาๆ ว่า “เอาละ เลิกคิดถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องได้แล้ว ไปฝึกตนให้ถูกต้องเสียเถอะ ครั้งนี้ที่สำนักเรียกบรรดาลูกศิษย์กลับมา เพราะมีเรื่องสำคัญ เจ้าจะได้รับประโยชน์แน่ หากเจ้าประพฤติปฏิบัติได้ดี”

 

 

“…” หร่วนหมิงจูนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่นางจะตอบรับอย่างเชื่อฟังในที่สุด “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านปรมาจารย์”

 

 

ทันทีที่นางแร่งรีบออกมาจากตำหนักซ่างชิง ใบหน้าของหร่วนหมิงจูเป็นสีแดงก่ำจนหมดสิ้น เมื่อนางมองเห็นว่าลูกศิษย์ผู้คุ้มกันประตู กำลังมองมาที่นางด้วยท่าทางสอดรู้สอดเห็น ด้วยสายตาที่ซ่อนเจตนาร้ายเอาไว้ นางจึงกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังมองอะไรอยู่กัน!”

 

 

ลูกศิษย์ผู้คุ้มกันประตูถอนสายตาของเขา เมื่อถูกนางตำหนิ เขาไม่ได้ก่นด่านางกลับไป แต่สีหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความรังเกียจเหยียดหยาม

 

 

“เจ้า…” ขณะที่นางหมายจะตอบโต้กลับด้วยความโกรธเคือง หร่วนหมิงจูพลันนึกขึ้นได้ว่าที่นี่คือตำหนักซ่างชิน ฉะนั้น นางจึงกัดฟันแน่น และอดทนเอาไว้ในท้ายที่สุด พริบตานั้น นางโยนเครื่องมือพลังเวทบินได้ขึ้นไป และโบยบินออกไปสู่อากาศ

 

 

หลังจากเห็นว่านางจากไปแล้ว ลูกศิษย์ผู้คุ้มกันประตูจึงร้อง “เฮ้อ” ออกมาเล็กน้อยในที่สุด พร้อมกับพึมพำว่า “นางช่างสำคัญตัวผิดเสียจริง…”

 

 

หร่วนหมิงจูบินไปยังยอดภูเขาที่รกร้าง และสำรวจทิวทัศน์โดยรอบอยู่ครู่ใหญ่ ทันทีที่นางแน่ใจว่าที่แห่งนี้คือจุดหมายปลายทางตามเจตนารมณ์ของนางแล้ว นางจึงลงจอดในที่สุด และเดินหน้ามุ่งตรงไปยังถ้ำเซียนที่ถูกหลบซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดี

 

 

“ศิษย์พี่ ศิษย์พี่เจ้าคะ ท่านอยู่ข้างในไหม ข้าหมิงจูเอง!” นางร้องตะโกน เวลาผ่านไปได้ครู่ใหญ่ ทว่านางยังคงไม่ได้ยินปฏิกิริยาตอบรับใดๆ นางจึงตะโกนต่อไป “ศิษย์พี่! ออกมาเจอข้าเดี๋ยวนี้ ข้าหมิงจูไง!”

 

 

หลังจากรออยู่อีกครู่ใหญ่ ประตูถ้ำจึงเปิดออกในที่สุด หร่วนหมิงจูรู้สึกปลาบปลื้มอย่างมาก ทว่าขณะที่นางหมายจะพุ่งตรงเข้าไปนั้น นางกลับหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม และมีสีหน้าที่เคร่งขรึมยิ่งขึ้น “เจ้าเป็นใคร!”

 

 

ผู้ที่เปิดประตูถ้ำ และออกมากลับเป็นเยี่ยเจินจีไม่มีผิด เขาเองก็สับสน เมื่อได้เห็นหร่วนหมิงจูเช่นกัน “เจ้าเป็นใครกัน”

 

 

ท่าทางของหร่วนหมิงจูผ่อนคลายมากขึ้น นางเบนสายตามองไปยังภายในถ้ำ “ศิษย์พี่ของข้าล่ะ”

 

 

เยี่ยเจินจีเกาศีรษะของเขา และถามด้วยความสันสนงงงวย “เจ้าคือผู้มาใหม่หรือ เจ้าคงมาผิดที่แล้วใช่ไหม”

 

 

“ที่นี่คือถ้ำเซียนของศิษย์พี่ข้า!” หร่วนหมิงจูจ้องเขม็งไปที่เขา “หนุ่มน้อย เจ้าเป็นใครกัน ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ในถ้ำเซียนของศิษย์พี่ข้าได้”

 

 

“เจ้าไม่ใช่ท่านป้าของข้า และที่นี่ก็ไม่มีศิษย์พี่ของเจ้าด้วย” แม้ว่าเยี่ยเจินจีจะเป็นคนมีอุปนิสัยที่ดี ทว่าเขาไม่อยากทำตัวสุภาพด้วย เพราะนางใช้น้ำเสียงอันแสนยโสโอหังเช่นนั้น “เจ้ากลับไปเสียดีกว่า แม้ท่านอาจารย์ของข้าจะเป็นมิตรเท่าไร ทว่าเขาก็โกรธจัดขึ้นมาได้ หากต้องพบกับคนหยาบคาย”

 

 

“ท่านอาจารย์อย่างนั้นหรือ” หร่วนหมิงจูมองเขา รอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางในที่สุด “เจ้าคือลูกศิษย์ของศิษย์พี่ใช่ไหม ไปบอกเขาว่าข้าคือหมิงจู เขาจะรู้เอง”

 

 

เมื่อเห็นเยี่ยเจินจีไม่ขยับเขยื้อน หร่วนหมิงจูจึงตะโกนออกไปอีกครั้ง “รีบไปสิ!”

 

 

นางหาได้รู้สึกหวาดหวั่นในการเจ้ากี้เจ้าการผู้อื่นไม่ ถึงกระนั้นก็ตาม เยี่ยเจินจีเป็นคนใสซื่อไร้เดียงสา แทนที่จะขุ่นเคือง เขากลับขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ศิษย์พี่ของเจ้าคือผู้ใดกัน อาจารย์ของข้าอยู่ระหว่างการฝึกตน เขาจะโกรธเคืองได้ หากโดนรบกวนอย่างไร้ซึ่งเหตุผล”

 

 

“เจ้า…”

 

 

ขณะที่หร่วนหมิงจูกำลังจะระเบิดอารมณ์ พวกเขาพลันได้ยินเสียงอันคุ้นหูดังขึ้นมาจากภายใน “เจินจี ให้นางเข้ามา”

 

 

หร่วนหมิงจูปลาบปลื้มอย่างเหลือล้น “ศิษย์พี่!” นางร้องตะโกนและรีบวิ่งเข้าไปในถ้ำ

 

 

“เฮ้อ…” ท่าทางของนางในตอนนี้ยิ่งทำให้เยี่ยเจินจีรู้สึกงงงวยมากกว่าเดิม นางเป็นใครกัน หลังจากท่านอาจารย์แล้ว ลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่านปรมาจารย์มีเพียงแต่ท่านป้าไม่ใช่หรือ คนผู้นี้ปรากฏตัวออกมาจากที่ใด ถึงได้มาร้องเรียกอาจารย์ของเขาว่า “ศิษย์พี่” กัน

 

 

ทว่า… ในเมื่ออาจารย์ของเขาสั่งการเรียบร้อยแล้ว มันคงจะไม่เหมาะสมหากเขาจะวิจารณ์ในเรื่องนี้ เขาจึงปิดประตูสู่ถ้ำเซียน จากนั้นจึงมุ่งหน้ากลับไปยังห้องโถงอย่างเชื่องช้าและฉุนเฉียว เมื่อใคร่ครวญเรื่องนี้แล้ว เขาไม่ได้กลับไปยังห้องฝึกตนของเขาโดยทันที ทว่าเขากลับนั่งลงที่ข้างเสี่ยวหั่ว ซึ่งกำลังขดตัวม้วนเป็นลูกบอลขณะกำลังฝึกตน และแสร้งทำเป็นว่าเขากำลังดูแลสัตว์วิญญาณตนนี้อยู่

 

 

ความจริงแล้ว เสี่ยวหั่วเป็นสัตว์วิญญาณระดับสามเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น ระดับการฝึกตนของมันจึงยังสูงกว่าเขาด้วย และโดยทั่วไปแล้ว มันไม่ได้ต้องการการดูแลจากเขา ตลอดช่วงเวลานั้น เสี่ยวหั่วจมดิ่งอยู่กับการฝึกตนของมันอีกครั้ง อาจารย์กล่าวว่ามันกำลังจะเพิ่มระดับไปอีกขั้นในไม่ช้า ฉะนั้น เขาจึงยังไม่ได้พาเสี่ยวหั่วกลับไปคืนให้ท่านป้าของเขา

 

 

ประตูสู่ห้องฝึกตนของอาจารย์เขาไม่ได้ปิดสนิท เยี่ยเจินจีจึงตั้งใจเงี่ยหู และพยายามฟังว่าเกิดอะไรขึ้นภายในนั้น

 

 

“ศิษย์พี่!” หร่วนหมิงจูรู้สึกสะเทือนอารมณ์อย่างเต็มเปี่ยม เมื่อได้พบกับฉินซี นางสาวเท้าก้าวไปหาเขาหลายก้าวอย่างรวดเร็ว ดวงตาของนางเป็นมันวาวด้วยหยาดน้ำตา “ศิษย์พี่ ในที่สุด ข้าก็ได้พบท่านอีกครั้ง!”

 

 

ฉินซี ผู้ยังคงอยู่ในท่าฝึกตนเช่นเดิม พลันลืมตาของเขาขึ้น และชำเลืองมองนางอย่างแผ่วเบา “หมิงจู ไม่ว่าจะพิจารณาตามระดับฝึกตนหรือระดับความอาวุโสแล้ว เจ้าควรจะเรียกข้าว่าอาจารย์ลุง หาใช่ศิษย์พี่ไม่”

 

 

หร่วนหมิงจูตะลึงงัน ไม่กี่วินาทีต่อมา ความเศร้าเสียใจปรากฏขึ้นให้เห็นบนใบหน้าของนาง “ทำไมกัน มันไม่ง่ายเลยที่ข้าจะได้กลับมา ทำไมท่านและท่านปรมาจารย์ถึงได้ปฏิบัติกับข้าอย่างเย็นชาเช่นนี้ มันผ่านไปหกสิบปีเต็มแล้ว ท่านทั้งสองยังไม่อาจให้อภัยข้าได้อย่างนั้นหรือ”

 

 

“เรื่องทั้งสองนั้นไม่เกี่ยวข้องกัน” น้ำเสียงของฉินซียังคงแผ่วเบา และแทบจะไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ

 

 

“ในครานั้น เราไม่เคยมองว่าการที่เจ้าเรียกข้าอย่างเป็นกันเองนั้นคือปัญหา เพราะเรายังคงเยาว์วัยนัก ทว่ามันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป พวกเราทั้งสองหาใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไปแล้ว เราควรจะตระหนักรู้ถึงวิธีการปฏิบัติตน”

 

 

“แต่ท่านเป็นศิษย์พี่ของข้าเสมอในใจของข้า!” หร่วนหมิงจูระเบิดโพล่งออกมา “หากไม่ใช่เพราะพ่อข้าเป็นลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์ ฉะนั้นมันจึงไม่เหมาะสมที่ท่านปรมาจารย์จะรับข้าเป็นลูกศิษย์ของเขา พวกเราสองคนก็จะได้เป็นพี่น้องนักสู้แล้ว!”

 

 

“ทว่าความเป็นจริงนั้นดำเนินไปเช่นนี้…” ฉินซีกล่าว “ผ่านมาหกสิบปีแล้ว ทว่าเจ้ากลับยังไม่เข้าใจในสิ่งต่างๆ ไม่แปลกใจเลยที่ท่านอาจารย์ถึงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างเย็นชานัก”

 

 

น้ำเสียงของเขานุ่มนวล ทว่าคำพูดของเขากลับเถรตรง หร่วนหมิงจูจ้องมองเขาด้วยความว่างเปล่า ทว่าทันใดนั้นเอง นางพลันก้มหน้าลงและคร่ำครวญออกมาอย่างขมขื่น

 

 

หลังจากร้องไห้โฮอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงกล่าวระหว่างสะอึกสะอื้นว่า “ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด ข้าไม่เข้าใจเลยว่าข้าทำอะไรผิดไป ทำไมท่านกับท่านปรมาจารย์ถึงได้ปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ ข้าแค่ทำให้ลูกศิษย์ผู้หนึ่งบาดเจ็บเองไม่ใช่หรือ พวกเราไม่ใช่กรณีเดียวที่ต่อสู้กันเองภายในสำนักเสียหน่อย และศิษย์ผู้นั้นก็ไม่เป็นไรในท้ายที่สุด ท่านกับท่านปรมาจารย์… ปล่อยให้ข้าอาศัยอยู่ตามลำพังที่ลานแยกของอวิ๋นกั่ง ที่นั่นช่างห่างไกลเหลือเกิน และบรรดาคนอื่นๆ ล้วนแต่เมินเฉยข้าทั้งนั้น ข้า… ชีวิตของข้าที่นั่นช่างขมขื่นเสียจริง…”

 

 

หากนางร่ำไห้และเล่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ต่อหน้าประมุขเต๋าจิ้งเหอ นางคงจะได้รับคำปลอบโยนเป็นการตอบแทน ทว่าโชคร้ายที่ผู้ซึ่งกำลังฟังนางอยู่ในตอนนี้กลับเป็นฉินซี เขายังคงนิ่งขรึมไร้ซึ่งอารมณ์บนใบหน้าเช่นเดิม ราวกับว่าผู้ที่กำลังร่ำไห้ต่อหน้าเขานั้นเป็นเพียงแค่หุ่นไม้ เฉกเช่นเดียวกันกับเขา

 

 

หลังจากผ่านมาได้ครึ่งทางแล้ว หร่วนหมิงจูไม่อาจร้องไห้ได้ต่อไป นางจึงได้แต่ปาดน้ำตาของนางเสีย จากนั้นนางจ้องเขม็งไปที่เขาด้วยแววตาแดงก่ำ อ้อนวอนอย่างนุ่มนวลว่า “ศิษย์พี่ มันไม่ง่ายสำหรับข้าเลยที่จะกลับมา ห้ามท่านปรมาจารย์ไม่ให้ไล่ข้าไปจะได้ไหม ข้าจะไม่ก่อเรื่องอีกต่อไปแล้ว ข้าจะเชื่อฟังพวกท่านทั้งสองต่อจากนี้ไป ตกลงไหม”

 

 

ฉินซีไม่ตอบ ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น

 

 

หร่วนหมิงจูเฝ้ารออยู่สักพัก ทว่านางไม่อาจอดกลั้นต่อไปได้อีกแล้ว “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ ท่านหลงลืมไปแล้วหรือ ตอนที่ท่านเพิ่งมาถึงใหม่ๆ ท่านเอาแต่เก็บตัวอยู่ที่ด้านหลังภูเขาเสมอ เป็นข้าทุกครั้งที่ออกไปตามหาท่านมาโดยตลอด ก่อนที่ท่านจะยินยอมกลับมาในท้ายที่สุด…”

 

 

เมื่อนางเอ่ยถึงครั้นอดีตขึ้นมาในยามนี้ สายตาของฉินซีพลันหวั่นไหวขึ้นมาในที่สุด เดิมทีหร่วนหมิงจูคิดว่าจิตใจของเขาจะอ่อนโยนขึ้น ทว่านางยังคงได้ยินเสียงอันเย็นชาของข้า “การพูดเรื่องนี้ขึ้นมามีประโยชน์อันใดกัน หากเจ้ายังคงเป็นหมิงจูในตอนนั้น ท่านอาจารย์จะส่งเจ้าไปอยู่ที่ลานแยกตามลำพัง และไม่ยอมให้เจ้ากลับมาถึงหกสิบปีเต็มได้อย่างไร”

 

 

หร่วนหมิงจูตะลึงงัน จากนั้นนางจึงกล่าวอย่างกังวล “ศิษย์พี่ อย่าบอกข้านะว่าตอนนี้ท่านไม่เหลือเยื่อใยให้ข้าแม้แต่น้อยแล้ว เรา… เราเติบโตมาด้วยกันเป็นเวลาเกือบร้อยปี อย่าบอกข้านะว่าท่านไม่เหลือความรักให้ข้าแม้แต่น้อยแล้ว”

 

 

ฉินซีจ้องมองนาง จากนั้นจึงกล่าวอย่างใจเย็น “ข้าบอกเจ้าไปนานแล้ว ข้ามีเพียงแต่ลัทธิเต๋าอันยิ่งใหญ่เท่านั้น สำหรับเรื่องอื่นใดนั้น ข้าคิดว่ามันล้วนแต่ไร้สาระทั้งสิ้น ข้าไม่มีสิ่งที่เจ้าต้องการ ทำไมเจ้าถึงต้องยืนหยัดต่อสิ่งนี้ด้วย”

 

 

“ศิษย์พี่!” หร่วนหมิงจูร้องออกมา จ้องมองท่าทางอันนิ่งสงบไร้ซึ่งอารมณ์ของเขาอย่างมืดแปดด้าน น้ำตาพลันเริ่มพรั่งพรูออกมาจากดวงตาของนาง “ข้า… ข้าไม่ได้กำลังขอให้ท่านตอบสนองข้า ข้าแค่หวังเพียงว่าท่านจะเหมือนดังเช่นแต่ก่อนได้ เรียกข้าด้วยความอบอุ่น ชี้แนะวิธีการฝึกตนให้ข้า พูดคุยกับข้าเมื่อท่านมีเวลาว่าง… ข้าขอมากเกินไปอย่างนั้นหรือ”

 

 

ยามที่นางกล่าวเช่นนั้น หร่วนหมิงจูดูโศกเศร้าโดยสิ้นเชิง ไร้ซึ่งความยโสโอหังหรือความเหนือกว่าผู้ใดปรากฏบนใบหน้าของนาง มีแต่เพียงความเศร้าเสียใจที่ท่วมท้น จากการไม่สามารถบรรลุความปรารถนาของนางได้

 

 

ฉินซีรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ราวกับว่าบางส่วนในกายของเขาถูกเคลื่อนย้ายไป ถึงกระนั้นก็ตาม เขาควบคุมสติอย่างรวดเร็ว และกล่าวอย่างราบเรียบว่า “หมิงจู เจ้าไม่เคยคิดว่าเจ้าผิดเลยอย่างนั้นหรือ”

 

 

หร่วนหมิงจูก้มหน้าลง จากนั้นจึงส่ายหัวด้วยความบูดบึ้ง “ข้าเพียงแต่ทำให้ลูกศิษย์คนหนึ่งบาดเจ็บเท่านั้นไม่ใช่หรือ สำหรับผู้ฝึกคนอย่างพวกเราแล้ว การทำร้ายคนสักหนึ่งหรือสองคนสำคัญตรงไหนกัน ท่านกับท่านปรมาจารย์สังหารผู้คนตั้งมากมายไม่ใช่หรือ ข้าไม่เคย…”

 

 

“นั่นไม่ใช่เพราะเจ้าทำให้ใครบางคนต้องบาดเจ็บ” ฉินซีตัดบทสนทนาของนาง “เพื่อให้ได้มาซึ่งบางสิ่ง คนผู้หนึ่งจำต้องขวนขวายต่อสู้ให้ได้มา หากบางสิ่งไม่อาจได้มา คนผู้นั้นควรจะเปิดใจให้กว้างและล้มเลิกเสีย แต่เจ้า… เมื่อเจ้าคิดว่าเจ้าไม่อาจได้ในบางสิ่ง เจ้ากลับระบายโทสะของเจ้าใส่ผู้อื่น และเจ้ายังกล้าแม้แต่ทำร้ายลูกศิษย์ร่วมสำนักเสียด้วยซ้ำ เจ้าไม่รู้สึกว่าสภาวะจิตใจของเจ้ามันบิดเบี้ยวไปแล้วหรืออย่างไร ท่านอาจารย์ยอมตามใจเจ้ามากเกินไปแล้ว… ยอมตามใจจนถึงขั้นที่เจ้าต้องการไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงกระนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้จะตกอยู่ในกำมือของเจ้าได้อย่างไร หากเจ้าไร้ซึ่งอาจารย์ เจ้าจะได้มาซึ่งสิ่งใดกัน”

 

 

แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะราบเรียบอย่างมาก ทว่าความหมายเบื้องหลังคำพูดของเขาเหล่านี้ ช่างรุนแรงเสียเป็นที่สุด สายตาของเขาที่จ้องมองหร่วนหมิงจูยังไร้ซึ่งความรู้สึกอีกด้วย “หมิงจู ข้าไม่ใช่อาจารย์ ข้าจะไม่สั่งสอนเจ้าว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด แต่ข้ารู้ว่าพวกเราต่างเป็นคนแปลกหน้ากันตั้งแต่แรกเริ่ม และแม้ว่าพวกเราจะเติบโตมาด้วยกัน แต่พวกเราไม่อาจเดินร่วมทางกันไปจนถึงท้ายที่สุดได้ เจ้าไม่ควรยึดติดกับเรื่องนี้อย่างดื้อรั้นอีกต่อไป”