ตอนที่ 279-1 ใจร้อนเกิน

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ขี่อาชาเปี่ยมสุขกลางสายลมวสันต์ เพียงหนึ่งวันชมทิวทัศน์ทั่วฉางอัน

 

 

จอหงวนเซี่ยหมิงผู่ที่ได้รับพระราชทานงานแต่งเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่วัยเยาว์ เช่นนั้น เว่ยจิ่นอวี้ที่ได้ตำแหน่งทั่นฮวาก็อัดอั้นเหลือจะกล่าวแล้ว

 

 

ในสายตาผู้อื่นทั่นฮวาอาจเป็นอันดับที่ดีมากแล้ว เพราะอย่างไรเสียทุกสามปีจึงจะรับข้าราชการสามร้อย สามารถสอบติดอันดับที่สามของทั้งประเทศก็ร้ายกาจมากแล้ว ทว่าจากที่เว่ยจิ่นอวี้มอง นี่กลับเป็นความอัปยศ เดิมเขาก็เป็นอัจฉริยบุคคลที่ชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวงอยู่แล้ว อีกทั้งในการสอบฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วได้เจี่ยหยวนอันดับแรกอีก การสอบฤดูใบไม้ผลิปีนี้เขามุ่งเป้าไปที่จอหงวนอย่างลำพอง

 

 

ไม่คิดว่าไม่เพียงจอหงวนถูกเด็กไร้ชื่อเสียงเรียงนามชิงไป แม้แต่อันดับสองปั๋งเหยี่ยนเขาก็ไม่ได้ ได้แต่อัดอั้นรับตำแหน่งทั่นฮวา จะให้เขาใจสบายได้อย่างไร

 

 

ต่อหน้ามิตรสหายร่วมห้องเรียนที่มาอวยพร เขาได้แต่ฝืนทำร่าเริง พอหันหลังรอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปอย่างไม่เห็นร่องรอยทันที

 

 

ทั่นฮวา ทั่นฮวา ไยถึงไม่ใช่จอหงวนนะ ข้างหน้ามีจอหงวนที่อายุน้อยกว่าความสามารถมากกว่ากดอยู่ ยิ่งกว่านี้บัดนี้ยังเป็นพระราชบุตรเขยขององค์หญิงสามรัชกาลปัจจุบัน ใครยังจะมองเห็นเขาเว่ยจิ่นอวี้อีก เมื่อไรเขาถึงจะเงยหน้าอ้าปากได้ เงยหน้าอ้าปากไม่ได้เขาจะเอาอะไรไปเชิดชูจวนหย่งหนิงโหว หรือว่าจวนหย่งหนิงโหวของเขาต้องอาศัยจมูกจวนหย่งกั๋วกงหายใจไปทั้งชาติ ไม่ เขาไม่ยอม!

 

 

เว่ยจิ่นอวี้หงุดหงิดสุดขีด มักรู้สึกว่าในใจมีไฟมารสายหนึ่งเอาไม่ออก บังเอิญเจอสาวใช้เข้ามาส่งน้ำชา แววตาเขาชะงัก ลากสาวใช้คนนี้เข้ามากดลงบนโต๊ะหนังสือโดยพลัน

 

 

เสิ่นเสวี่ยที่นำสาวใช้มาส่งน้ำแกงบำรุงให้เว่ยจิ่นอวี้ยืนอยู่นอกห้องหนังสือด้วยใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ ฟังเสียงกามคำพูดต่ำช้าที่ดังมาจากในห้องหนังสือ ในแววตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน นางหัวเราะเยาะเสียงหนึ่งแล้วหันหลังจากไป เดิมนึกว่าเป็นคนดี ที่แท้ก็เป็นเพียงหัวเทียนหอกเงิน*ที่เปลือกนอกสุกใส เพียงปีกว่า ความกระตืนรือร้นของเสิ่นเสวี่ยก็มอดหมดแล้ว ใจก็ท้อแท้แล้ว

 

 

รัชทายาทตกม้า ใจของเหล่าขุนนางเริ่มไม่มั่นคงขึ้นมา อย่าว่าแต่พวกที่มุงดู แม้แต่ขุนนางฝ่ายรัชทายาทก็กระวนกระวายใจ รัชทายาทจะฟื้นมาได้หรือไม่ยังเอาแน่ไม่ได้ ต่อให้ฟื้นแล้วจะสามารถฟื้นตัวดังเดิมได้หรือไม่อีก นี่ก็พูดยาก ได้ยินว่าที่รัชทายาทบาดเจ็บคือส่วนศีรษะ ซื่อจื่ออู่อันโหวคนก่อนก็บาดเจ็บที่ศีรษะมิใช่หรือ หลังจากช่วยจนฟื้นแล้วก็เปลี่ยนไปเหมือนเด็ก

 

 

ขุนนางที่เอาใจองค์ชายรองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทว่าองค์ชายรองกลับไม่ได้ได้ใจเพราะการนี้ ตรงกันข้ามกลับยิ่งถ่อมตนเลี่ยงปัญหาขึ้นมา ทุกวันนอกจากไปเยี่ยมรัชทายาทที่ตำหนักบูรพา ก็ไปเข้าเวรที่กรมคลัง เข้าเวรเสร็จก็กลับจวนองค์ชาย และไม่ได้สมาคมกับเหล่าขุนนางมากจนเกินไป การแสดงออกของเขาเช่นนี้ตกไปอยู่ในสายตาใต้เท้าไม่กี่ท่านของคณะเสนาบดีแล้วว่าช่างวางตัวดีปฏิบัติตัวดีน่าชมเชย แม้แต่ฮ่องเต้ยงเซวียนก็พอใจมาก เรียกเขามาปรึกษาราชกิจบ่อยครั้ง

 

 

ฝ่าบาทสอบมาสามวันแล้ว ผู้ติดตามที่ตามรัชทายาทออกนอกเมืองล้วนถูกโบยจนหนังเปิดเนื้อแตก ในที่สุดก็สอบได้คนน่าสงสัยคนหนึ่ง และยังเป็นคนที่ทุกคนนึกไม่ถึง คนผู้นี้ติดตามอยู่ข้างกายรัชทายาทมาเจ็ดปีแล้ว เป็นคนที่ฮองเฮาชีพาเข้าวังมาจากตระกูลชีในตอนนั้น ดูท่าทางจงรักภักดีจึงให้รัชทายาทไว้ ใครจะคิดว่าคนคนนี้จะเป็นสายลับที่ผู้อื่นวางไว้

 

 

ฉวยโอกาสที่ทุกคนกำลังตื่นตะลึง คนผู้นี้กัดลิ้นฆ่าตัวตายเสียแล้ว ทำให้ขุนนางที่พิพากษาโกรธจนเฆี่ยนศพอยู่ครึ่งชั่วยามถึงหายแค้น เบาะแสมาถึงตรงนี้จึงขาดหายไปหมด ลำบากมานานถึงเพียงนี้ยังต้องสืบใหม่ตั้งแต่ต้นอีก จะไม่ให้คนอัดอั้นตันใจได้อย่างไร

 

 

“ท่านเสนาบดี สวรรค์ช่างเข้าข้างเราจริงๆ!” ใต้เท้าฟังจ้งนั่งอยู่ในห้องหนังสือของเสนาบดีฉิน สีหน้าชื่นชมยินดี ในใจทอดถอนใจว่า ‘อย่างไรก็องค์ชายรองโชคดี ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น รัชทายาทก็ตกม้า ผ่านไปสามวันแล้ว โอกาสที่รัชทายาทจะฟื้นน้อยเหลือเกิน’

 

 

เสนาบดีฉินลูบหนวดยิ้มว่า “ยิ่งเป็นเวลาเช่นนี้ยิ่งต้องรอบคอบ เตือนคนข้างล่าง สงบเสงี่ยมหน่อย ให้ทำงานไปแต่โดยดี”

 

 

ฟังจ้งใจสั่นว่า “ขอรับ ข้าน้อยเข้าใจ” เขาไม่ได้ยอมรับแผนการของเสนาบดีฉินอย่างเต็มที่ ตาเป็นประกายแล้วพูดต่อว่า “เช่นนั้นที่เราเตรียมการไว้ตอนแรกยังจะทำต่อหรือไม่ขอรับ”

 

 

เสนาบดีฉินยิ้ม ส่ายหน้าว่า “ช่างเถอะ รามือเถอะ”

 

 

ฟังจ้งพยักหน้า ก่อนหน้านี้พวกเขาเตรียมการจะสร้างเรื่องในการสอบฤดูใบไม้ผลิ หากปูดออกมาว่าการสอบฤดูใบไม้ผลิมีทุจริตหรือมีข้อสอบรั่ว เช่นนั้นซ่างซูฝ่ายพิธีการในฐานะผู้คุมสอบต้องถูกลงโทษอย่างหนักแน่ กระทั่งยังพัวพันไปถึงรัชทายาท บัดนี้รัชทายาทตกม้าหมดสติ พวกเขาย่อมไม่ต้องวางอุบายกับการสอบฤดูใบไม้ผลิอีก กลับทำให้ตาเฒ่าฝ่ายพิธีการนั่นรอดเคราะห์ไปได้

 

 

ส่งฟังจ้งไปแล้ว เสนาบดีฉินอารมณ์ดีนัก ความซึมเศร้าที่ผู้ลี้ภัยบุกเข้าจวนถูกกวาดจนเกลี้ยง เขาเอามือไพล่หลังเดินเข้าห้องลับในห้องหนังสือ “ท่านเฉิงอ๋องช่วงนี้อยู่คุ้นเคยหรือไม่” ที่แท้เสนาบดีฉินย้ายอ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้ไปไว้ในห้องลับในห้องหนังสือแล้ว

 

 

“ดูท่าทางเจ้าทำเรื่องชั่วช้าอะไรอีกแล้วกระมัง” เฉิงอี้แค่นเสียงเย็นทีหนึ่ง “หากย้ายป้ายวิญญาณของบิดาที่น่าขยะแขยงของเจ้าออกไปข้าจะอยู่สบายยิ่งกว่านี้” ฉินเฮ่อก็คือคนถ่อยเจ้าเล่ห์ตั้งแต่ต้นจนจบ ไยเขาถึงตาบอดเป็นสหายสนิทกับเขามาตั้งหลายปีปานนั้นจนทำให้ถูกลอบกัดถูกคุมขังอยู่ในห้องลับในจวนเสนาบดีที่มืดมิดไร้ตะวันแห่งนี้

 

 

เสนาบดีฉินไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มบนใบหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลย “เช่นนั้นต้องขออภัยด้วยจริงๆ บิดาข้ายังชอบอยู่ด้วยกันกับท่านเฉิงอ๋อง” หยุดครู่หนึ่งเขาพูดอีกว่า “วันนี้ข้ามีข่าวดีมาแบ่งปันกับท่านเฉิงอ๋อง รู้หรือไม่ รัชทายาทตกม้าแล้ว นี่ผ่านไปสามวันแล้วยังไม่ฟื้น ได้ยินว่าบาดเจ็บที่ศีรษะ เห็นสีหน้าของฝ่าบาทแล้ว เกรงว่ารัชทายาทคราวนี้จะร้ายมากกว่าดี” เมื่อนึกถึงตรงนี้เขาก็อารมณ์ดีอย่าบอกใคร เพื่อวันนี้เขาเตรียมการมาตั้งหลายปี ไม่คิดว่าจู่ๆ ทุกอย่างก็มาถึงมือเขาแล้ว

 

 

“อ้อถูกแล้ว รัชทายาทที่ตกม้าคนนี้ไม่ใช่หลานตาของท่านคนนั้นหรอกนะ รัชทายาทองค์ปัจจุบันคือองค์ชายสี่ เกิดจากฮองเฮาตระกูลชี ตาแก่ชีจิ้นซงนั่นท่านยังจำได้สินะ ฮองเฮาชีก็คือบุตรสาวของเขา” เสนาบดีฉินอธิบายอย่างใจดี “ชีจิ้นซงตาแก่นี่ยังมีโชคอยู่บ้างจริงๆ ไม่มีความสามารถ ไม่มีฝีมือ เป็นคนใจเสาะกลัวปัญหา เขาดันได้เป็นพระสัสสุระของฝ่าบาท ท่านว่าจะจะกล่าวอันใดได้ ทว่าบัดนี้โชคดีของเขาถึงสุดทางแล้ว ควรเปลี่ยนตระกูลฉินของข้าลิ้มรสชาตินั้นบ้างแล้ว”

 

 

เฉิงอี้เบือนหน้าไปข้างๆ ขี้เกียจสนใจเขา

 

 

เสนาบดีฉินหัวเราะคิกคัก ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย หากแต่พูดว่า “องค์ชายใหญ่หลานตาของท่านถูกฝ่าบาทปล่อยออกมาแล้ว ท่านไม่เห็น เพิ่งจะอายุต้นสามสิบแท้ๆ แก่อย่างกับอายุสี่สิบอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งยังผอมจนเหลือแต่กระดูก ช่างน่าสงสาร ทว่าท่านเฉิงอ๋องท่านวางใจได้ องค์ชายใหญ่อย่างไรเสียก็เป็นพระเชษฐาขององค์ชายรอง ข้าจะดูแลเขาอย่างดีเอง ท่านว่าถูกหรือไม่ หา ฮ่าๆๆ” มองไปที่สายตาโกรธเกรี้ยวของเฉิงอี้ เสนาบดีฉินหัวเราะอย่างลำพอง

 

 

“รัชทายาทตกม้าเป็นฝีมือของเจ้าสินะ” เฉิงอี้เผยสีหน้าเข้าใจแจ่มแจ้ง

 

 

“ยังคงเป็นท่านเฉิงอ๋องที่มีประสบการณ์!” เสนาบดีฉินเปิดอกยอมรับอย่างไม่คาดคิด “นี่เพราะรัชทายาทรนหาที่ตายเอง ตำหนักบูรพาดีๆ ไม่อยู่ จะออกไปล่าสัตว์นอกเมืองให้ได้ โอกาสลงมือดีเช่นนี้ข้าจะปล่อยไปได้อย่างไรกัน” แม้เพราะการนี้จะทำให้สูญเสียหมากที่ฝังลึกไว้หลายปี ทว่าเขายังคงรู้สึกว่าคุ้มค่ามาก รัชทายาทจบเห่แล้ว ต่อจากนี้ควรให้ตระกูลฉินของเขาแต่งตัวออกโรงแล้ว!

 

 

“สวรรค์มีตา ฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์เจ้าทำร้ายบุตรฮ่องเต้ ต้องเจอกรรมตามสนอง” ตาของเฉิงอี้สว่างจนน่ากลัว

 

 

ที่ตอบเขาคือเสียงหัวเราะร่าของเสนาบดีฉิน “กรรมตามสนอง! ข้ารออยู่” ไม่เคยได้ยินหรือว่าคนดีอายุไม่ยืน คนชั่วอยู่ค้ำฟ้า ในโลกนี้มีกรรมตามสนองอะไรที่ไหน มีเพียงอำนาจที่เป็นของจริง อำนาจอันสูงสุด!

 

 

สุดท้ายรัชทายาทยังคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้ เหล่าหมอหลวงรวบรวมสติปัญญาใช้วิธีการทุกอย่างยังคงไม่อาจช่วยชีวิตเขากลับมาได้ ล่าช้าอยู่ครึ่งเดือน รัชทายาทยังคงจากไปจนได้

 

 

ฮองเฮากอดร่างของรัชทายาทราวกับคนบ้าไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ “ไสหัวไป ไสหัวไปให้หมด รัชทายาทเพียงแค่หลับไปเท่านั้น ห้ามพวกเจ้าแตะต้องรัชทายาท”

 

 

ไม่ว่านางกำนัลขันทีกล่อมอย่างไร ฮองเฮาก็ไม่ยอมให้ใครแตะต้องศพของรัชทายาท สุดท้ายยังคงเป็นฮ่องเต้ยงเซวียนเสด็จมา ฝืนทนความเศร้าโศกในใจเกลี้ยกล่อมว่า “จื่อถง รัชทายาทจากไปแล้ว อย่างไรก็ให้เขาได้ฝังศพสู่สุคติเถอะ” ในใจเขาเองก็เสียใจมาก นี่คือรัชทายาทของเขา เป็นรัชทายาทที่เขาสั่งสอนมากับมือ จากไปทั้งอย่างนี้แล้ว ยังไม่ถึงยี่สิบก็จากไปแล้ว เขาจะไม่ปวดใจได้อย่างไร

 

 

ในโลกนี้ที่น่าเศร้าโศกที่สุดก็คือคนผมหงอกส่งคนผมดำ ฮ่องเต้ยงเซวียนเป็นกษัตริย์ ทว่าเขาก็เป็นบิดาคนหนึ่งเช่นกัน

 

 

ฮองเฮาร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวดว่า “ฝ่าบาท บุตรของเรา รัชทายาทของเรานะ!” นางราวกับหมาป่าเฒ่าที่สูญเสียลูกไป โทมนัสถึงขีดสุด แก่ลงสิบปีในชั่วพริบตา

 

 

“ฝ่าบาท ท่านต้องแก้แค้นให้รัชทายาทให้ได้นะเพคะ! รัชทายาทตายอย่างอนาถ น่าแค้นใจนัก!” ฮองเฮาแหงนหน้าที่นองด้วยน้ำตาวิงวอน ในดวงตาเต็มไปด้วยความแค้น

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนตบหลังนางว่า “จื่อถงวางใจ รัชทายาทเป็นบุตรชายของข้าเช่นกัน ข้าจะไม่ปล่อยคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังไปเด็ดขาด” ตั้งแต่ปีที่แล้วเสิ่นผิงยวนกลับเมืองหลวง ในราชสำนักก็เกิดเรื่องติดๆ กัน ราวกับมีมือข้างหนึ่งชักใยทุกอย่างอยู่ในความมืด ข้างเตียงของตนจะยอมให้ผู้อื่นมานอนกรนได้อย่างไร**เขาต่างหากเป็นกษัตริย์แห่งต้ายง จะให้เขาทนต่อไปได้อย่างไร

 

 

ทันทีที่ข่าวรัชทายาทลือออกไป เสิ่นเวยก็ได้รับข่าวสองข่าว ข่าวหนึ่งส่งมาจากหลี่จื้อหย่วนฝ่ายตรวจการ ข่าวหนึ่งส่งมาจากเจียงเฉิน เจียงเฉินบัดนี้ไม่อยู่สำนักราชบัณฑิตหลวงแล้ว ถูกย้ายไปทำงานหน้าพระที่นั่ง สองข่าวนี้พูดถึงเรื่องเดียวกัน

 

 

“คนบางคนนั่งไม่ติดแล้ว” เสิ่นเวยยื่นกระดาษสองแผ่นให้เสิ่นโย่ว

 

 

เสิ่นโย่วรับกระดาษมาดู แล้วพูดนิ่งเรียบว่า “นั่นสิ คนบางคนใจร้อนเกินไปแล้ว”

 

 

วันก่อนฝ่าบาทเพิ่งให้องค์ชายใหญ่ไปรับหน้าที่ที่กรมข้าราชการพลเรือน วันนี้ก็ได้รับข่าวบอกว่ามีขุนนางยื่นฎีการ้องเรียนผิงจวิ้นอ๋องรวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตน

 

 

รวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตน รวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตนงั้นหรือ! เพราะว่ากองทหารเด็กช่วยต่อต้านผู้ลี้ภัย จวนต่างๆ จึงมาเยือนเพื่อขอบคุณมิใช่หรือ นี่ก็เป็นการรวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตนแล้วหรือ หรือเห็นว่าองค์ชายใหญ่ออกมารับราชการแล้ว นั่นก็เพราะพระชายาองค์ชายใหญ่ให้กำเนิดพระราชนัดดาองค์หนึ่ง อีกทั้งฝ่าบาทก็ให้ความสำคัญมากอีกมิใช่หรือ มิใช่เพราะสวีโย่วและองค์ชายใหญ่มีความสัมพันธ์อันดีหรอกหรือ องค์ชายใหญ่เพิ่งรับตำแหน่ง ไม่มีจุดอ่อนใดๆ ให้จับ จึงคว้าสวีโย่วลูกพลับอ่อนลูกนี้ไว้มิใช่หรือ เสิ่นเวยเย้ยหยันในใจ

 

 

คาดว่าในใจฮ่องเต้ยงเซวียนก็รู้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นฎีกาที่ร้องเรียนล้วนถูกเก็บไว้ หวังว่าปลวกพวกนี้จะเจียมตัว อย่ากระโดดโลดเต้นอีกเลย มิเช่นนั้นนางจะให้พวกเขาได้เห็นดีแน่!