ตอนที่ 279-2 ใจร้อนเกิน

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

งานพิธีศพของรัชทายาทย่อมมีกรมพิธีการจัดการ ฮองเฮาทุกข์ทนจากการสูญเสียบุตรรัก ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก จึงล้มป่วยทันที ในฐานะสมาชิกเชื้อพระวงศ์เสิ่นเวยย่อมต้องเข้าวังไปเยี่ยม

 

 

ยามที่เสิ่นเวยไปถึงตำหนักคุนหนิง บังเอิญฮ่องเต้ยงเซวียนก็อยู่ เสิ่นเวยเข้าไปถวายพระพรอย่างว่าง่าย นางมองดูสีหน้าทรุดโทรมของฮองเฮาแล้ว ในใจสะท้อนใจยิ่งนัก ยามนี้ในปีที่แล้วฮองเฮายังจูงมือนางล้อเล่นอย่างสนิทสนม ยามนั้นสีหน้าของฮองเฮาดีเพียงใด บัดนี้ทั่วร่างกายฟุ้งไปด้วยกลิ่นอายของความท้อแท้ เหมือนยายเฒ่าไม้ใกล้ฝั่ง

 

 

“ฮองเฮา ท่านต้องรักษาพระวรกายนะเพคะ! ดูท่านผ่ายผอมจนเป็นเช่นนี้ ท่านเสวยให้มากหน่อยนะเพคะ!” เสิ่นเวยดวงตาแฝงความห่วงใย แม้นางไม่ได้รู้สึกดีกับฮองเฮาอย่างลึกซึ้งมากนัก ทว่าไม่ว่าจะเล่นละครหรือว่ามีจุดประสงค์อื่น อย่างน้อยฮองเฮาก็ประทานรางวัลให้นางหลายครั้ง เทียบกับฉินซู่เฟยที่กระแนะกระแหนนางตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน ฮองเฮาน่ารักกว่ามาก ยิ่งกว่านั้นสตรีที่สูญเสียบุตรมักน่าเห็นใจ ดังนั้นความห่วงใยของเสิ่นเวยไม่เสแสร้งเลยแม้แต่น้อย

 

 

ฮองเฮาย่อมรู้สึกได้ถึงความจริงใจของเสิ่นเวย จึงพูดอย่างซาบซึ้งว่า “เด็กดี ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี” หลายวันมานี้คนที่มาเยี่ยมนางที่ตำหนักคุนหนิง นอกจากญาติสตรีของตระกูลชี มีคนไหนบ้างไม่ได้มาเพื่อเอาหน้า พวกนางปากพูดได้น่าฟัง ในใจยังไม่รู้ว่าหัวเราะเยาะนางอย่างไรเลย โดยเฉพาะฉินซู่เฟยนางคนต่ำช้านั่น ความลำพองใจที่อยู่ลึกเข้าไปในดวงตาปิดก็ปิดไม่มิด

 

 

มีเพียงจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ แม่นางน้อยที่เติบโตในชนบทจริงใจที่สุด คนพวกนั้นแทบอยากให้ตนไม่กินไม่ดื่ม รีบตายๆ ไปเสียจะได้ขยับตำแหน่งให้ซ้ำ

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนที่อยู่ข้างๆ จู่ๆ ก็พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “จยาฮุ่ย เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคนร้องเรียนผิงจวิ้นอ๋องรวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตน”

 

 

เสิ่นเวยแอบกลอกตา จากนั้นทำท่าทางเหมือนประหลาดใจอย่างหาใดเปรียบมิได้ว่า “อะไรนะเพคะ รวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือ ฝ่าบาท ขุนนางท่านใดตาบอดเช่นนี้ ใบหน้าเย็นชาที่กีดกันคนให้ห่างออกไปพันลี้ของคุณชายใหญ่ของหม่อมฉันจะรวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตนได้อย่างไร เขานอกจากสนิทชิดเชื้อกับองค์ชายใหญ่เล็กน้อยเนื่องด้วยมิตรภาพในวัยเยาว์ แม้แต่พี่น้องในจวนอ๋องเชื้อพระวงศ์บ้านอื่นเขายังไม่ค่อยสนิทเลย เขาจะไปรวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตนกับใครเพคะ”

 

 

หยุดครู่หนึ่ง ทำปากเบ้พูดอย่างน้อยใจเหลือเกินว่า “ฝ่าบาท คุณชายใหญ่หม่อมฉันรวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือไม่ท่านทรงรู้ดีที่สุดมิใช่หรือเพคะ ก่อนหน้านี้เขาล้มป่วยไปหนึ่งเดือน บัดนี้ร่างกายเพิ่งดีขึ้นเล็กน้อย ประตูจวนยังไม่ได้ออกก็รวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตนแล้ว ฝ่าบาท ท่านบอกจยาฮุ่ย แท้จริงแล้วเป็นใต้เท้าท่านใด หรือว่าใต้เท้าพวกใด”

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนมองเหล่ว่า “ทำไมหรือ เจ้าคิดจะไปคิดบัญชีย้อนหลังถึงบ้านหรือ” เรื่องเช่นนี้เด็กแก่นผู้นี้นี่ทำได้แน่นอน

 

 

เสิ่นเวยมีเหตุผลเต็มประดาว่า “นี่เป็นเรื่องกุขึ้นชัดๆ นี่พวกเขาสร้างเรื่องรำคาญใจให้คุณชายใหญ่หม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ หากทำให้คุณชายใหญ่โกรธจนล้มป่วยอีกจะทำอย่างไร จยาฮุ่ยย่อมต้องไปเยือนถึงบ้านถามพวกเขาว่ามีจุดประสงค์อันใดกันแน่”

 

 

ฮ่องเต้กระแอมทีหนึ่ง พูดอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติว่า “เหลวไหล! ร้องเรียนเป็นหน้าที่ของขุนนางตรวจการ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าทำเหลวไหลหรอก!”

 

 

เสิ่นเวยบุ้ยปาก พยายามถกด้วยเหตุผล “เช่นนั้นก็มิอาจพูดเหลวไหลได้นะเพคะ! ขุนนางตรวจการมีไว้ทำอะไร ชี้ข้อผิดพลาดเพื่อให้แก้ไข สังเกตวาจาการกระทำของเหล่าขุนนาง ไม่ใช่ให้พวกเขาเอาอำนาจในมือหาประโยชน์ใส่ตนนะเพคะ ฝ่าบาท ท่านเข้าใจนิสัยของคุณชายใหญ่หม่อมฉันดีที่สุด อย่างน้อยเขาก็เป็นพระราชนัดดาแท้ๆ ของท่าน อีกทั้งเพิ่งหายจากป่วยหนักมาหมาดๆ ท่านต้องดูแลเอาใจใส่สักหน่อยนะเพคะ อย่าให้พวกตัวตลกพวกนั้นทำเขาโกรธนะเพคะ” เสิ่นเวยร้องขออย่างเศร้าหมอง

 

 

หันหน้าไปร้องขอความเป็นธรรมกับฮองเฮา “ฮองเฮา ท่านเห็นหรือไม่เพคะ คุณชายใหญ่หม่อมฉันเป็นคนจริงใจเพียงใด! โลกนี้ก็ดันมีคนถ่อยที่เห็นคนอื่นดีไม่ได้ วันๆ เอาแต่หากระดูกในไข่ไก่ กระโดดขึ้นกระโดดลงไม่อยู่สุข คุณชายใหญ่หม่อมฉันเพิ่งอยู่อย่างสงบสุขได้กี่วันเองก็ถูกเพ่งเล็งแล้ว ท่านว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่เพคะ!”

 

 

ร้องขอความเป็นธรรมเสร็จ ต่อมาเปลี่ยนเรื่องพูดทันที “ดังนั้นฮองเฮาท่านต้องทำพระทัยให้สบาย ควรเสวยให้มาก ควรดื่มให้มาก เสวยดีดื่มดีบรรทมดีอารมณ์ดี พระชนมายุยืนร้อยปี ให้พวกที่รอดูเรื่องตลกของท่านโกรธจนกระทืบเท้า หากท่านเศร้าโศกเสียพระทัยเหยียบย่ำพระวรกายตนเอง คนถ่อยพวกนั้นก็จะได้ใจมิใช่หรือเพคะ ฮองเฮา เราจะทำเรื่องโง่ๆ เช่นญาติมิตรเจ็บปวดผู้มีแค้นสะใจ***เช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ!” เสิ่นเวยยุแยงได้ถนัดมือนักเชียว

 

 

คำพูดนี้จี้ใจดำฮองเฮา นางตบมือเสิ่นเวยว่า “เด็กดี เจ้าพูดได้ถูกต้อง เมื่อก่อนข้าคิดพลาดไปแล้ว ข้าต้องมีชีวิตต่อไปดีๆ อายุยืนร้อยปี ข้าต้องอยู่ดูพวกคนต่ำช้าที่หัวใจเน่าเฟะพวกนั้นว่าจะมีจุดจบเช่นไร”

 

 

เสิ่นเวยเห็นด้วยว่า “ใช่เพคะ ฮองเฮาคิดเช่นนี้ก็ถูกแล้ว แต่โบราณมาธรรมะย่อมชนะอธรรม ภูตผีปีศาจทั้งหลายสุดท้ายต้องถูกจำกัด” แล้วโบกกำปั้นเล็กๆ ท่าทางเหมือนเคียดแค้นศัตรูคนเดียวกัน

 

 

นี่ทำให้ฮองเฮายิ่งมองนางยิ่งรู้สึกเจริญตา จยาฮุ่ยจวิ้นจู่แม้เติบโตในชนบท กลับมีจิตใจที่เที่ยงธรรมบริสุทธิ์ เทียบกับคุณหนูตระกูลใหญ่ที่เสแสร้งในเมืองหลวงพวกนั้นแล้วดีกว่ามาก ยิ่งกว่านั้นคำพูดของจยาฮุ่ยจวิ้นจู่นี้แม้คำพูดหยาบแต่เหตุผลไม่หยาบ เรื่องก็เป็นเช่นนี้จริงๆ มิใช่หรือ

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนดูอยู่ข้างๆ จนอยากเบ้ปาก เจ้าเสิ่นซื่อคนนี้ ดูปากนางสิ! หากเขารู้ความคิดในใจของฮองเฮา ต้องถลึงตาจนกลมโต ท่าทางเหมือนเห็นผีแน่ๆ ‘จิตใจเที่ยงธรรมบริสุทธิ์ รีบล้วงออกมาดูหน่อย ว่าหัวใจของเจ้าเสิ่นซื่อยังเป็นสีแดงหรือเปล่า’

 

 

ฎีกาของสวีโย่วถูกฮ่องเต้ยงเซวียนเก็บไว้ ท่าทีของกษัตริย์เช่นนี้ชัดเจนมากมิใช่หรือ ทว่าคนบางคนกลับตาบอด นอกจากเห็นลาภยศสรรเสริญแล้ว ก็ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น อย่างไรพวกเขาก็ไม่ตายใจ ส่งฎีการ้องเรียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วยังร้องเรียนต่อหน้ายามว่าราชการเช้า ท่าทางพูดจาฉะฉานมีเหตุผลเสียเต็มประดาเช่นนั้น ราวกับใต้หล้ามีขุนนางมือสะอาดเพียงเขาคนเดียว

 

 

สวีโย่วแม้แต่เปลือกตาก็ไม่ยกสักที ฮ่องเต้ยงเซวียนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็สีหน้าไร้อารมณ์เช่นกัน ทำจนขุนนางที่อยู่ด้านล่างกระสับกระส่าย ที่จริงฮ่องเต้ยงเซวียนถอนใจอยู่ใน เรื่องนี้โทษข้าไม่ได้ เพราะพวกเจ้ารนหาที่ตายเอง จยาฮุ่ยจวิ้นจู่เป็นคนคุยด้วยง่ายๆ เช่นนั้นหรือ

 

 

ดังนั้น ต่อจากอาละวาดห้องทรงอักษรแล้ว เสิ่นเวยก็เลื่องชื่อในเมืองหลวงอีกครั้ง

 

 

ที่จริงนางก็ไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่พากองทหารเด็กในจวนขัดขวางขุนนางที่ร้องเรียนคุณชายใหญ่ของนาง ซ้อมพวกเขาจนน่วมยกหนึ่ง ซ้อมไปถามไปว่า “ท่านร้องเรียนคุณชายใหญ่ข้ามีหลักฐานหรือไม่ มาๆๆ ลองมาคุยกับข้าก่อน เขารวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตนกับใครบ้าง”

 

 

“อะไรนะ ท่านว่าระยะนี้หน้าจวนนผิงจวิ้นอ๋องรถม้าไปมาคับคั่ง เพราะอะไรรถม้าถึงไปมาคับคั่งท่านไม่รู้หรือ นี่ท่านแกล้งโง่ชัดๆ ไม่ใช่หรือ คนเลอะเลือนอย่างท่านยังเป็นขุนนางได้หรือ รีบกลับบ้านไปอุ้มลูกเถอะ”

 

 

“ตายจริง นี่ไม่ใช่ผู้ตรวจการหลี่หรือ คนอื่นไม่เข้าใจสถานการณ์ท่านต้องเข้าใจอยู่แล้วใช่หรือไม่ ฮูหยินท่านก็มาขอบคุณที่จวนผิงจวิ้นอ๋องแล้วมิใช่หรือ หรือว่าคุณชายใหญ่ข้ารวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตนกับท่าน ท่านร้องเรียนเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

 

 

“เห็นคุณชายใหญ่เราเป็นลูกพลับอ่อนหมดสินะ ข้าจะบอกพวกท่านไว้ หากทำให้คุณชายใหญ่ข้าโกรธจนเป็นอะไรไป ข้าก็จะไปพังบ้านพวกท่าน ใครทำให้ข้าไม่สบายใจ เช่นนั้นทุกคนก็อย่าคิดจะได้อยู่อย่างเป็นสุขเลย”

 

 

เสิ่นเวยขู่กรรโชกอย่างหนัก กองทหารเด็กเหวี่ยงกำปั้นอยู่ข้างๆ อย่างมีความสุข เหวี่ยงหาคนที่เนื้อมากโดยเฉพาะ เจ็บหนักเจ็บภายในนั้นเป็นไปไม่ได้ ทว่ารับรองท่านได้เจ็บแน่นอน

 

 

ซ้อมเสร็จเสิ่นเวยก็พาคนจากไปอย่างสง่าผ่าเผย ขุนนางที่ถูกซ้อมกลับจวนด้วยใบหน้าที่บวมเป็นหัวหมู ทั่วทั้งจวนตกใจจนพูดไม่ออก หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว นายหญิงของแต่ละบ้านโกรธแทบแย่ ด่าทอจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ยกใหญ่ไปตามกัน

 

 

ผู้ตรวจการหลี่พลางร้องไอหยาไอหยา พลางกระทืบเท้า “ไร้เหตุผลสิ้นดี ไร้เหตุผลสิ้นดี จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นี้ผยองเกินไป พรุ่งนี้ข้าจะยื่นฎีการ้องเรียนนาง” ไอหยา ลงมือช่างโหดเ**้ยมจริงๆ เจ็บจะตายอยู่แล้ว

 

 

หลี่ฮูหยินที่ใส่ยาให้เขาอยู่โกรธจนหยิกที่เอวเขาทีหนึ่งว่า “ท่านหุบปากนะ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ก็ดุดันเช่นนี้อยู่แล้ว ท่านไปตอแยนางทำอะไร”

 

 

ผู้ตรวจการหลี่โวยวายว่า “ข้าตอแยนางที่ไหนเล่า” ผู้ตรวจการหลี่น้อยใจมยิ่งนัก คนดุดันเช่นนั้น แม้หลบเขายังแทบไม่ทันเลย

 

 

หลี่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เช่นนั้นท่านร้องเรียนผิงจวิ้นอ๋องทำอะไร จวนเขาเพิ่งช่วยเราไว้ ท่านกลับถือดี ยังร้องเรียนเขา นี่มิใช่ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นหรือ ถูกซ้อมนี่ยังเบา” หลี่ฮูหยินก็เป็นคนดุดัน มิเช่นนั้นเรือนด้านหลังตระกูลหลี่จะมีนางใหญ่เพียงคนเดียวได้อย่างไรกัน

 

 

ผู้ตรวจการหลี่โกรธจนได้แต่แค่นเสียง ฮึ “เรื่องในราชสำนักสตรีอย่างเจ้ารู้อะไร”

 

 

หลี่ฮูหยินโยนยาใส่มือสาวใช้ แล้วชี้จมูกผู้ตรวจการหลี่ด่ากราดว่า “สตรี ข้าเป็นสตรียังรู้เหตุรู้ผลยิ่งกว่าขุนนางราชสำนักอย่างท่าน! ข้าว่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ก็ควรซ้อมท่านให้หนักสักยก จะให้ดีต้องซ้อมจนท่านตาสว่าง เรื่องเน่าๆ ในราชสำนักพวกนั้นข้าไม่มีสิทธิ์ยุ่ง นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไปท่านก็ลาป่วยอยู่บ้านรักษาอาการบาดเจ็บ เรื่องน่ากวนใจพวกนั้นยุ่งให้มันน้อยหน่อย”

 

 

ทว่าผู้รู้เหตุรู้ผลเช่นหลี่ฮูหยินนี้อย่างไรเสียก็มีไม่มาก คนส่วนใหญ่ล้วนแค้นจยาฮุ่ยจวิ้นจู่จนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดังนั้นวันที่สองคนที่ถูกร้องเรียนในท้องพระโรงจึงกลายเป็นจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ โทษฐานเย่อหยิ่งโอหัง ทำร้ายขุนนางราชสำนัก

 

 

 

 

 

*หัวเทียนหอกเงิน หมายถึง หัวหอกที่นึกว่าเป็นเงินแท้ที่แท้ก็ทำจากเทียน ใช้เปรียบเปรยว่า ภายนอกดูสวยงาม เป็นของดีมีคุณค่า แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ของดีมีคุณค่าอย่างที่คิด ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง

 

 

**ข้างเตียงของตนจะยอมให้ผู้อื่นมานอนกรนได้อย่างไร อุปมาว่า ไม่ให้คนอื่นเข้ามารุกรานอาณาเขตผลประโยชน์ของตัวเอง

 

 

***ญาติมิตรเจ็บปวดผู้มีแค้นสะใจ หมายถึง การทำอะไรให้คนกันเองเสียใจ ศัตรูสะใจ