ตอนที่ 280-1 สหายร่วมทีมเยี่ยงหมู

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ในตำหนักจินหลวน ขุนนางที่ถูกเสิ่นเวยซ้อมอย่างหนัก นอกจากผู้ตรวจการหลี่ที่ถูกฮูหยินบังคับให้ลาป่วยอยู่บ้าน ล้วนติเตียนจยาฮุ่ยจวิ้นจู่อย่างโกรธแค้นว่าไม่เห็นกฎหมายในสายตาทำร้ายขุนนางราชสำนัก พร้อมใบหน้าที่บวมเป็นหัวหมูอย่างน่าอนาถเกินกว่าจะทนดูได้

 

 

เหล่าขุนนางทั่วท้องพระโรงมองดูใบหน้าที่น่าดูชมของพวกเขาแล้ว ในใจเห็นใจเหลือเกิน ไอหยา ทั่วเมืองหลวงมีใครไม่รู้บ้างว่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่เป็นคนที่ทั้งก๋ากั่นทั้งถือหางให้ท้ายพวกตน คราวที่แล้วเนื่องด้วยเรื่องที่ผิงจวิ้นอ๋องถูกขังในศาลราชวงศ์ นางยังกล้าอาละวาดถึงห้องทรงอักษร พวกเจ้าไม่มีตาถึงกล้าร้องเรียนผิงจวิ้นอ๋อง นางไม่ถือดาบไปฟันเจ้าทั้งบ้านก็ถือว่ายั้งมือไว้ไมตรีแล้ว

 

 

มิหนำซ้ำยังมีขุนนางที่เคยถูกผู้ตรวจการที่เหมือนหมัดพวกนี้ร้องเรียนมาก่อนในใจยิ่งแอบสะใจ ฮึ วันๆ เอาแต่อยู่ไม่สุข เห็นคนนี้ขัดตา หาเรื่องคนนั้น ในไข่ไก่ยังหากระดูกออกมาได้ ปากยังกับสตรี เรื่องเล็กๆ ก็ถูกพวกเขาขยายจนใหญ่กว่าฟ้าอีก น่ารำคาญเหลือเกิน บัดนี้เตะถูกของแข็งแล้วสินะ สมน้ำหน้า ก็ควรให้คนเช่นจยาฮุ่ยจวิ้นจู่มาจัดการพวกเขา จะได้ไม่มาทำตัวน่ารำคาญทั้งวัน

 

 

แน่นอนว่ามีขุนนางบางส่วนเห็นว่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ทำเกินไป นี่มิใช่การถกเถียงกันระหว่างสตรีเสียหน่อย ทำร้ายขุนนางราชสำนักเท่ากับไม่เห็นราชสำนักในสายตาไม่ใช่หรือ ในใจแม้ไม่พอใจ กลับไม่มีคนลุกขึ้นพูดแม้แต่คนเดียว อย่างไรเสียคนที่ถูกซ้อมก็ไม่ใช่ตน เรื่องไม่เกี่ยวกับตนก็อย่าไปสนใจ ตัวอย่างครั้งก่อนยังอยู่ตรงนั้นอยู่เลย จยาฮุ่ยจวิ้นจู่น่าล่วงเกินหรือ คำพูดของนักปราชญ์ไม่ผิดจริงๆ ‘สตรีและคนถ่อยเลี้ยงยาก’ พวกเขาไม่อยากซ้ำรอยเท้าของหน้าหัวหมูหรอกนะ

 

 

หน้าหัวหมูหน้าหนึ่งในนั้นยิ่งพูดยิ่งโมโหว่า “กระหม่อมเป็นผู้ตรวจการ ร้องเรียนขุนนางเป็นหน้าที่ของกระหม่อม จยาฮุ่ยจวิ้นจู่อาศัยอำนาจแก้แค้นส่วนตัวเช่นนี้มีเหตุผลอันใด จยาฮุ่ยจวิ้นจู่คือจวิ้นจู่เชื้อพระวงศ์ กลับไม่มีลักษณะสง่างามใจกว้างของเชื้อพระวงศ์ ดูจากคำพูดและพฤติกรรมก็คือหญิงปากร้ายนั่นเอง กระหม่อมขอฝ่าบาทโปรดตัดสินให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“ขอฝ่าบาทโปรดตัดสินให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” หน้าหัวหมูคนอื่นก็โวยวายขึ้นมาตามๆ กัน

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนใบหน้าบูดบึ้ง ที่จริงในใจรำคาญจะตายอยู่แล้ว มารดารเจ้า ถูกผู้หญิงซ้อมจนน่าอนาถเช่นนี้ยังมีหน้าขอให้ข้าตัดสินให้อีก ข้าเป็นกษัตริย์ คุมเรื่องใหญ่ของราชสำนัก ใครจะทนรำคาญจัดการเรื่องบ้าๆ ไม่เป็นชิ้นเป็นอันพวกนี้ให้พวกเจ้า

 

 

อันที่จริงเสิ่นซื่อซ้อมคนพวกนี้เป็นหัวหมู ฮ่องเต้ยงเซวียนไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ในใจเขายังโล่งอกรางๆ เขารู้สึกว่าเสิ่นซื่อสามารถอดทนนานปานนั้นค่อยลงมือก็ถือว่าหายากมากแล้ว ได้ยินว่ายามอยู่ซีเจียงมีโจรที่ตาไม่มีแววคนหนึ่งเห็นนางหน้าตาดีเกี้ยวนางไปคำหนึ่ง คืนนั้นนางก็สามารถพาคนไปรื้อรังโจรนั่นได้

 

 

เสิ่นซื่อเป็นใคร เป็นคนที่มีแค้นต้องชำระ!ทั้งเกเรทั้งกะล่อนซ้ำยังมีความสามารถ มิหนำซ้ำยังเป็นสตรี สามียังรักเอ็นดูตามใจ บางทีฮ่องเต้เช่นเขาอาจยังทำอะไรนางไม่ได้

 

 

“พวกเจ้าจะให้ข้าตัดสินอย่างไร” ฮ่องเต้ยงเซวียนถามนิ่งเรียบ พวกเขารู้สึกได้รับความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง ทว่าฮ่องเต้ยงเซวียนไม่ได้มองเช่นนี้ เขารู้สึกว่าเสิ่นซื่อเพียงซ้อมพวกเขายกหนึ่ง ให้พวกเขาขายหน้าเล่นก็ถือว่ายั้งมือไว้ไมตรีแล้ว เหมือนเช่นเมื่อก่อนนางลงมือเมื่อไรไม่ตายก็พิการ บัดนี้แค่บาดเจ็บภายนอกเท่านี้เสมือนละอองฝนชัดๆ! นี่คาดว่าคงจะเห็นแก่หน้าฮ่องเต้เช่นเขาแล้ว

 

 

เหล่าหัวหมูตกใจ นั่นสิ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่เป็นผู้หญิง ลดตำแหน่งก็ไม่ได้ ลงโทษก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกักบริเวณ ด้วยความหน้าหนาของจยาฮุ่ยจวิ้นจู่คาดว่าก็คงไม่ใส่ใจ พวกเขาสบตากันปราดหนึ่ง เกิดความคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า “ฝ่าบาท พวกกระหม่อมขอฝ่าบาทโปรดให้จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ขอขมาขุนนางทั้งหลายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เพิ่งสิ้นเสียง ในท้องพระโรงก็มีเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นเสียงหนึ่ง เหล่าหัวหมูถลึงตามองไปด้วยความโกรธเคืองพร้อมกัน “ผิงจวิ้นอ๋องหมายความว่าเช่นไร หรือว่ายังจะปกป้องจยาฮุ่ยจวิ้นจู่งั้นหรือ”

 

 

ประโยคหลังทำให้สวีโย่วหัวเราะเยาะขึ้นมาอีก เขาไม่ปกป้องสะใภ้บ้านตนเอง หรือว่าจะให้ปกป้องพวกเขา “ไม่ได้หมายความเช่นไร เพียงแต่รู้สึกว่าใต้เท้าทั้งหลายหน้าใหญ่เสียจริง!” สวีโย่วพูดอย่างมีนัย

 

 

ทุกคนคิดๆ ดูแล้วกลับเป็นเช่นนี้จริงๆ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่อย่างน้อยก็เป็นจวิ้นจู่เชื้อพระวงศ์ และยังเป็นสะใภ้เชื้อพระวงศ์อีก ให้นางขอขมาขุนนางราชสำนัก นี่มิใช่ตบหน้าเชื้อพระวงศ์หรอกหรือ พูดเสียใหม่ นี่คือตบพระพักตร์ฝ่าบาทอยู่!

 

 

ทว่าเหล่าหัวหมูกลับไม่คิดเช่นนี้ อาจเพราะกระทบกระเทือนจนลืม อาจเพราะไม่เคยเห็นจวิ้นจู่ต่างแซ่อย่างเสิ่นเวยคนนี้ในสายตาเลย พวกเขาสะบัดชุดขุนนาง คุกเข่าลงบนพื้นว่า “ขอฝ่าบาทโปรดให้ความเป็นธรรมกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

นี่กำลังบีบบังคับตนอยู่หรือ ฮ่องเต้ยงเซวียนแทบจะหัวเราะออกมา น้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ผิงจวิ้นอ๋องพูดถูกต้อง พวกเจ้ายังหน้าไม่ใหญ่พอ ให้จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ขอขมาพวกเจ้า พวกเจ้าคิดออกมาได้อย่างไร ยังคิดจะให้ข้าขอขมาพวกเจ้าด้วยใช่หรือไม่”

 

 

ทันใดนั้นหัวหมูที่คุกเข่าอยู่บนพื้นตื่นตระหนกเหลือคณาว่า “กระหม่อมมิบังอาจ กระหม่อมละอายนักพ่ะย่ะค่ะ” ยามนี้พวกเขาถึงนึกขึ้นได้ว่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่เป็นหลานสะใภ้แท้ๆ ของฝ่าบาท อดกลัวจนเหงื่อตกไม่ได้

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนกลับแค่นเสียงเย็นว่า “มิบังอาจ ละอาย ยังมีเรื่องอะไรที่พวกเจ้าไม่กล้าบ้าง ฝ่ายตรวจการมีอำนาจตรวจสอบขุนนางที่ทำผิด ทว่าพวกเจ้าทำอะไร ผิงจวิ้นอ๋องรวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตน หลักฐานอยู่ไหน เพียงฮูหยินและพ่อบ้านที่ไปเยือนเพื่อขอบคุณไม่กี่คนนั้น แม้แต่ข้าก็รู้ว่าผิงจวิ้นอ๋องนอกจากสนิทกับองค์ชายใหญ่ ก็ใกล้ชิดกับบ้านพ่อตาจวนหย่งกั๋วกง อ้อจริงสิ ยังมีข้า ความสัมพันธ์ของผิงจวิ้นอ๋องและข้าก็ไม่ห่างเหิน ใต้เท้าทุกท่านจะบอกว่าข้าก็เป็นพรรคเดียวกับผิงจวิ้นอ๋องใช่หรือไม่”

 

 

เสียงตำหนิของฮ่องเต้ยงเซวียนแต่ละเสียงราวกับฟ้าร้องผ่าลงกลางใจทุกคน ไม่เพียงหน้าหัวหมูไม่กี่คนนั้นในใจตื่นตะลึง ขุนนางที่เหลือก็คุกเข่าขอประทานอภัยโทษตามๆ กัน “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“ไม่โกรธ ข้าจะไม่โกรธได้อย่างไร ข้าให้อำนาจพวกเจ้า พวกเจ้าก็ตอบแทนข้าเช่นนี้หรือ พวกเจ้า พวกเจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ” ฮ่องเต้ยงเซวียนปวดใจเป็นอย่างยิ่ง “ในเมื่อล้วนว่างไม่มีอะไรทำ เช่นนั้นก็ออกไปตรวจตราให้หมด! เลิกประชุม! สีหน้าเย็นชาแล้วสะบัดแขนเสื้อออกไป

 

 

ผ่านไปครึ่งค่อนวัน เหล่าขุนนางในท้องพระโรงถึงได้สติกลับมา ช่วยกันพยุงลุกขึ้นยืนช้าๆ จากนั้นมองหน้ากัน ฝ่าบาทไม่ได้กริ้วเช่นนี้มานานแล้ว ดูท่าครั้งนี้ฝ่าบาทจะกริ้วไม่ใช่น้อย

 

 

จริงอยู่ แม้ผู้ตรวจการมีอำนาจในการร้องเรียนเหล่าขุนนาง ทว่าอย่างไรเสียก็ต้องดูสีหน้าเป็นกระมัง ฝ่าบาทเก็บฎีกาไว้ไม่แจกแล้วเจ้ายังไม่เข้าใจท่าทีของฝ่าบาทหรือ ไม่รู้จักอ่านสถานการณ์หรือ เช่นนั้นโทษที่เจ้าร้องเรียนก็ควรเป็นเรื่องจริงสิ ทั้งสองอย่างล้วนไม่เข้าข่ายเจ้ายังเต้นเร่าๆ นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายล้วนๆ หรือ

 

 

รนหาที่ตายก็รนหาที่ตายเถอะ มิหนำซ้ำยังทำให้คนอื่นเดือดร้อนอีก สายตาของผู้ตรวจการคนอื่นของฝ่ายตรวจการที่มองไปยังเหล่าหน้าหัวหมูโกรธแค้นยิ่งนัก ผู้ตรวจการตรวจตราเป็นกันง่ายๆ หรือ ระหว่างทางลำบากก็ไม่พูดถึงแล้ว ยังต้องคอยขับเคี่ยวกับขุนนางท้องถิ่น สบายสู้อยู่ในเมืองหลวงได้ที่ไหน

 

 

พวกหน้าหัวหมูไม่กี่คนเสียใจอย่าบอกใคร ไยถึงถูกลาภยศบังตาคิดแผนเลอะเลือนอย่างการร้องเรียนผิงจวิ้นอ๋องได้นะ ไยถึงผีบังตาฟ้องจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ได้นะ ทว่าเสียใจยามนี้ก็สายไปแล้ว ได้แต่เผ่นกลับจวน ตรวจการตรวจตราก็ตรวจการตรวจตาเถอะ อย่างไรเสียก็ดีกว่าถูกปลดกระมัง