คราวนี้พระชายาหยุนอยู่ในตำหนักจุนอย่างค่อนข้างสงบนางไม่ได้ทำเรื่องวุ่นวายและไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงใด ๆ กับตำหนักจุน นางใช้เวลาหลายวันในการอยู่ในเรือนของตัวเองอย่างเชื่อฟัง บางครั้งก็นั่งเหม่อลอยตลอดทั้งวัน
แต่เมื่อนางเป็นแบบนี้บ่าวรับใช้ก็สับสนเล็กน้อย ผู้คนในตำหนักจุนคุ้นเคยกับพระชายาหยุนที่ทำเรื่องวุ่นวายทุกครั้งที่นางมา รื้อตำหนักหรือขุดหาทาง คราวนี้นางไม่สร้างความวุ่นวาย และพวกนางก็ไม่คุ้นเคย
เมื่อเฟิงหยูเฮงมาถึงบ่าวรับใช้บางคนก็แอบบอกนางว่า “พระชายาหยู ! อย่าปล่อยให้นางรู้สึกเบื่อ ความเบื่อหน่ายจะจบลงด้วยการสร้างความเสียหายให้กับนางเพคะ”
เฟิงหยูเฮงเข้าใจเหตุผลนี้นางคิดสักพักแล้วดึงสิ่งดี ๆ ออกมาจากมิติเพื่อเล่นกับพระชายาหยุน พระชายาหยุนไว้หน้าให้กับนางเนื่องจากนางสนใจลิปสติก, หมอนอิง, ครีมบำรุงผิวหน้า, อายแชโดว์ และสิ่งต่าง ๆ ที่นางนำออกมา หยิบพวกมันขึ้นมาและสอบถามไม่หยุด
เฟิงหยูเฮงถอนหายใจด้วยความโล่งอกนางไม่กลัวคำถามของพระชายาหยุน นางเป็นห่วงว่าพระชายาหยุนจะไม่ถาม หากสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นหัวข้อของการสนทนาสำหรับผู้หญิงไม่สามารถดึงดูดความสนใจของนาง นางจะต้องดูแลสุขภาพของพระชายาหยุน
นางชวนพระชายาหยุนคุยในแต่ละเรื่องนางเปิดเผยความรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แต่งหน้า และสิ่งที่ขาดหายไปคือการเล่าของแต่ละแบรนด์ แต่ในท้ายที่สุดมันไม่เพียงพอที่จะใช้เวลาทั้งหมด ในขณะที่นางพูด ความรู้เล็กน้อยของเฟิงหยูเฮงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แต่งหน้าก็หมดลง ไม่สามารถคิดสิ่งอื่นได้ ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างจนใจ ความเศร้าปรากฏบนใบหน้าของพระชายาหยุนอีกครั้ง
ไม่มีอะไรที่เฟิงหยูเฮงจะทำเช่นนั้นได้ดังนั้นนางจึงพูดกับพระชายาหยุนอย่างตรงไปตรงมา “เสด็จแม่ ถ้าเสด็จแม่มีสิ่งที่เสด็จแม่อยากจะพูด ก็พูดออกมา การเก็บเอาไว้นั้นจะไม่มีประโยชน์อะไร เนื่องจากมันเกิดขึ้นแล้ว พวกเราไม่มีใครสามารถแสร้งทำเป็นว่าไม่มี การหลีกเลี่ยงสิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา หากเสด็จแม่ไม่มีความสุข เช่นเดียวกับบุตรของเสด็จแม่ เราก็โกรธเช่นกัน มาพูดถึงเรื่องนี้ ข้าจะบอกเสด็จแม่เกี่ยวกับสิ่งที่ข้าวิเคราะห์ออกมาเจ้าค่ะ”
เมื่อนางพูดถึงเรื่องนี้พระชายาหยุนก็กลายเป็นคนร่าเริงทันที นางถามอย่างเร่งด่วนว่า “บอกข้าสิว่าตาแก่เป็นอะไรกันแน่ ? ” พระชายาหยุนระบุว่าฮ่องเต้ได้รับการครอบงำแล้ว ขณะที่นางกล่าวว่า “ถ้าฝ่าบาทไม่ได้ถูกครอบงำ มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเรื่องแบบนี้ที่จะเกิดขึ้น ข้าเข้าใจฝ่าบาท”
“เสด็จแม่”ในเรื่องที่เกี่ยวกับฮ่องเต้ เฟิงหยูเฮงต้องการได้ยินสิ่งที่พระชายาหยุนคิด ท้ายที่สุดพระชายาหยุนเป็นคนที่เข้าใจฮ่องเต้ มีหลายสิ่งที่เฟิงหยูเฮงจะสามารถทำความเข้าใจได้ดีขึ้น ดังนั้นนางจึงถามว่า “เสด็จแม่ จริง ๆ แล้วว่าท่านคิดว่าเสด็จพ่อถูกครอบงำหรือไม่เจ้าคะ ? ”
พระชายาหยุนพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย“ถูกต้อง ฝ่าบาทถูกครอบงำ เจ้าไม่รู้สึกว่าสถานการณ์ทั้งหมดนี้ค่อนข้างแปลกงั้นหรือ ? ธรรมชาติของฝ่าบาทนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง หากเจ้าจะบอกว่าตอนหนุ่มรู้สึกว่ามีคนที่ยอดเยี่ยมเพราะพวกเขาไม่สามารถได้ตัวนาง อาจเป็นได้ว่าพวกเขาจะรู้สึกว่านางเป็นเหมือนคนอื่น ๆ ทั้งหมด เมื่อพวกเขาได้รับจริง แต่ฝ่าบาทอายุเยอะแล้ว ถ้าฝ่าบาทเป็นคนแบบนั้น คงไม่มีความสงบสุขในตำหนักในมานานกว่า 20 ปี หากฝ่าบาทต้องการเปลี่ยนให้มันแย่ลง ฝ่าบาทจะทำมันนานแล้ว ทำไมต้องรอถึงช่วงนี้ ? ” ขณะที่นางพูดสิ่งนี้ นางถอนหายใจด้วยท่าทีโศกเศร้า “ในวัยนี้ อีกกี่ปีที่ฝ่าบาทจะทำเรื่องนี้ได้ ? มันจะเป็นการดีกว่า ถ้าฝ่าบาทจะสงบสติอารมณ์สักหน่อย แล้วใช้ชีวิตให้ยืนยาวขึ้นอีกหน่อย”
เฟิงหยูเฮงคล้อยตามและกล่าวว่า“เสด็จแม่เข้าใจเสด็จพ่อดีที่สุดเจ้าค่ะ”
”ถูกต้องข้าเป็นคนหนึ่งที่เข้าใจฝ่าบาทดีที่สุด” พระชายาหยุนเป็นคนพูดมาก นางจะพูดไม่หยุดเมื่อนางเริ่ม และนางพูดกับเฟิงหยูเฮง “ในวันที่พวกเจ้าแต่งงานในภาคใต้ ข้าได้เชิญฝ่าบาทเข้าไปในตำหนักศศิเหมันต์ เริ่มจากช่วงเวลานั้น ฝ่าบาททานอาการทั้งสามมื้อในตำหนักของข้า แต่ข้าไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าฝ่าบาทไม่ได้จริงจังกับข้าอีกต่อไป เพราะฝ่าบาทสามารถเอาผ่านช่วงที่ยากลำบากกับข้ามาได้ ซวนจ้านเป็นคนที่ดี แม้ว่าข้าจะปฏิเสธที่จะพบฝ่าบาทในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่ข้าจะยังคงใช้คำพูดเหล่านี้เพื่ออธิบายฝ่าบาท ทุกคนบอกว่าคู่รักเชื่อมโยงกันที่จิตใจ แม้ว่าเราจะไม่ได้เจอกันหลังจากเหตุการณ์นั้น แต่ข้าก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับฝ่าบาท ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทถูกคุกคามจากใครบางคน แต่มันเหมือนการถูกครอบงำ ราวกับว่าฝ่าบาทถูกครอบงำโดยใครบางคน…” นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วชี้ไปที่หัวของนางเอง “ที่นี่ ! เจ้าเข้าใจหรือไม่ ข้ารู้สึกว่าซวนจ้านถูกควบคุมโดยคนอื่น ทำให้ที่ฝ่าบาทเป็นอย่างที่ฝ่าบาทเป็นอยู่ในปัจจุบัน”
คำพูดของพระชายาหยุนทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนความจำแก่เฟิงหยูเฮงแม้ว่านางจะพิจารณาความคิดของฮ่องเต้ที่ถูกควบคุม แต่ในยุคสมัยนี้นางไม่สามารถนึกถึงวิธีการใด ๆ ที่สามารถใช้ควบคุมจิตใจของผู้อื่นจนถึงจุดที่พวกเขาจะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
นางหยิบยกปัญหานี้ขึ้นมาและพระชายาหยุนก็ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง แม้กระนั้นทั้งสองก็ลงความเห็นว่าฮ่องเต้ถูกครอบงำ เมื่อเห็นว่าพวกนางไม่สามารถคิดได้ว่าเขาถูกครอบงำได้อย่างไร หลังจากช่วงเวลาที่คิด เฟิงหยูเฮงกล่าวกับพระชายาหยุน “เนื่องจากเราได้พิจารณาแล้วว่านี่ไม่ใช่ความตั้งใจของเสด็จพ่อ ดังนั้นเสด็จแม่ไม่ควรเศร้าโศกเสียใจ มันจะเป็นการดีกว่าที่จะนำความรู้สึกเหล่านั้นมาเปลี่ยนเป็นพลังงาน และเราจะคิดถึงวิธีที่จะช่วยเสด็จพ่อเจ้าค่ะ”
พระชายาหยุนพยักหน้าอย่างช้าๆ กล่าวว่า “ข้าปฏิเสธที่จะพบฝ่าบาท แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่ได้คิดถึงฝ่าบาท ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ทุกคืนหากข้าฝัน พวกมันก็เต็มไปด้วยฝ่าบาท ในฝันบางครั้งมาจากเวลาที่เราใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายในบ้านนั้น และในความฝันบางทีก็เป็นฝ่าบาทอยู่ในพระราชวังในเสื้อคลุมของฝ่าบาท เมื่อข้าฝันถึงฝ่าบาทจากเวลาของเราในบ้านนั้น ข้าก็จะยิ้ม ถ้ามันเป็นความฝันที่เห็นฝ่าบาทในเสื้อคลุมฮ่องเต้ของข้า ข้าจะตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ อาเฮง ช่วยฝ่าบาทด้วย ! อาณาจักรนี้ โลกนี้ ไม่ว่าใครจะได้รับในอนาคต มันจะเป็นบุตรของฝ่าบาทอย่างแน่นอน บอกหมิงเอ๋อว่าเราจะไม่แข่งขัน โลกภายนอกนั้นมีอิสรภาพมากกว่าวังหลวง สามารถทำได้ทุกสิ่ง ทำไมต้องเป็นฮ่องเต้ ? ”
เฟิงหยูเฮงมีความคิดคล้ายกันกับพระชายาหยุนแต่นางบอกกับพระชายาหยุน “เสด็จพี่พูดไปแล้วว่าในตอนแรก พระองค์ไม่ต้องการอาณาจักรนี้ แต่พระองค์ไม่สามารถเพียงแค่เฝ้าดูอาณาจักรนี้ พระองค์ต้องการที่จะช่วยให้เสด็จพ่อดูแลอาณาจักรนี้และมอบให้กับใครบางคนที่เป็นคนดี พระองค์ถึงก็จะสบายใจเจ้าค่ะ”
พระชายาหยุนไม่ได้พูดอะไรอีกนางเข้าใจว่านี่เป็นความรับผิดชอบขององค์ชาย และมันจะเป็นการรับงานที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุของตระกูลซวน นางไม่สามารถแนะนำให้พวกเขาทำอะไร นางเพียงแค่ขอให้เฟิงหยูเฮงช่วยฮ่องเต้ ก่อนที่จะบอกว่านางจะไปพักผ่อน แล้วส่งเฟิงหยูเฮงกลับ
เมื่อกลับมาที่ตำหนักหยูเฟิงหยูเฮงก็มีความคิดทุกอย่างเช่นกัน นางคิดถึงวิธีการควบคุมฮ่องเต้อย่างมาก ในยุคนั้นเป็นไปได้ไหมที่มีผู้เชี่ยวชาญระดับสูงและยารักษาโรค นางเพิ่งรู้ว่านางมีความเข้าใจน้อยเกินไปในยุคนี้ซึ่งตอนนี้นางอาศัยอยู่
เมื่อพิจารณาสถานการณ์ทางการเมืองของช่วงเวลาปัจจุบันครอบครัวแต่ละคนมีความคิดของตนเอง หลังจากคิดเกี่ยวกับมัน พวกเขาเลือกฝ่ายที่พวกเขาต้องการอย่างชัดเจน ทุกคนรู้ว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เลือก พวกเขายังเชื่อด้วยว่าการเลือกนี้จะเป็นเรื่องปกติที่สุด เพราะการเลือกนี้จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฮ่องเต้ ตัวเลือกจะไม่ทำตามการคาดเดาของตัวเอง เมื่อฮ่องเต้เป็นเสาหลักสนับสนุน องค์ชายแปดจะไม่แพ้ มีอะไรให้พวกเขากลัว แต่มีบางคนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้เช่นเสนาบดีหลู่ซ่ง
หลู่ซ่งเรียนรู้ที่จะเลือกอย่างชาญฉลาดเขามีความแน่วแน่ในความคิดซึ่งจะติดตามองค์ชายเก้าและเฟิงหยูเฮง โดยไม่คำนึงว่าสถานการณ์จะปรากฏบนพื้นผิว ตราบเท่าที่เขาติดตามทั้งสอง สิ่งต่าง ๆ จะพัฒนาไปในทิศทางที่ดี เขาและภรรยาของเขาพูดกับบุตรสาวคนเดียวที่เหลืออยู่ของพวกเขา, หลู่ปิง “แม้ว่าองค์ชายแปดดูเหมือนจะทำได้ดีมาก และถึงแม้ว่าพระสนมหยวนชูก็ดูเหมือนจะมีอำนาจเหนือตำหนักใน ข้ายังคงคิดว่านี่ไม่มั่นคง ไม่ว่าข้าจะดูอย่างไร สภาพของฮ่องเต้ก็ดูผิดปกติ ข้ากลัวว่ามีเรื่องบางอย่างเกี่ยวข้อง และเป็นเพียงว่าเราไม่สามารถมองเห็นได้”
เก้อซื่อยังกล่าวอีกว่า“ยิ่งกว่านั้นมีความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างครอบครัวของเรากับองค์ชายแปด เมื่อใดก็ตามที่ข้าคิดถึงการตายของหยานเอ๋อ แม้ว่าองค์ชายแปดจะได้ครองบัลลังก์ ข้าก็ไม่สามารถกล้ำกลืนความโกรธและยืนเคียงข้างพระองค์ได้”
หลู่ซ่งพยักหน้า“ใช่แล้ว ! นอกจากนี้แม้ว่าเราเต็มใจ พระองค์ก็ไม่เต็มใจยอมรับเรา นั่นเป็นเหตุผลที่ข้พูดถึงเรื่องนี้ ตระกูลหลู่ของเราจะยังคงยืนหยัดในจุดยืน เราจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อองค์ชายเก้าและพระชายาหยู ไม่ว่าคนอื่นจะมองสิ่งต่าง ๆ อย่างไรและพวกเขาจะพูดอย่างไร เราก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากคนอื่นอย่างแน่นอน”
เก้อซื่อขมวดคิ้วและถามว่า”แต่องค์ชายเก้าจะต้อนรับเราหรือไม่ ? เป็นความจริงที่ว่าสามีเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย และนี่เป็นการสนับสนุนบัลลังก์ที่ยากจะได้รับจากองค์ชาย แต่สำหรับองค์ชายเก้า หากพระองค์ดูถูกใคร ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสามารถ หรือพลังมากแค่ไหน พระองค์ก็ยังคงเพิกเฉยต่อพวกเขา”
หลู่ซ่งโบกมือแล้วพูดว่า“มันไม่น่าหนักใจเหมือนเมื่อก่อน ตลอดปีที่ผ่านมาท่านเสนาบดีฝ่ายขวาและข้าได้ร่วมกันทำงานเป็นอย่างดีในการทำลายองค์ชายแปด เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ องค์ชายเก้าและองค์หญิงจี่อันก็รู้ หลายครั้งนี่คือสิ่งที่จะดำเนินต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวอย่างเปิดเผย ตราบใดที่สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น อย่างน้อยที่สุดเราก็จะหลีกเลี่ยงการเป็นศัตรู” เมื่อเขาพูดอย่างนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่น “การกลายเป็นศัตรูขององค์ชายเก้าและองค์หญิงจี่อันนั้นน่ากลัวเกินไป”
เมื่อมาถึงจุดนี้ตระกูลหลู่ก็มีประสบการณ์ หากไม่ใช่เพราะพวกเขาทำร้ายเฟิงหยูเฮง ตระกูลหลู่ก็คงจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาจะไม่เลวร้ายอย่างที่เคยเป็นมาในตอนนั้น แต่มันก็ยากมากที่ธุรกิจของพวกเขาจะฟื้นตัว ไม่พูดถึงการถูกจำกัดในกิจการของพวกเขา แต่ตระกูลหลู่ได้สูญเสียบุตรสาว นอกจากนี้ยังไม่มีบ่าวรับใช้จำนวนมากเพื่อช่วยในการทำงาน หลู่ซ่งให้ความสำคัญกับเรื่องราชสำนัก ดังนั้นเขาจะจัดการเรื่องธุรกิจได้อย่างไร ? พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ พวกเขายอมแพ้ธุรกิจนอกเมืองหลวง และมีเพียงร้านเล็ก ๆ ในเมืองหลวง พวกเขายังสร้างบ้านเล็ก ๆ นอกเมืองหลวงและเก็บรักษาไว้
ขณะที่หลู่ซ่งพูดเขาก็หันมามองหลู่ปิงหลู่ปิงไม่ได้สวมผ้าคลุมที่บ้าน แต่นางใช้น้ำหอมเยอะมาก ไม่ว่านางจะอยู่ที่ไหน ห้องก็จะเต็มไปด้วยกลิ่นฉุน
แต่ไม่มีอะไรที่สามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อหลู่ปิงไม่ใช้ก็จะมีกลิ่นเหม็น เมื่อเปรียบเทียบกับกลิ่นเหม็น กลิ่นฉุนก็ดีขึ้นเล็กน้อยแม้ว่าจะเป็นกลิ่นที่ฉุนมากก็ตาม
“ฮูหยินรักเจ้าหาน้ำหอมดี ๆ ให้ปิงเอ๋อใช้ในภายหลัง ในการใช้น้ำหอมข้างถนนเหล่านี้ มันจะไม่มีทางทำสิ่งต่าง ๆ ได้” หลู่ซ่งกล่าวกับเก้อซื่อ “คฤหาสน์ของเราไม่ได้มีปัญหาทางการเงินมากเหมือนเมื่อก่อน แม้ว่าเราจะไม่ได้กลิ่นพิเศษจากกูซู แต่ราชวงศ์ต้าชุนของเราก็มีน้ำหอมที่ดีเช่นกัน”
เก้อซื่อจ้องมองที่หลู่ปิงจากนั้นก็ตะโกนอย่างเย็นชา “มันไม่ใช่ว่าข้าไม่ได้มอบน้ำหอมที่ดีให้นาง ข้าซื้อน้ำหอมราคา 100 เหรียญเงินให้นาง แต่นางไม่ยอมใช้ ใครควรถูกตำหนิ”
หลู่ซ่งงงงงวยและมองหลู่ปิง“เจ้ามีน้ำหอมที่ดี ดังนั้นทำไมไม่ใช้ ? ”
หลู่ปิงมีความคิดของนางเองในเรื่องนี้ตอบทันที“มีน้ำหอมอย่างนั้นจริง ๆ แต่มีไม่มากมาก สำหรับปิงเอ๋อ นั่นเป็นสิ่งที่มีค่ามาก ปิงเอ๋อประสงค์จะใช้พวกมันเมื่อข้าแต่งงาน ดังนั้นที่บ้าน… ข้าจะไม่ใช้พวกมันเจ้าค่ะ ! ”
หลู่ซ่งถอนหายใจด้วยอารมณ์“เจ้าเป็นผู้หญิงที่มีน้ำใจจริง ๆ เมื่อเจ้าเกรงใจ ข้าจะเล่าเรื่องอื่นให้เจ้าฟัง…”