แปดเดือนผ่านไป ณ เมืองเล็กๆ ชายทะเลแห่งหนึ่ง
หญิงสาวคนหนึ่งที่ทำทรงผมของคนที่แต่งงานแล้ว ยืนยุ่งอยู่บนแผงขายของ ไอความร้อนทำให้ใบหน้าดำๆ ของนางแดงขึ้นมา หน้าแผงมีคนยืนต่อแถวยาวเหมือนดั่งมังกร คนขายของข้างๆ มองนางด้วยความอิจฉา แต่ไม่มีผู้ใดเกลียดนาง
คนที่มาต่อแถวก็เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่แซงแถว ไม่ตะโกน เขย่งเท้า เงยหน้านับดูว่าข้างหน้ายังมีอีกกี่คน
ลูกชิ้นปลารอบแรกที่ทำสดๆ ออกจากหม้อแล้ว คนที่ต่อแถวคนแรกรีบเอาถ้วยตัวเองออกมา ยื่นไปข้างหน้านาง ไม่มากไม่น้อยไป นางตักลูกชิ้นปลาให้เขาสิบลูก แล้วตักน้ำแกงให้เขาไปด้วย ชายคนนั้นหยิบเงินห้าอีแปะใส่ลงไปในกล่องข้างหน้าแผง จากนั้นก็ยกถ้วยเดินออกไปอย่างดีใจ
คนข้างหลังขยับไปด้านหน้า “ลูกชิ้นปลาสิบลูกเหมือนกัน น้ำแกงหนึ่งถ้วย ห้าอีแปะ”
คนที่สามขยับไปข้างหน้า กล่าวว่า “อวี้เหนียง ข้าเอาลูกชิ้นกุ้ง เด็กน้อยในบ้านชอบกินมาก”
“ได้” หญิงสาวตอบกลับอย่างรวดเร็ว ตักลูกชิ้นกุ้งให้นางสิบลูก ห้าอีแปะเท่ากัน
คนที่ซื้อได้ก็ยกถ้วยกลับไปอย่างดีใจ คนที่เหลือก็ไม่รีบร้อน ค่อยๆ ขยับไปข้างหน้า เพราะอวี้เหนียงมีกฎอยู่หนึ่งข้อ ทุกวันจะขายแค่หนึ่งร้อยชุด ชุดล่ะห้าอีแปะ ถ้าหากพวกเขาเข้าแถวอยู่ในหนึ่งร้อยคนแรก ก็ซื้อได้แน่นอน ฉะนั้นคนข้างหลังจึงไม่รีบร้อน
ใกล้เที่ยงแล้ว ลูกค้าคนสุดท้ายยกถ้วยลูกชิ้นปลาไปอย่างดีใจแล้ว หญิงสาวยังไม่ทันเช็ดเหงื่อบนหน้า ก็ตักลูกชิ้นปลาและลูกชิ้นกุ้งที่เหลือขึ้นมาทั้งหมด ให้กับคนที่ขายของรอบข้างด้วยกัน “เที่ยงแล้ว กินกันเถิด”
ทุกคนรอบข้างรู้สึกเกรงใจ อวี้เหนียงมาขายของที่นี่ครึ่งปีกว่าแล้ว ทุกวันก็จะตั้งใจทำเกินมาให้พวกเขาทุกวัน
ชายวัยสามสิบกว่ากล่าวว่า “อวี้เหนียง เจ้าเป็นหญิงสาวคนเดียวก็ไม่ง่าย พวกข้ากินของเจ้าทุกวันโดยที่ไม่จ่ายเงินเช่นนี้ รู้สึกเกรงใจมากจริงๆ ”
หญิงสาวยิ้มออกมา กล่าวว่า “พี่หวัง หากตอนนั้นไม่ได้รับความช่วยเหลือจากทุกคน ข้าก็ลงหลักปักฐานที่นี่ไม่ได้ ของพวกนี้นับเป็นอะไรไม่ได้จริงๆ”
หกเดือนกว่าก่อนหน้านี้ อวี้เหนียงที่มีใบหน้าเหลืองผอมแห้ง สีหน้าซีดเผือดเดินทางมาถึงที่นี่ตัวคนเดียว เล่าว่าบ้านตัวเองเจอเรื่องร้าย หวังมาพึ่งญาติ ไม่คิดว่าครึ่งทางสามีจะป่วยหนัก หลังจากใช้เงินเดินทางทั้งหมดเพื่อรักษาเขาไปแล้ว แต่ก็จากไปอยู่ดี นางฝังสามีแล้ว จึงเดินทางมาถึงที่นี่อย่างยากลำบาก แต่ก็ได้ข่าวว่าญาติย้ายไปจากที่นี่ตั้งแต่หนึ่งปีที่แล้ว นางไม่มีที่ไป เลยทำได้แต่ขอความช่วยเหลือจากทุกคน ขอให้ทุกคนให้ปลาและกุ้งกับนางก่อน นางทำของมาตั้งขาย
เมืองใกล้ทะเลเล็กๆ นี้ สิ่งที่ไม่ขาดก็คือกุ้งและปลา ทุกคนเห็นว่าหญิงสาวคนเดียวน่าสงสาร ก็เลยให้ของกับนาง
วันที่สอง นางก็ได้ตั้งแผงขายของนี้ขึ้นมา กลิ่นหอมนั้นได้ดึงดูดคนที่อยู่ที่นี่มาซื้อกัน ตั้งแต่นั้นมานางก็ได้ลงหลักปักฐานที่นี่ และใช้เหตุผลนี้มาตลอด ทำลูกชิ้นกุ้ง ลูกชิ้นปลาเกินมาทุกวัน แบ่งให้พวกเขากินโดยไม่เก็บเงินใดๆ
แม้ปากจะกล่าวว่าเกรงใจ แต่ก็ทนกลิ่นหอมกรุ่นนั้นไม่ไหวจริงๆ ทุกคนกินลูกชิ้นกุ้งและลูกชิ้นปลาหมดอย่างรวดเร็ว
อวี้เหนียงเก็บถ้วยกลับไป ล้างในน้ำของตัวเองให้สะอาด จัดเก็บให้เรียบร้อย ร่างกายผอมบางยกไม้คานหาบขึ้นแล้วเดินง่อนแง่นออกไปไกล
ในเมืองหลวง ณ จวนอ๋องฉี
ตั้งแต่เมิ่งเชี่ยนโยวจากไปโดยไม่บอกกล่าว แปดเดือนที่ผ่านมา หวงฝู่อี้เซวียนไม่เคยก้าวออกจากจวนแม้แต่ก้าวเดียว สั่งให้คนยกยาสมุนไพรมากมายเข้ามาหลายคัน ทุกวันก็คือเรียนรู้ยาสมุนไพร แยกแยะยาสมุนไพร จำยาสมุนไพร หมกมุ่นอยู่กับยาสมุนไพร ไม่สนใจผู้ใดเลย แม้แต่พระชายาฉีมาหา ก็แค่เงยหน้าขึ้นมองนาง เรียกเสด็จแม่ แล้วก็ไม่สนใจนางอีกเลย ก้มหน้าทดลองยาสมุนไพรในมือต่อไป
ทุกคนไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ เขาก็สนใจในยาสมุนไพร แต่ก็ไม่มีใครกล้าห้าม ท่านอ๋องฉีก็ถอนหายใจหลายครั้ง แล้วปล่อยให้เขาทำต่อไป
มีเพียงในใจของหวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจ ตอนนั้นที่ตัวเองปล่อยให้เมิ่งเชี่ยนโยวจากไปโดยไม่รู้สึกตัวอะไรเลย เป็นเพราะข้าวต้มถ้วยนั้นที่ตัวเองดื่มเข้าไปถูกใส่ยาไว้แล้ว ไม่เยี่ยงนั้น ตนไม่มีทางนอนหลับไม่ตื่นขนาดนั้น
“รอข้ารู้จักยาสมุนไพรพวกนี้ เข้าใจสรรพคุณของตัวยาแล้ว แล้วสามารถผสมเป็นยาเม็ด ข้าจะทำให้เจ้ากินจนอิ่ม” หวงฝู่อี้เซวียนกัดฟันคิดอย่างนี้ทุกวัน จึงจะสามารถประคับประคองตัวเองให้ผ่านทุกวันที่ไม่มีเมิ่งเชี่ยนโยว
แปดเดือนผ่านไปแล้ว เขารู้จักกับยาสมุนไพรแทบหมดแล้ว แต่ก็ยังคงไม่มีข่าวคราวของเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว เขารู้ว่าความคิดถึงของเขาถึงขีดจำกัดแล้ว ถ้าหากยังหาเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เจอ เขาต้องบ้าแน่ๆ
ด้านนอกกจวน โจวอันที่ออกไปนานถึงแปดเดือนได้กลับมาแล้ว มองตัวเขาที่เต็มไปด้วยฝุ่นดิน หนวดเครารุงรัง ท่าทางเหมือนผ่านมรสุมมา น่าจะเป็นเพราะเดินทางติดต่อกันหลายวันหลายคืน แต่ว่า ตอนนี้บนตัวเขาไม่มีร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย แต่กลับกระโดดลงจากหลังม้า สายตาเป็นประกาย วิ่งเข้าในลานของหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความตื่นเต้นอย่างรวดเร็ว ตระโกนเสียงดังว่า “ซื่อจื่อ พบแล้วขอรับ”
ยาสมุนไพรในมือของหวงฝู่อี้เซวียนตกหล่นบนพื้นทันที ผ่านไปสักพักจึงค่อยๆ ลุกขึ้น ค่อยๆ เดินออกจากประตู ค่อยๆ กล่าวถามว่า “พบแล้วหรือ”
โจวอันพยักหน้าหลายครั้งด้วยความตื่นเต้น “มีพี่น้องบอกว่าพบร่องรอยเบาะแสขององค์หญิงชิงเหอที่เมืองใกล้ทะเลแห่งหนึ่งขอรับ ตอนนี้พวกเขาเฝ้าอยู่ที่นั้น ส่วนข้าน้อยรีบกลับมารายงาน”
หน้าประตูไม่มีแม้แต่เงาของหวงฝู่อี้เซวียน
โจวอันหยุดชะงักไป
เสียงที่ดีใจและตื่นเต้นของหวงฝู่อี้เซวียนดังมาจากข้างนอกลาน “เตรียมม้า ออกเดินทาง”
ครึ่งเดือนผ่านไป ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่นดิน แต่กลับมีใบหน้างดงามไร้ที่ติ นำองครักษ์หลายสิบคนที่ฝุ่นดินเต็มตัว ท่าทางเหมือนผ่านมรสุมมาเช่นกันมาถึงเมืองใกล้ทะเล
องครักษ์ลับที่รับผิดชอบตามหาร่องรอยของนางและพบเจอเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา ทำความเคารพ “ซื่อจื่อ”
“คนล่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวถาม
องครักษ์ลับชี้ไปทางที่เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งแผงขายของแล้วรายงานว่า “องค์หญิงชิงเหอตั้งแผงขายของทางนั้นขอรับ”
กระโดดตัวลงจากหลังม้า เดินไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากก้าวไปไม่กี่ก้าว ก็หยุดเดิน หันหลัง กล่าวถามโจวอัน “ข้าไปพบนางด้วยท่าทางเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่”
มองดูเขาเหมือนกับเพิ่งถูกดึงออกมาจากดิน ดูไม่ได้เลย โจวอันส่ายหัวไปมาด้วยความสัตย์ซื่อ “ไม่เหมาะขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว ผ่านไปสักพักจึงสั่งว่า “ไปหาโรงเตี๊ยม ข้าไปล้างตัวแต่งตัวก่อนแล้วค่อยไปหานาง”
แม้ว่าจะพูดออกมาเช่นนี้ แต่เท้าก็ทนไม่ไหวเดินไปที่แผง สายตามองข้ามทุกคนที่อยู่หน้าแผง หยุดอยู่ที่หน้าของนาง ตัวนาง ความดีใจและความตื่นเต้นจะล้นออกมาจากใจ คือนาง คือนางจริงๆ แม้ว่าจะไม่รู้ว่านางใช้วิธีใดทำให้หน้าของนางดำเยี่ยงนั่น แต่หวงฝู่อี้เซวียนรู้ ว่านางคือเมิ่งเชี่ยนโยว คนที่ตัวเองคิดถึงอยู่ตลอดแปดเดือนที่ผ่านมา
เหมือนกับว่ารู้สึกมีคนแอบมองตน เมิ่งเชี่ยนโยวที่ยุ่งอยู่เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปรอบๆ
หวงฝู่อี้เซวียนรีบซ่อนตัวในที่มุมมืด
ทุกอย่างปกติ ไม่มีคนน่าสงสัย เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าตนคิดมากไป ที่นี่ห่างไกลจากเมืองหลวงกว่าพันลี้ แล้วยังเป็นเมืองใกล้ทะเล ไม่มีใครมาหาถึงที่นี่ ก้มหน้าลงไป ตั้งใจทำลูกชิ้นปลาและลูกชิ้นกุ้งต่อ
หนึ่งชั่วยามผ่านไป หวงฝู่อี้เซวียนที่แต่งตัวดูดี ท่าทางเย็นชา ใบหน้าไร้ที่ติเดินออกมาจากห้องพักในโรงเตี๊ยม นำองครักษ์ลับที่ล้างตัวแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเช่นกันมาทางแผงของเมิ่งเชี่ยนโยว
หนึ่งร้อยชุดวันนี้ขายหมดแล้ว เอาที่เหลือแจกให้คนที่มาขายของรอบข้างเหมือนเคย รอจนพวกเขากินเสร็จ เก็บถ้วยแล้วล้างในน้ำเปล่าให้สะอาด จัดเก็บให้เรียบร้อย กล่าวลาทุกคน แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยกไม้คานหาบขึ้นมา เดินผ่านถนนเส้นหนึ่ง มาถึงที่กว้างๆ โล่งๆ วางไม้คานหาบของตัวเองลงข้างๆ กำแพง ตะคอกออกมาว่า “ใคร ออกมา”
รอบข้างเงียบกริบ ไม่มีเสียงใดๆ
เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นมาอีกครั้ง “กล้าตามมาตั้งแต่ตลาดจนถึงที่นี่ แต่ไม่กล้าปรากฏตัวหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนสีหน้าเคร่งขรึม เดินออกมาอย่างไม่รีบร้อน
เมิ่งเชี่ยนโยวตาโตขึ้นมาทันที มองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา “อี้…อี้เซวียน” ทันทีที่เรียกจบ เท้าก็เริ่มขยับ เตรียมตัววิ่งหนี
หวงฝู่อี้เซวียนไม่สนใจท่าทางของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ขอบคุณองค์หญิงชิงเหอที่ยังจำข้าได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนน้ำลายหนึ่งครั้ง แล้วคิดจะเถียงข้างๆ คูๆ “เจ้า…เจ้าทักคนผิดแล้ว ข้า…ข้าไม่ใช่องค์หญิงชิงเหอ”
หวงฝู่อี้เซวียนก้าวเข้าไปหนึ่งก้าว มุมปากยิ้มขึ้นมา น้ำเสียงทุ้มต่ำที่มีเสน่ห์ดังขึ้นมาในพื้นที่กว้างและเงียบกริบนี้ “ใช่หรือ ดูท่าแล้วข้าต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองเสียแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองไปรอบๆ แล้วค่อยๆ กลืนน้ำลายอีกครั้ง กล่าวด้วยความหวาดกลัวว่า “พิสูจน์อะไร”
บนใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนแสดงรอยยิ้มอันตรายออกมา “พิสูจน์ว่าเจ้าใช่องค์หญิงชิงเหอหรือไม่น่ะสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะหึๆ แล้วค่อยๆ ขยับถอยหลังหลายก้าว รีบหันหลัง แล้ววิ่งหนีอย่างรวดเร็ว
คาดไม่ถึงว่า วิ่งไปได้ไม่ไกล ก็ถูกองครักษ์ลับหลายคนขวางทางไว้ “องค์หญิงชิงเหอ หยุดเถิดขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอยหลัง แล้ววิ่งไปอีกทางหนึ่งอย่างสุดชีวิต แต่ก็ถูกขวางเหมือนเดิม
นางหยุดลง หันหลัง มองไปทางหวงฝู่อี้เซวียนแล้วหัวเราะหึๆ ออกมา ยกมือดำๆ ขึ้นมา แล้วโบกมือทักทายเขา “อี้เซวียน ไม่เจอกันนานเลย เจ้าสบายดีหรือไม่”
“ข้าสบายดีหรือไม่ เจ้าไม่รู้หรือ” ขณะที่เสียงกัดฟันพูดดังขึ้นมา เท้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ก้าวเข้ามาหลายก้าว
“คือว่า…อันที่จริง…” สัมผัสได้ถึงอันตราย เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ ขยับถอยหลังไปเรื่อยๆ จนหลังชนกับกำแพง ไม่มีที่ให้ถอยอีก จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงติดอ่างว่า “อี้ อี้เซวียน เจ้าฟังข้า…”
หวงฝู่อี้เซวียนยังคงยืนอยู่ตรงหน้านาง ก้มลงไปขู่ถามว่า “เจ้าพักอยู่ที่ใด”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เข้าใจคำถามของเขา กล่าวถามด้วยน้ำเสียงติดอ่างต่อไปว่า “อะ อะไร”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งก้มลงไปอีก ลมหายใจร้อนโดนบนหน้านาง เสียงขมขู่ยิ่งหนักข้อขึ้น “จะให้ข้าพูดอีกรอบหรือไม่”
ร่างกายของเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มสั่น กลืนน้ำลายด้วยความหวาดกลัว “ข้า ข้า…”
หน้าของหวงฝู่อี้เซวียนแทบจะแนบกับหน้าของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคนว่า “มีสองทางให้เจ้าเลือก ทางที่หนึ่งคือพาข้าไปที่พักของเจ้า อีกทางหนึ่งคือข้าพิสูจน์ที่นี่ทันที เจ้าเลือกทางใด”
“ไม่ ไม่เลือกได้หรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถามยังไม่กลัวตาย
สายตาของหวงฝู่อี้เซวียนเริ่มคมกริบ ยื่นมือออกไป วางลงบนกระดุมเสื้อนาง
“ในบ้าน ในบ้าน…” เมิ่งเชี่ยนโยวรีบร้องออกมาด้วยความตกใจ
หวงฝู่อี้เซวียนกลั้นรอยยิ้มที่ใกล้จะเผยออกมาไว้ ก้มลงไปอุ้มนาง กล่าวถามว่า “ไปทางใด”
“เดินไปสุดทาง เลี้ยวซ้าย บ้านหลังที่เพิ่งสร้างเสร็จ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับอย่างเชื่อฟัง
หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มนางไว้แน่น มาถึงหน้าบ้านที่นางบอก ถีบประตูออก อุ้มนางเข้าไป แล้วถีบประตูปิด ตรงมาที่เตียง วางนางลงบนเตียง จ้องมองนาง แล้ววางมือลงบนกระดุมเสื้อตัวเอง ค่อยๆ แกะกระดุมอย่างช้าๆ
ถูกเขาจ้องมองด้วยสายตาโกรธเคือง เมิ่งเชี่ยนโยวที่นอนหันข้างอยู่บนเตียงไม่กล้าขยับ “อี้ อี้เซวียน พวกเราไม่ได้เจอกันนาน ข้ามีเรื่องมากมายอยากจะพูดกับเจ้า เจ้า…”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่หยุด กล่าวถามนางด้วยเสียงต่ำว่า “เจ้าจะทำเอง หรือให้ข้าช่วยเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ หดตัวเข้าไปในเตียง “อี้เซวียน เจ้าฟังข้า…”
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันรู้ตัว ด้านหน้ามืดลงทันที แม้แต่เสียงตกใจยังไม่ทันร้องออกมา
สามวันสามคืนที่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ออกจากห้อง หวงฝู่อี้เซวียนถามประโยคเดียวตลอดเวลา “เจ้ายังกล้าหนีไปจากข้าอีกหรือไม่”
วันที่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวยังอดทนไม่ตอบ
วันที่สอง เริ่มทนไม่ไหว ออกเสียงขอร้องเบาๆ
วันที่สาม ยกเอาบรรพบุรุษของตระกูลเมิ่งมารับประกัน หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังไม่ปล่อยนาง
วันที่สี่พอลืมตาขึ้นมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็รับประกันด้วยน้ำเสียงแหบแห้งน่าสงสารว่า “อี้เซวียนคนดี เจ้าปล่อยข้าไปเถิด ต่อไปข้าจะไม่หนีไปจากเจ้าอีกแน่นอน”
สามวันผ่านไป ร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ของหวงฝู่อี้เซวียนได้รับการเติมเต็มแล้ว และยังได้รับคำรับประกันจากเมิ่งเชี่ยนโยว ตอนแรกตั้งใจจะปล่อยนางวันนี้ ได้ยินที่นางพูด จึงกล่าวถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ว่า “จดจำบทเรียนนี้ดีหรือยัง”
ประโยคนี้เป็นประโยคที่สองที่ไม่เหมือนเดิมตลอดสามวันที่ผ่านมาที่เขาพูด เมิ่งเชี่ยนโยวฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาเริ่มอ่อนลง ดีใจมาก รีบพยักหน้าต่อกันหลายๆ ครั้ง เริ่มพูดประโยครับประกันยาวๆ “จำได้แล้ว จำได้แล้ว หากไม่ได้รับคำอนุญาตจากเจ้า ทั้งชีวิตนี้ข้าจะไม่ห่างจากเจ้าแม้แต่ก้าวเดียว”