เหลยลี่ได้ฟังคำของอันจี๋ถิงแล้ว แต่ไม่รีบร้อนอธิบาย
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในโลกนี้ยังมีแม่ที่จำลูกตัวเองไม่ได้
ต่อให้หน้าตาเปลี่ยนไปบ้าง แต่นิสัยความเคยชินและการพูดจาไม่มีทางเปลี่ยนกันได้
แม่เป็นคนที่ใกล้ชิดลูกที่สุด จะหลงลืม ไม่เข้าใจไปได้ยังไงกันนะ
อันจี๋ถิงเห็นเหลยลี่เป็นเช่นนี้ก็ตั้งป้อมเข้าใจว่าเขาคงพูดมั่วไปอย่างนั้นเอง
ถึงกับคิดอยากจะเห็นเขาขายหน้าผู้คน เธอยกถ้วยขึ้นด้วยทีท่าสง่างาม จิบกาแฟคำหนึ่ง
กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ดีมาก ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง รสขมฝาดเข้ามาในปาก ทำให้รู้สึกถึงความสุขสบายเหลือล้น เหลยลี่ก็ดื่มกาแฟตามไปด้วยคำหนึ่ง
จากนั้นก็หันมาทำหน้าเครียดกับอันจี๋ถิง อันจี๋ถิงยังทำท่าไม่สนใจเขา
เหลยลี่โมโหกรุ่นขึ้นมาบ้าง เขาวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะอย่างแรง เพื่อดึงความสนใจจากอันจี๋ถิง อันจี๋ถิงเลิกคิ้วขึ้นตวัดสายตามาที่ใบหน้าของเหลยลี่อย่างไม่ชอบใจนัก
เหลยลี่ก็ไม่เปิดศึกสงครามจิตวิทยากับเธออีก เอ่ยปากออกมาตรงๆ ว่า “คุณรู้สึกว่าลูกสาวที่อยู่ด้วยตอนนี้เป็นตัวจริงงั้นรึ?”
อันจี๋ถิงดึงสติจากความคิดของตัวเองออกมา เธอเงยหน้าขึ้นมองเหลยลี่อย่างสำรวจ
ตอนนี้มาพูดเรื่องลูกสาวของเธอ เขาคิดอะไรอยู่กันแน่ สังคมสมัยนี้แต่ละคนต่างก็มีวิธีการของตัวเอง และต่างเก็บซ่อนความต้องการส่วนลึกเอาไว้ในใจ
อย่าว่าแต่พวกเขาที่อยู่ในสังคมชั้นสูง ถ้าหากไม่มีลู่ทางอยู่บ้างคงยากที่จะอยู่มาได้จนถึงบัดนี้
แต่ละคนต่างก็ผ่านเตาหลอมของสังคม ผ่านกระบวนการคัดเลือกกันมาแล้ว สุดท้ายเหลือเพียงพวกหนังเหนียวเคี้ยวยากไว้…ท้าชิงกัน
ยศศักดิ์เงินทองอยู่ที่การทำตัว ส่วนชะตาเป็นตายนั้นอยู่ที่ฟ้าลิขิต ผลสุดท้ายก็ต้องดูที่เวรกรรมที่ทำไว้ของแต่ละคนแล้ว
และระหว่างที่ทำกรรมนี้เอง พวกเขาก็จำต้องใช้หลุมพรางไปดักล่อคนอื่น ต้องใช้แผนอุบายมาป้องกันกันตัวเองจากการตกหลุมพรางคนอื่น
ดังนั้นคนพวกนี้จึงใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับหลุมพรางกับดักวางแผนการไม่หยุด อันจี๋ถิงเห็นด้วยกับคำถามของเหลยลี่อยู่ในใจ แต่ต่อให้ตอนนี้เธอจะมีข้อสงสัยมากมายแค่ไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก เธอก็ไม่กล้าพูดความในใจที่แท้จริงของตัวเองออกมาหรอก
ด้วยกลัวว่าจะมีคนคิดร้าย ฉวยโอกาสนี้ทำให้ตัวเองถึงตายได้ เหลยลี่พูดยิ้มๆ กับอันจี๋ถิงว่าเธอไม่ได้พูดความในใจของตัวเองออกมา
อันจี๋ถิงกลับปฏิเสธไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า อันที่จริงเหลยลี่ก็ไม่กล้าแน่ใจว่าอันจี๋ถิงสงสัยอี้อวิ๋นฉังที่อยู่ข้างตัวเธอหรือไม่
ตอนนี้เขาใช้ยุทธวิธีแกล้งยอมอ่อนข้อให้ โดยคิดใช้คำพูดของตัวเองมาสะกิดให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยขึ้น
จากนั้นจับสังเกตดูพิรุธที่เกิดขึ้น อันจี๋ถิงจะยังไงก็ถือกำเนิดจากครอบครัวใหญ่ ย่อมจะยอมรับฟังหลักเหตุผลได้ง่าย คนที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนจะคล้อยตามคำพูดเล่าลือพวกนี้จนไร้สติคิดตรองได้ยังไง
อันจี๋ถิงท่าทางมั่นคงประดุจขุนเขา ทำให้เหลยลี่นั่งไม่ติดที่อยู่บ้าง
เขาถามต่อว่า “คุณดูไม่ออกหรือว่ามีอะไรผิดปกติ?” อันจี๋ถิงยังทำท่าว่ามั่นใจไม่หวั่นไหว บอกว่าเธอไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย เพราะอี้อวิ๋นฉังเป็นลูกสาวของเธอ
เหลยลี่โต้แย้งเธออย่างโมโหอยู่บ้างว่า “คนเป็นแม่ทำไมไม่รู้จักเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง ต่อให้หน้าตาเปลี่ยนไป นิสัยใจคอ ท่าทางคำพูดคำจาก็ไม่เปลี่ยนไปนี่นา”
อันจี๋ถิงตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่าก็อย่างนั้นนะสิ เธอเป็นลูกสาวของตัวเองจริงๆ เหลยลี่เองก็หมดแรงจะอธิบายแล้ว
แต่พอนึกถึงหลินหว่านที่มาขอร้องเขาอย่างน่าสงสารแล้ว เขายังคิดจะพูดจาโน้มน้าวอันจี๋ถิงอีกหน่อย หรือจะหาวิธีแก้ไขมาสักทาง ให้ทั้งสองฝ่ายได้มาสงบสติอารมณ์คุยกันดีๆ
ดูเหมือนว่าประสบการณ์ของเหลยลี่คงยังอ่อนหัดไปบ้าง เมื่อเทียบกับอันจี๋ถิง เหลยลี่ก็เหมือนเป็นแค่มดเล็กๆ ตัวหนึ่ง
เหลยลี่ทำท่าเป็นปกติ พูดว่า “คุณอัน ประเทศจีนมีคำกล่าวโบราณว่าไว้ ‘ไร้ลมไม่เกิดคลื่น’ บางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลเสียทีเดียว
เชื่อว่าคุณคงไม่อยากให้ผ่านไปอีกหลายปีแล้วค่อยมาพบว่า ลูกสาวสุดที่รักที่อยู่กับคุณมาตลอดเป็นแค่ตัวปลอม ส่วนลูกสาวสุดที่รักตัวจริงกลับต้องตกระกำลำบากอยู่ข้างนอกนั่นนะ”
อันจี๋ถิงเปลือกนอกดูไปสงบราบเรียบ แต่ในใจนั้นปั่นป่วนเป็นคลื่นมรสุมตั้งแต่แรกแล้ว
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยสงสัย แต่ยังไม่กล้าฟันธงต่างหาก ก็พวกเธอแม่ลูกไม่ได้พบเจอกันมาตั้งหลายปี
นิสัยใจคอ และความเคยชินเล็กๆ น้อยๆ อย่างอื่นก็สามารถเปลี่ยนไปได้เพราะสภาพแวดล้อม
พวกนี้เป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่อันจี๋ถิงก็รู้ดีว่า เหลยลี่เป็นคนตรงมากๆ เขาจะไม่ช่วยคนที่เขาเห็นว่าเป็นฝ่ายผิดอย่างเด็ดขาด
และเหลยลี่ก็ไม่ทำเรื่องที่ไม่มั่นใจว่าจะทำได้ ดังนั้นเรื่องลูกสาวนี้ อันจี๋ถิงเห็นว่าเธอต้องคิดใคร่ครวญจริงๆ ซะแล้ว
ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้มีความสงสัยอยู่สามสิบเปอร์เซ็นต์ ดูจากสภาพตอนนี้แล้ว เพิ่มเป็นห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว สัดส่วนมากขนาดนี้ทำให้รู้สึกกังวลใจขึ้นมาได้
อันจี๋ถิงรู้สึกว่าใจเธอว้าวุ่นปั่นป่วนไปหมด เรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรได้ ถ้าให้อี้อวิ๋นฉังรู้ว่าเธอกำลังสืบเรื่องนี้อยู่ละก็…
คงเกิดผลกระทบที่ไม่อาจวัดได้เลยทีเดียว ถ้าอันจี๋ถิงไม่ใช่ลูกสาวเธอก็ยังพอทำเนา แต่ถ้าผลการตรวจสอบออกมาบอกว่าเธอเป็นลูกสาวตัวเองจริงๆ อย่างนั้นเรื่องนี้คงกระทบใจเธออย่างมาก อันจี๋ถิงจึงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
งั้นสภาพอิหลักอิเหลื่อนี้ควรจะจบลงอย่างไร โอกาสพลิกผันมีสูงเกินไป ทำให้เจ้าของเรื่องไม่กล้าตัดสินใจโดยง่าย เหลยลี่ดูเหมือนจะดูออกว่าอันจี๋ถิงลังเลไม่อาจตัดสินใจได้
จึงไม่ไล่บี้ให้อันจี๋ถิงเป็นคนตัดสินใจ แค่เห็นว่าอันจี๋ถิงเกิดความสงสัย ทุกอย่างก็ไม่ต้องร้อนใจขนาดนั้นแล้ว
เหลยลี่ถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก พิงร่างกับพนักเก้าอี้ด้านหลัง ดื่มกาแฟอย่างสบายใจไร้กังวล
ตอนนี้สภาพของทั้งสองสลับสับเปลี่ยนกันไปแล้ว อันจี๋ถิงเหมือนกับเหลยลี่ตอนเพิ่งเข้าประตูมาเมื่อครู่ เหมือนเป็นมดในกระทะร้อน ตะกายค้นหาไปทั่ว โดยไม่มีคนช่วยเหลือ
เธอยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว เรื่องของลูกสาวนี้ เธอตัดสินใจเร็วเกินไป เห็นได้ชัดว่าตัวเองใช้อารมณ์มากเกินไป
อันจี๋ถิงล้วงเงินจากกระเป๋าอย่างลนลาน วางลงบนโต๊ะอย่างแรง แล้วยืนขึ้นช้าๆ
บอกลาเหลยลี่ เหลยลี่ยังจมอยู่กับคำพูดสั่งสอนเมื่อครู่ของตัวเอง คิดไม่ถึงว่าอันจี๋ถิงจะตื่นเต้นขนาดนี้
นาทีนั้นเหลยลี่ยังไม่ทันได้ตั้งสติ ก็เห็นอันจี๋ถิงหันหลังจากไป เขารีบเร่งฝีเท้าตามไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ตามทันอันจี๋ถิงนั้น เธอนั่งนิ่งอยู่บนรถแล้ว เหลยลี่กระหืดกระหอบมาตบประตูรถของอันจี๋ถิง บอกให้เธอไขกระจกรถลงมา
อันจี๋ถิงก็ไม่ได้ปฏิเสธ เธอเลื่อนกระจกหน้าต่างรถลงช้าๆ หน้าเชิดคอแข็งอย่างทระนงตัว ไม่มองเหลยลี่เลยสักแวบเดียว เหลยลี่เห็นแก่ว่าเธอเป็นแม่ของหลินหว่านจึงข่มโทสะในใจตัวเองไว้
พูดกับเธอช้าๆ ว่า “ผมรู้สึกเห็นใจอย่างยิ่งกับการกระทำที่ไร้มารยาทเมื่อครู่ของคุณ แต่ผมยังอยากจะเตือนคุณว่า มีบางเรื่องที่คุณมองเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น ส่วนที่ลึกกว่านั้นคุณคงต้องไปขุดหาเอาเอง” ในที่สุดอันจี๋ถิงก็ปรับสีหน้าท่าทางคอแข็งเริ่ดเชิดหยิ่งของเธอลง หันมามองเหลยลี่ เห็นเหลยลี่มีสีหน้าจริงจัง อันจี๋ถิงก็ไม่คอแข็งนักแล้ว