กระบี่แสงสายหนึ่งพลันส่องสว่างขึ้น เมื่อเทียบกับแสงอันไร้ขีดจำกัดที่ส่องออกมาจากภายในหมอกหิมะทางนั้นแล้ว ก็ช่างมืดมัวถึงเพียงนั้น ไม่คู่ควรให้พูดขึ้นมาเลยจริงๆ ร่องรอยที่กระบี่ในหมอกฝนวาดออกมา ทิศทางที่มุ่งไปก็ธรรมดาถึงเพียงนั้น ไม่ว่าจะให้ใครมาดูก็ตาม ก็ล้วนเห็นเป็นกระบวนท่ากระบี่ที่แสนจะธรรมดา แต่ในชั่วพริบตาที่คมกระบี่ถูกยกขึ้นมานั้น หมอกฝนกับหมอกหิมะที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าพลันหยุดลงอย่างกะทันหัน แม้แต่แสงอันไร้ขีดจำกัดที่มาจากกระบี่จำศีลก็ยังเริ่มถดถอยไป และจมหายเข้าไปทางกระบี่ไร้ราคี!
เพลงกระบี่จรัสแสงยังไม่ได้เข้ามา ที่อยู่ภายในหมอกควันก็คือเจตจำนงกระบี่ มันไร้รูปร่าง มีเพียงเจตจำนง แต่เฉินฉางเซิงกลับมองเห็นถึงจุดประสงค์ของกระบี่จำศีลที่ซ่อนอยู่ภายใต้แสงสว่างไปก่อน เพราะว่าเขาใช้เพลงกระบี่รอบรู้ เขาใช้เวลาถึงเจ็ดวันเต็มๆ ในการเบิกตาของตน เขาต้องการจะมองดูความเป็นจริง
สามารถเดาได้ถึงเจตจำนงกระบี่ที่ซ่อนอยู่ภายในหมอกควัน สามารถมองเห็นความเป็นจริงที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่ได้แปลว่าจะสามารถทำลายได้อย่างง่ายดาย เขาจะทำได้อย่างไร กระบี่ไร้ราคีนั่นดูเหมือนว่าจะขยับไปตามความคิด กระบวนท่านั่นเห็นได้ชัดว่าแสนจะธรรมดาอย่างถึงที่สุด แต่กลับเหมาะสมกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ที่สุด ก็เหมือนกับรูปวาดวิหคและบุปผารูปหนึ่ง พู่กันสุดท้ายของเขาที่ดูเหมือนวาดลงไปอย่างไม่ใส่ใจ เส้นหมึกนั้นโค้งงอไร้กำลังขนาดนั้น แต่เมื่อถอยออกมาดูให้ไกลสักหน่อย เจ้าถึงจะสามารถเห็นได้ว่า นั่นเป็นกิ่งเหมยกิ่งหนึ่ง
หมึกที่แต้มลงไปอย่างไม่ใส่ใจ ก็สามารถที่จะแต้มดวงตาขึ้นมาได้ พู่กันที่แสนจะธรรมดา บางครั้งก็สามารถทำให้ภาพทั้งภาพมีชีวิตขึ้นได้
ปัญหาอยู่ที่ ต้องอยู่ในโอกาสที่เหมาะสม และเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมถึงจะแต้มหมึกจุดนั้นลงไป การจะจรดพู่กันนั้นไป ต้องอาศัยการฝึกฝนและการรับรู้จำนวนนับครั้งไม่ถ้วน เช่นนี้แล้วถึงจะสามารถรู้ได้ว่าพู่กันนี้ควรจะจรดลงไปตรงไหน อีกทั้งควรจะใช้รูปแบบเช่นไร
นี่เป็นรูปแบบพู่กันแบบไหน นี่เป็นเพลงกระบี่อะไร
บนชั้นหนึ่งของเรือใหญ่พลันมีเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจดังขึ้น “เพลงกระบี่กระท่อมเหมยหลังน้อย?”
คนที่พูดคืออาจารย์ผู้หนึ่งจากหอจงซื่อ ด้วยตำแหน่งสถานะของเขาแล้ว แน่นอนว่าไม่สามารถยืนอยู่ที่หัวเรือได้ แต่ด้วยระยะที่ห่างออกไป เขาก็ยังพอจะเห็นได้อย่างชัดเจนถึงเพลงกระบี่ที่เฉินฉางเซิงใช้อยู่ในหมอกฝนนี้ เขารู้สึกว่ากระบวนท่าของเฉินฉางเซิงคุ้นตาอย่างมาก เขาตกตะลึง จิตใต้สำนึกจึงสั่งให้พูดออกมา
มีคนจำนวนมากที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ แล้วย้อนกลับไปคิดถึงกระบี่นั้นของเฉินฉางเซิงอีกครั้ง ก็พบว่าเป็นเพลงกระบี่กระท่อมเหมยหลังน้อยที่ไร้ชื่อเสียงของหอจงซื่อจริงๆ ในชั่วขณะนั้นถึงกับไม่มีใครสามารถพูดออกมาได้ เรื่องที่เฉินฉางเซิงมีความกว้างขวางในวิถีกระบี่นั้นทำให้ผู้คนตกตะลึงจนเฉยชาไปนานแล้ว เพียงแต่เขาสามารถนึกถึงได้อย่างไร อีกทั้งยังกล้าใช้เพลงกระบี่ที่แสนจะธรรมดาเช่นนี้มาทำลายเพลงกระบี่จรัสแสงของสวีโหย่วหรง และเห็นได้ว่าถึงกับสำเร็จอีกด้วย
สำเร็จจริงๆ หรือ ไม่ นี่เพิ่งจะเป็นการเริ่มต้น
หนึ่งในห้าสุดยอดวิชาของโลกอย่างเพลงกระบี่จรัสแสง ไหนเลยจะทำลายได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ ในตอนที่กระบวนท่ากระบี่ของเฉินฉางเซิงแหวกทำลายหมอกฝนเข้ามา แล้วเผยความแหลมคมขึ้น แสงสว่างที่ถดถอยไปบ้างในหมอกหิมะก็เกิดการเคลื่อนไหวขึ้นมาอีกครั้ง มันเปลี่ยนเป็นรอยกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน นำพาหิมะและหยาดฝนฟันมาทางเฉินฉางเซิงอีกครั้ง
แสงสว่างยังคงอยู่ในหมอกหิมะ สวีโหย่วหรงยังคงอยู่ที่สะพานทางด้านนั้น ก็มีกระบวนท่ากระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนก้าวข้ามเข้ามาแล้ว กระบวนท่ากระบี่เหล่านั้นหลบซ่อนไม่แสดงออกมา อาศัยเพียงร่องรอยเหล่านั้นที่อยู่ในหมอกหิมะ ก็สามารถรับรู้ได้ว่ากระบวนท่ากระบี่เหล่านี้สูงส่งลึกล้ำถึงเพียงใด และมีอานุภาพอย่างไร้ขีดจำกัด
นี่ก็คือจุดที่ไม่อาจจะจินตนาการได้มากที่สุดของเพลงกระบี่จรัสแสง แสงสว่างเดินทางผ่านระหว่างฟ้าดิน สามารถเป็นได้ทุกสรรพสิ่ง สามารถเป็นหมื่นกระบี่ ต่อให้การบำเพ็ญเพียรของเฉินฉางเซิงในวิถีกระบี่จะสูงส่งสักแค่ไหน แต่เมื่อเจอกับเพลงกระบี่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปมาด้วยตัวเองราวกับเกล็ดหิมะ ก็จะไปสามารถทำอะไรได้อีก
กระบี่ของสวีโหย่วหรงไม่ได้มีการหยุดชะงักใดๆ ก็เป็นเวลาเดียวกับที่อาจารย์ของหอจงซื่อส่งเสียงออกมาอย่างตกตะลึง กระบี่จำศีลพลันทลายม่านหิมะออกมา ระยะห่างกับเฉินฉางเซิงก็มีเพียงแค่สิบกว่าจั้ง พลังของเพลงกระบี่จรัสแสงก็ข้ามสะพานหินไปแล้ว และมาถึงที่ตรงหน้าของเขา
มันแตกต่างกับการต่อสู้ที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงเหล่านั้นในหลายวันก่อนหน้านี้ เฉินฉางเซิงไม่ได้ใช้ย่างก้าวหยั่งเทวา ไม่ได้คิดจะหลบหลีกจากอานุภาพกระบี่ของอีกฝ่ายหรือทำการโจมตี เพราะตัวเขาที่เคยต่อสู้กับหนานเค่อมาก่อนชัดเจนดี คิดจะเทียบความเร็วกับสายเลือดของหงส์สวรรค์ เป็นการเลือกที่แสนจะโง่เขลา
และในตอนที่เขาวาดเส้นหนึ่งลงตรงพื้นหิมะบนสะพาน สวีโหย่วหรงก็ได้ยอมรับเส้นทางนี้แล้ว เช่นนั้นในตอนนี้เขาจะสามารถถอยไปได้อย่างไร สายตาของเขาสงบนิ่งและแน่วแน่ เขามองดูแสงสว่างเต็มท้องฟ้าที่อยู่ภายในหมอกหิมะ เขาไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะใช้มือทั้งสองข้างจับไปที่กระบี่ จากด้านบนลงสู่ด้านล่าง แล้วฟันเข้าไปตรงที่แสงสว่างรุ่งโรจน์ที่สุด!
บนเรือใหญ่พลันมีเสียงให้กำลังใจของถังซานสือลิ่วดังขึ้นมา “พลองพลิกขุนเขา! ทำลาย!”
กระบี่จำศีลของสวีโหย่วหรงยังไม่ได้ฟันลงมาจริงๆ ที่ทำลายหมอกหิมะออกไปนั่นคือเจตจำนงกระบี่
เช่นเดียวกัน เฉินฉางเซิงเปลี่ยนให้พลองพลิกขุนเขาของสำนักฝึกหลวงเป็นกระบี่ จึงไม่ได้ทำลายเพลงกระบี่จรัสแสงไปได้จริงๆ
แสงสว่างที่อยู่ในหมอกหิมะ ได้เปลี่ยนเป็นเจตจำนงกระบี่สามสายแล้ว แต่เฉินฉางเซิงก็ตอบสนองโดยการใช้ออกมาสามกระบี่
ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แสนสั้น
กระบี่แสงส่องสว่างใส่สะพานหน่ายเหอที่ถูกหมอกฝนปกคลุมเอาไว้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ถดถอยลงไปอีก แต่เพิ่มขึ้นมาสายแล้วสายเล่า
เหนือแม่น้ำลั่วราวกับได้เข้าสู่วันฝนฟ้าคะนองกลางฤดูร้อน ซึ่งในบางครั้งก็จะมีฟ้าแลบขึ้นมา
หมอกฝนพลันจับตัวกันเป็นชั้นเมฆ ตั้งแต่ต้นจนจบยังคงบ้าคลั่งทรงพลังอยู่เช่นนั้น ไม่ได้ถูกสายฟ้าเหล่านั้นแยกออก และเคลื่อนไหวไปทางสะพานด้านนั้น
ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่อยู่บนเรือหรือจะเป็นชาวเมืองที่อยู่สองฝั่งแม่น้ำ ก็ล้วนไม่สามารถมองดูรายละเอียดบนสะพานหน่ายเหอได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นชายเสื้อที่พลิ้วไหวกับผ้าขาวบางเหล่านั้น สามารถมองเห็นได้เพียงเงาร่างของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงที่อยู่ในหมอกฝนและหมอกหิมะ
สวีโหย่วหรงที่ค่อยๆ ก้าวขึ้นมาได้แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ออกมาเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ความกดดันจากแสงสว่างก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ก็เหมือนกับเทวรูปที่อยู่ในพระราชวังหลี และเฉินฉางเซิงที่ยืนอยู่ที่เดิมก็ยังคงเหมือนกับก่อนหน้านี้ เขาสงบและนิ่งเงียบราวกับเป็นก้อนหิน ไม่ว่าสายน้ำจะกัดเซาะเช่นไรก็ไม่เปลี่ยนแปลงรูปร่าง ไม่หวั่นไหวใจ
ผู้หนึ่งขยับ อีกผู้หนึ่งสงบ
ที่สงบคือใจ ที่เคลื่อนไหวคือกระบี่
กระบี่ไร้ราคีก็เหมือนกับสายฟ้า กระบี่จำศีลก็ยิ่งเหมือนกับดวงอาทิตย์ แต่ภายในหมอกฝนและหมอกหิมะ อันที่จริงแล้วก็เหมือนกับเรือสองลำที่กำลังแล่นอยู่บนมหาสมุทรยามสนธยา แล่นไปตามสายลม ทลายฝ่าคลื่นออกไป ค่อยๆ ใกล้กันขึ้นมาเรื่อยๆ ในที่สุดอีกนาทีเดียวก็จะได้พบกัน
จนกระทั่งถึงตอนนี้ กระบี่ของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงก็ยังไม่ได้พบกัน แต่ว่าเจตจำนงกระบี่ได้พบเจอกันมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
เหนือแม่น้ำลั่วพลันเกิดเสียงคำรามของกระบี่ที่ชัดเจนหลายสาย ที่ตามมาก็เป็นเสียงคมกระบี่ที่ตัดผ่านของแข็งทั้งมวล
สะพานหน่ายเหอที่มีค่ายกลอันแข็งแกร่งรักษาอยู่ ถึงจะเป็นเรือรบก็ยังไม่สามารถสร้างความเสียหายใส่ได้ ภายใต้คลื่นลมและประกายแสงจากกระบี่ทั้งสองนี้ ก็เห็นได้ว่าอ่อนแอถึงเพียงนั้น พื้นสะพานที่แข็งแกร่งปรากฏรอยแตกขึ้นนับไม่ถ้วน เศษหินที่กระเด็นออกมาในพริบตาก็ถูกอานุภาพของกระบี่บดทำลาย แนวรั้วทั้งสองฝั่งก็เกิดเป็นรอยแตกละเอียดราวกับใยแมงมุมขึ้นมาเต็มไปหมด รูปสลักหินที่เป็นรูปหัวสัตว์อสูรจ้องมองดูแม่น้ำลั่วอย่างสงบมาหลายปีเหล่านั้น ก็ถูกเจตจำนงกระบี่ที่หลงมา กับเศษหินที่กระจายออกมา สร้างความเสียหายจนดูไม่ได้
ชาวเมืองที่อยู่สองฝั่งแม่น้ำลั่วนั้นอยู่ค่อนข้างห่างออกไป จึงมองภาพเหตุการณ์บนสะพานได้ไม่ชัดเจน สามารถเห็นได้เพียงแค่เส้นแสงที่อยู่ในหิมะ ได้ยินถึงเสียงเหล่านั้น ต่อให้เป็นเช่นนี้ จิตใจก็ยังไม่สงบ ผู้คนที่อยู่บนเรือที่ใกล้เข้าไปอีก ก็ยิ่งถูกกระบวนท่ากระบี่อันลึกล้ำในหมอกฝนหมอกหิมะทำเอาตกตะลึงไป
“นั่นคือเพลงกระบี่สะเทือนฟ้าหรือ!”
“ลำนำชาวประมงสามบทเพลง!”
“ทำไมเขาถึงได้ใช้เพลงกระบี่ของพรรคไร้รักได้!”
เสียงอันตกตะลึงดังขึ้นมาจากด้านล่าง เหล่าคนที่ยืนอยู่บนหัวเรือได้มองไปที่สะพานหน่ายเหอ นิ่งเงียบไม่พูดจา
ใช่ ที่จริงแล้วบนโลกใบนี้ไม่มีเพลงกระบี่ไหนที่สามารถทำลายเพลงกระบี่จรัสแสงได้อย่างสมบูรณ์ เพราะว่าเพลงกระบี่ของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ชุดนี้เกินกว่าจะจินตนาการไปแล้ว แต่ในวินาทีที่แสงสว่างได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอกหิมะ เฉินฉางเซิงได้นึกถึงสิ่งที่บันทึกเอาไว้ในคัมภีร์ลัทธิเต๋า และก็รู้สึกปลงอนิจจังขึ้นมาเช่นกัน…เขาไม่เคยเห็นเพลงกระบี่ที่ซับซ้อนจนแทบจะครอบคลุมไปทุกอย่างเช่นนี้ แต่กลับเรียบง่ายและแอบสอดคล้องกับหลักการของฟ้าถึงเพียงนี้ กระทั่งคิดก็ยังไม่เคยคิดมาก่อน เพลงกระบี่จรัสแสงเป็นชายฝั่งสุดท้ายของวิถีกระบี่แล้ว ตั้งแต่ที่ตนเริ่มบำเพ็ญเพียรมา มีเพียงตอนที่เขาได้เห็นซูหลีใช้กระบี่บังฟ้าฟันฝ่าออกไปทางใต้จากพื้นที่ราบหิมะในอาณาเขตเผ่ามารเท่านั้น ถึงจะเกิดความรู้สึกที่เหมือนกันขึ้นมา
ด้วยการบำเพ็ญเพียรของเขาในตอนนี้ หากจะทำลายเพลงกระบี่จรัสแสง มีเพียงแค่สองวิธี นั่นก็คือการใช้กระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่เขาหลีซาน หรือเหมือนกับตอนที่อยู่ในสวนโจว กับตอนที่เผชิญหน้ากับจูลั่วที่เมืองสวินหยางเช่นนั้น โดยการใช้หมื่นกระบี่จากสระกระบี่ที่ซ่อนอยู่ในฝักกระบี่อย่างซ่อนคม แต่จุดจบของวิธีแรกจะต้องอยู่หรือตายไปพร้อมกัน ไม่อาจที่จะเลือกได้ วิธีหลังก็เป็นผลลัพธ์ที่เขาไม่อาจจะควบคุมหมื่นกระบี่ที่ออกมา เช่นนั้นก็จะก้าวข้ามการคำนวณและอนุมานของเขาในช่วงเจ็ดวันมานี้ ดังนั้นก็ไม่สามารถที่จะเลือกได้เช่นกัน
สุดท้าย วิธีการที่เขาใช้ก็คือเพลงกระบี่ที่สามที่ซูหลีสอนให้กับเขา และก็คือเพลงกระบี่ที่แม้แต่ตัวของซูหลีเองก็ยังเรียนไม่สำเร็จ เพียงแต่ในครั้งนี้ที่เขาดึงมาใช้เป็นเพียงเจตจำนงกระบี่ แต่ไม่ใช่ตัวของเพลงกระบี่นั่น เขาไม่ได้ใช้กระบี่นั้นป้องกัน เพียงแต่ใช้ความโง่งมของกระบี่นั้น เพราะว่าวิธีการนั่นจะดูอย่างไรก็ดูโง่งมอย่างมาก
เขาใช้เพลงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน มาทำลายเพลงกระบี่ของสวีโหย่วหรง
แสงสว่างสาดส่องมายังโลกมนุษย์ สามารถลอกเลียนเจตจำนงกระบี่ทั้งหมดในโลกมนุษย์ได้
เช่นนั้นเขาก็จะใช้เพลงกระบี่ทั้งหมดที่มีอยู่บนโลก ใช้ออกมาทั้งหมด
วิธีการเช่นนี้ดูโง่อย่างมาก แต่การที่สามารถเรียนรู้เพลงกระบี่ทั้งหมดบนโลก อีกทั้งยังรู้ว่าตอนไหนควรจะใช้เพลงกระบี่อะไรออกมา ถึงจะสามารถทำลายรูปร่างที่ไร้ลักษณ์ของมันก่อนที่แสงจะสว่าง ทำลายเจตจำนงของผู้ที่ไร้เจตจำนง จะไม่เป็นคนโง่จริงๆ ได้อย่างไร
อาจารย์จากสำนักไม้เลื้อยกับนักเรียนที่อยู่ด้านล่างของเรือใหญ่เหล่านั้นไม่เข้าใจ เหล่าบุคคลสำคัญที่ยืนอยู่บนหัวเรือกลับชัดเจนในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ดังนั้นเมื่อมองเห็นเจตจำนงกระบี่ที่อยู่ระหว่างฟ้าดินบนสะพานหิมะเหล่านั้น พวกเขาก็นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
เสนาบดีกรมพิธีการไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียร จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ใช้เพลงกระบี่มากี่ชุดแล้ว”
ราชันย์แห่งหลิงไห่ได้พูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าสำนักเฉินใช้เพลงกระบี่ออกไปสี่สิบสามชุดแล้ว”
นักพรตซือหยวนพูดขึ้นด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน “เพลงกระบี่ชุดหนึ่งก็ยังไม่ได้จบลงเลย”
ที่สองผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวงพูดล้วนเป็นความจริง อีกทั้งยังไม่ได้พูดแยกระหว่างเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง
เพลงกระบี่จรัสแสงของสวีโหย่วหรงชุดนี้ ก็ยังไม่ถูกใช้ออกมาจนจบจริงๆ
เพลงกระบี่ทั้งสี่สิบสามชุดของเฉินฉางเซิง แน่นอนว่าสามารถเข้าใจเป็นเพลงกระบี่หนึ่งชุดได้
บนหัวเรือเงียบสงัด ที่จริงในตอนแรกสุด มีคนที่กำลังพูดมาโดยตลอด
ในตอนที่เฉินฉางเซิงใช้เพลงกระบี่ชุดที่หกออกมา ซูม่ออวี่พลันพูดขึ้นเสียงเบา “ข้าแพ้แล้ว”
ในตอนที่เฉินฉางเซิงใช้เพลงกระบี่ชุดที่เก้าออกมา ขุนพลเทพผู้หนึ่งที่กลับมาจากด่านเฉียหลานพลันขมวดคิ้วขึ้นน้อยๆ แล้วส่ายหน้าขึ้น
ในตอนที่เฉินฉางเซิงใช้เพลงกระบี่ชุดที่สิบเอ็ดออกมา มือของเซวียเหอพลันจับไปที่แขนที่ขาดของตนเบาๆ
ในตอนที่เฉินฉางเซิงใช้เพลงกระบี่ชุดที่ยี่สิบเจ็ดออกมา เจ๋อซิ่วส่ายหน้าขึ้น ถ้าหากเขากับเฉินฉางเซิงเผชิญหน้ากันตรงๆ เมื่อถึงตรงนี้เขาก็คงพ่ายแพ้ไปแล้ว แน่นอนนี่เป็นการพูดถึงกระบี่ ไม่ใช่การต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ถังซานสือลิ่วแวบหนึ่ง ค่อนข้างจะไม่เข้าใจ ในใจคิดว่าหรือเจ้าจะยังสามารถทนได้นานกว่าตัวข้าอีก
ถังซานสือลิ่วไม่ได้พูดว่าตนจะแพ้ตอนไหนมาโดยตลอด ในตอนนี้กลับพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “เจ้าหมอนี่เรียนเพลงกระบี่ของพวกเราไปจนหมดแล้วหรือ”
คนจำนวนมากบนหัวเรือล้วนมีสีหน้าดูไม่ได้ แต่กลับไม่อาจโต้แย้งขึ้นมา
ผู้คนบนโลกล้วนรู้ว่าเฉินฉางเซิงอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าจนแตกฉาน หรือว่าเขายังจะสามารถเรียนเพลงกระบี่ทั้งหมดบนโลกได้สำเร็จ