ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 16 เพลงกระบี่รอบรู้ที่ฟาดฟันออกไป

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เจ๋อซิ่วมองดูเส้นแสงที่อยู่ในหมอกหิมะบนสะพาน แล้วพูดขึ้น “เป็นเช่นนี้จริงๆ”

และก็ไม่มีใครโต้เถียงคำพูดของเขา ถ้าหากพูดว่าการบำเพ็ญเพียรในวิถีกระบี่ที่เฉินฉางเซิงแสดงออกมานั้นทำให้ผู้คนปลงอนิจจังเป็นอย่างมาก ระดับของสวีโหย่วหรงที่แสดงออกมาก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงจนพูดไม่ออก ก็เหมือนกับที่ถังซานสือลิ่วเคยพูดกับเฉินฉางเซิงที่โรงเตี๊ยมในสวนหลีจื่อนั่น ตั้งแต่ต้นจนจบนางล้วนทำให้ผู้คนไร้คำจะพูด

ตั้งแต่ที่เริ่มต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบสวีโหย่วหรงยังคงควบคุมสถานการณ์บนสะพานหน่ายเหอได้อย่างสุขุม มรสุมที่เกิดจากกระบี่ของเฉินฉางเซิง มองดูเหมือนจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายก็ถูกทำลายไป ถ้าหากพูดว่าเฉินฉางเซิงแข็งแกร่งจนไม่อาจจะจินตนาการได้ เช่นนั้นสวีโหย่วหรงที่มาถึงขั้นนี้ก็ยังสงบนิ่งเหมือนเก่าอยู่นั้น จะแข็งแกร่งไปจนถึงขั้นไหนกัน

เจตจำนงกระบี่แทรกผ่านเข้าไปในสะพานหิน อานุภาพกระบี่กดทับลงบนค่ายกล หมอกหิมะกับหมอกฝนกระจัดกระจาย แสงสว่างกับสายน้ำพลันปะทะกัน

ชาวเมืองที่อยู่สองฝั่งแม่น้ำลั่วมองเห็นเพียงแค่ภาพของสายฝนและเกล็ดหิมะที่งดงามกับฉากการต่อสู้กันที่ราวกับอยู่ในเทพนิยาย ซึ่งมองไม่เข้าใจถึงสิ่งที่อยู่ในนั้น จึงส่งเสียงให้กำลังใจกับเสียงตกตะลึงไม่หยุด ผู้คนที่อยู่บนหัวเรือกลับเงียบกริบขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเหล่าบุคคลสำคัญที่อยู่บนหัวเรือ

เพราะว่าพวกเขาได้เห็นความสมบูรณ์แบบ

สะพานหินที่อยู่ระหว่างฟ้าดิน เส้นแสงที่เคลื่อนอยู่ระหว่างฟ้าดิน เพลงกระบี่ทั้งหมดที่มีอยู่ระหว่างฟ้าดิน ราวกับได้ปรากฏขึ้นบนสะพานหินทั้งหมด

ระดับของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง ในโลกยุคนี้ไม่นับว่าเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆ แม้แต่บนหัวเรือก็มีเกินกว่าสิบคนที่สามารถเอาชนะพวกเขาได้อย่างง่ายดาย แต่ความสามารถของสติปัญญากับการบำเพ็ญเพียรในวิถีกระบี่ที่พวกเขาแสดงออกมาในการต่อสู้ครั้งนี้ กลับสามารถพูดได้ว่าใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบ นี่ก็หมายความว่า พวกเขามีศักยภาพที่ยากจะจินตนาการ ขอเพียงแค่ไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน พวกคนที่อยู่บนหัวเรือเหล่านั้นล้วนต้องถูกก้าวข้ามไป เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้กับใต้เท้าสังฆราชในอนาคตที่อายุน้อยที่สุด ก็สมแล้วที่จะไม่ธรรมดา

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เซวียเหอได้เดินไปถึงด้านหน้าสุดของหัวเรือแล้ว เขามองภาพการต่อสู้ที่เกิดขึ้นบนสะพาน ความรู้สึกก็ยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ มือที่กุมอยู่ตรงแขนที่ขาดก็ตกลงมาตั้งนานแล้ว กลับเอื้อมจับดาบที่ไม่มีอยู่ ท่ามกลางลมหิมะที่อยู่ในอากาศ ราวกับต้องการจะเข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เพราะว่าเขาพอจะรู้สึกได้ว่าในร่องรอยกระบี่ที่ซับซ้อนอย่างมากซึ่งอยู่ในหมอกหิมะหมอกฝนเหล่านั้น มีกลิ่นอายบางอย่างที่ตัวเขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก นั่นไม่ใช่กลิ่นอายของกระบี่ แต่เป็นกลิ่นอายของดาบ นี่เป็นเรื่องอะไรกันแน่

เห็นชัดๆ ว่าที่เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงใช้คือกระบี่ ทำไมถึงมีเจตจำนงของดาบทลายสะพานออกมา เจตจำนงดาบนั่นยังสูงส่งถึงเพียงนี้อีก! ทันใดนั้นเซวียเหอก็นึกขึ้นมาได้ เฉินฉางเซิงใช้วิถีดาบของหวังผ้อ จึงคิดว่าตนได้เข้าใจเหตุผลที่ซ่อนอยู่ในนั้น และไม่ครุ่นคิดให้มากอีก เขาดำดิ่งลงไปในการต่อสู้ครั้งนี้ โดยหวังว่าจะบรรลุไปสู่จุดที่สูงกว่านี้ได้

เฉินฉางเซิงที่ยืนอยู่บนสะพานไม่ได้รู้สึกถึงเจตจำนงดาบ ข้อแรกเป็นเพราะสถานการณ์ตึงเครียดอย่างมาก จึงยากจะแบ่งสมาธิ ข้อสองเป็นเพราะเขาเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เจตจำนงดาบสายนั้นที่เซวียเหอรู้สึกถึง ไม่ได้มาจากกระบี่ของเขากับสวีโหย่วหรง แต่…ในตอนที่เจตจำนงกระบี่ของเขากับสวีโหย่วหรงผสานเข้าด้วยกัน มันได้กระจายกลิ่นอายบางส่วนออกมา

ถ้าหากในตอนนี้เขาสามารถพบรายละเอียดนี้ได้ บางทีเขาอาจจะเข้าใจในเรื่องบางอย่าง

ค่อนข้างจะน่าเสียดาย เขาไม่ได้พบมัน สายตากับสมาธิของเขาไปอยู่ในเส้นแสงนับหมื่นสายที่อยู่ในหมอกหิมะทั้งหมด ความคิดพลันทำงานอย่างรวดเร็ว เพื่อทำการคำนวณและอนุมานไม่หยุด เพลงกระบี่รอบรู้ได้ฟาดฟันออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาไปขวางอยู่ที่ด้านหลังของเพลงกระบี่จรัสแสงที่แสนน่ากลัวเหล่านั้นล่วงหน้า

เขาไม่รู้ว่าตนใช้เพลงกระบี่ไปมากเท่าไรแล้ว เขารู้เพียงว่าตนไม่สามารถจะเรียนรู้เพลงกระบี่ทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกได้ จึงฝืนไว้อย่างลำบาก ในตอนแรกที่เมืองสวินหยางเขาเพียงแต่เคยใช้เพลงกระบี่สันดาปไปไม่กี่ครั้ง ในวันนี้อย่างน้อยก็ใช้ไปสิบกว่าครั้งแล้ว เผาผลาญจนปราณแท้ที่มาจากพื้นที่ราบหิมะใกล้จะหมดสิ้นไปแล้ว ในตอนนี้เขาอาศัยทะเลสาบที่อยู่นอกแดนลึกลับแห่งนั้นพยุงสถานการณ์เอาไว้อย่างสมบูรณ์

แต่เขาไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้เลย เพราะว่าความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าการเตรียมตัวในเจ็ดวันนี้ของเขามีประโยชน์ สวีโหย่วหรงเรียนเพลงกระบี่จรัสแสงสำเร็จอย่างเหนือความคาดหมาย กระบวนท่ากระบี่ที่ศักดิ์สิทธิ์เข้มงวด ราวกับมหาสมุทรและก็ราวกับหยาดน้ำค้าง ตั้งแต่ต้นจนจบยังไม่ได้ทำลายเส้นที่อยู่ตรงกลางของสะพานหน่ายเหอเส้นนั้น อีกทั้งเขายังเชื่อว่าสวีโหย่วหรงไม่สามารถฝืนยื้อต่อไปได้อีกนานนัก

ในตอนที่ปราณแท้ของสวีโหย่วหรงไม่สามารถควบคุมเพลงกระบี่จรัสแสงได้อีกต่อไป ก็จะเป็นโอกาสในการโจมตีสวนกลับของเขา

แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ส่วนลึกในใจของเขากลับมีความรู้สึกว่าไม่อยากจะให้จบลงเช่นนี้

เพราะว่าในตอนนี้เขามีความสุขเป็นอย่างมาก

ถึงแม้ว่าเพลงกระบี่รอบรู้จะบีบคั้นสมองไม่หยุด เพลงกระบี่สันดาปจะผลาญปราณแท้ของเขาอย่างต่อเนื่อง เพลงกระบี่โง่งมจะขัดเกลาจิตใจของเขาไม่หยุด แต่เขาก็ยังมีความสุขเป็นอย่างมาก

นี่ก็เหมือนการเดินหมาก แล้วได้พบกับคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือทัดเทียมและมีนิสัยถูกคออย่างกะทันหัน

ก็เหมือนกับตอนที่กำลังดื่มสุรา แล้วได้พบกับคู่หูที่คอแข็งพอกันอีกทั้งยังสามารถแต่งกลอนร่ำสุราอย่างกะทันหัน

หรือในการถกปรัชญา ได้พบกับสหายที่พูดจาสุภาพ และมีสีหน้าเป็นมิตร

มองดูเงาร่างของเด็กสาวในหมอกหิมะที่งดงาม เฉินฉางเซิงพลันเกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้นมา

เขาถึงขนาดรู้สึกราวกับว่าตนได้กลับไปยังสวนโจว และกำลังพูดคุยกับเด็กสาวผู้นั้นในวัดหิมะในทุ่งหญ้า

สนทนาได้อย่างสุขใจ

เต็มที่

เปี่ยมสุข

อีกทั้งยังสงบ

เขาถึงขนาดรู้สึกว่าสวีโหย่วหรงที่อยู่ในหมอกหิมะ ก็น่าจะคิดเหมือนกับตัวเขา

ใช่ สวีโหย่วหรงก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน แน่นอนว่าต้องชัดเจนยิ่งกว่าเขา

สวีโหย่วหรงไม่ได้คิดถึงสหายเล่นหมากหรือสหายร่ำสุรา แต่คิดไปถึงคืนนั้นที่อยู่ในวัดหิมะ

เพื่อการต่อสู้บนสะพานหน่ายเหอ เขากับนางก็ล้วนเตรียมตัวถึงเจ็ดวันเต็มๆ

กระดาษสามร้อยกว่าแผ่นที่เต็มไปด้วยการเขียนถึงการคำนวณอนุมาน แผ่นภูมิดวงดาวกว่าสิบเจ็ดรูป ในหมอกหิมะหมอกฝน และก็อยู่ในร่องรอยของเจตจำนงกระบี่

พวกเขาเล่นคู่กัน พูดคู่กัน และต่อสู้ร่วมกัน

ถ้าหากสามารถเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าจะดีเป็นอย่างมาก แต่ความจริงแล้วไม่สามารถที่จะเป็นไปได้

เกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงมาแหลกกระจาย หยาดฝนพลันเปลี่ยนไป พื้นสะพานหินแตกเป็นใยแมงมุม แม่น้ำลั่วที่ใต้สะพานกลายเป็นคลื่นน้ำนับหมื่น

เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงล้วนเดินไปถึงปลายทางเส้นทางของแต่ละคน

เงาร่างของเด็กสาวพลันปรากฏขึ้นท่ามกลางหิมะ ห่างจากเส้นแบ่งกลางของสะพานนั้นอย่างมาก เพียงแต่ฝีเท้ากลับหนักขึ้นมาอย่างมาก

การเปลี่ยนกระบวนท่าเพลงกระบี่ของเฉินฉางเซิงก็เริ่มที่จะติดขัดขึ้นมา ไม่ได้ว่องไวเหมือนกับตอนแรกสุดอีกแล้ว กระทั่งมีความรู้สึกยากจะคาดเดา

หมอกหิมะตกลงมา หมอกฝนกระจายออกไป บนสะพานหน่ายเหอพลันกระจ่างชัดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

เงาร่างทั้งสองพานพบกันบนสะพาน

ราวกับหมากที่อยู่ในกระดานนั้นเหลือเพียงคู่มือสองคนสุดท้าย ที่สุดแล้วก็จะชี้ผลแพ้ชนะ

เหมือนดั่งสิ่งที่เหลืออยู่บนที่นั่งร่ำสุรา พวกเศษถั่วที่อยู่บนจานนั้น ดูแล้วช่างอยากจะเอาชนะนัก

ท่ามกลางสายลมและเกล็ดหิมะ คนเดินทางไปยังวัดที่ว่างเปล่า มีเพียงเศษถ่านตรงหน้าเทวรูปเท่านั้นที่ยังหลงเหลือความอบอุ่นอยู่

ผ้าขาวบางปลิวไสวเบาๆ สายตาของสวีโหย่วหรงมีแสงศักดิ์สิทธิ์ให้เห็น ราวกับดวงดาวเหล่านั้นที่อยู่ในกระดานแห่งดวงดาว

เฉินฉางเซิงยกกระบี่ขึ้นเบาๆ คมกระบี่ได้แหวกผ่านเกล็ดหิมะที่ตกลงมาใหม่ ราวกับกระดาษทั้งสามร้อยแผ่นในอาคารหลังเล็กของสำนักฝึกหลวงได้ปลิวไสวร่ายรำ

สวีโหย่วหรงลอยขึ้นมา ราวกับทวยเทพที่เสด็จลงมายังโลก กระบี่ได้นำพาแสงสว่าง และแทงตรงมาที่เฉินฉางเซิง

กระบี่รอบรู้ได้ฟาดฟัน

กระบี่จำศีลได้ตัดผ่าน

ก็เป็นในตอนนี้เอง กลับเกิดเรื่องที่ทุกคนล้วนคิดไม่ถึงขึ้นมา

เดิมทีมือทั้งสองข้างของเฉินฉางเซิงซึ่งจับอยู่ที่ด้ามกระบี่ ในตอนนี้กลับปล่อยมือซ้ายขึ้นมาอย่างกะทันหัน และยื่นฝ่าหิมะกลางอากาศไปทางกระบี่จำศีลด้ามนั้น

เขาคิดจะทำอะไร ต่อให้ร่างกายของเขาเคยอาบเลือดมังกรมาก่อน กระทั่งยอดเยี่ยมยิ่งกว่าการชำระกระดูกอย่างสมบูรณ์ แต่อย่างไรเสียก็ยังเป็นเลือดเนื้อ จะสามารถต้านทานคมของกระบี่จำศีลได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นกระบี่จำศีลในตอนนี้ยังเต็มไปด้วยปราณแท้ของหงส์สวรรค์อย่างสวีโหย่วหรง นำพามาซึ่งแสงสว่างอันไร้ขีดจำกัด ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งในระดับสุดยอดอย่างเหมาชิวอวี่ ก็เกรงว่าจะไม่กล้าเอามือเปล่าไปรับ!

การเคลื่อนไหวของเฉินฉางเซิงดูไม่ใส่ใจ และเป็นธรรมชาติอย่างมาก ก็เหมือนกับการยื่นมือไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่บนชั้น

แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะใช้เพียงมือขวาของตนไปสกัดกระบี่จำศีลเล่มนี้

เขาเพียงแค่อย่าจะสร้างการเชื่อมต่อกับกระบี่จำศีลเล่มนี้

ที่นิ้วมือของเขาชี้ไป นอกจากแสงสว่างบนกระบี่จำศีลกับหิมะที่กลางอากาศนั่น ก็ยังมีสายสัมพันธ์ที่คล้ายจะมีคล้ายจะไม่มีสายนั้น

กระบี่จำศีล เดิมทีก็เป็นเขาที่นำออกมาจากสวนโจว!

เขาคุ้นเคยกับเจตจำนงกระบี่ของกระบี่จำศีลเป็นอย่างมาก ไหนเลยที่กระบี่จำศีลจะจำกลิ่นอายของเขาไม่ได้

สระกระบี่ในสวนโจวได้ปรากฏคืนสู่โลกอีกครั้ง กระบี่เก่านับหมื่นเล่มได้ต่อสู้เคียงข้างเขา รวมถึงกระบี่จำศีลด้วย กระบี่เหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นเพื่อนของเขา เป็นสหายร่วมรบ ในการต่อสู้สหายร่วมรบจะหันกระบี่ใส่เจ้าได้อย่างไร ในนาทีของความเป็นความตาย เพื่อนจะไม่ได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือจากเจ้าได้อย่างไร

บนสะพานหน่ายเหอพลันเกิดการสั่นไหวของไอพลังปราณสายหนึ่งที่ยากจะจินตนาการ!

กระบี่จำศีลเกิดการสั่นไหวขึ้นมากลางอากาศอย่างรุนแรง หลังจากนั้นก็บินไปทางเฉินฉางเซิงอย่างรวดเร็ว

เป็นการบิน และไม่ใช่การแทง เพราะว่าไม่มีความไม่เป็นมิตรอีกแล้ว และยิ่งไม่มีจิตสังหาร!

กระบี่จรัสแสงถูกทำลายในทันที!

แต่เรื่องที่ยิ่งทำให้คนต้องตกตะลึงก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง…ดูเหมือนว่าสวีโหย่วหรงจะเดาเรื่องนี้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว!

มือขวาของนางยังคงจับกระบี่จำศีลอยู่ นางอาศัยพลังนี้พุ่งขึ้นหน้า กระโปรงสีขาวร่ายรำท่ามกลางหิมะ เงาร่างพลันกลายเป็นสายเลือด ดึงเอาแสงสว่างนับหมื่นสายกลับมา แล้วพุ่งตรงเข้าไปถึงตรงหน้าของเฉินฉางเซิง ถ้าหากไม่ใช่เฉินฉางเซิงใช้ดวงจิตควบคุมกระบี่จำศีลในนาทีสุดท้าย การเคลื่อนไหวของสวีโหย่วหรงจะรวดเร็วอย่างไร ก็ไม่สามารถจะรวดเร็วได้ถึงขนาดนี้ และฝ่ากระบี่ไร้ราคีของเขาไปได้!

เฉินฉางเซิงคำนวณมาเป็นเวลาเจ็ดวัน

นางเองก็คำนวณมาเป็นเวลาเจ็ดวัน

เสียงหัวเราะหยันได้ดังขึ้นแผ่วเบา

บางทีอาจเป็นเพราะการควบคุมกระบี่จำศีลของเขาช้าไปหน่อย บางทีอาจเป็นเพราะอย่างไรเสียสวีโหย่วหรงก็เป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ มีเวลาได้กลับมาพบกับกระบี่จำศีลเพียงแค่เจ็ดวัน การควบคุมกระบี่จำศีลนั้นกินแรงยิ่งกว่าที่เฉินฉางเซิงคิด บางทีอาจเป็นเพราะเกิดเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายก็ต่างไม่เข้าใจขึ้นมา

กระบี่จำศีลพลันแทงเข้าไปที่บ่าซ้ายของเฉินฉางเซิง จนมีเลือดสดๆ ไหลทะลักออกมา

หลังจากนั้น กระบี่จำศีลก็ตกมาอยู่ในมือของเขา

สายลมและเกล็ดหิมะพลันพัดขึ้นมาเบาๆ อีกครั้ง เสียงที่เกิดขึ้นมา ราวกับฟ้าดินเองก็ยังรู้สึกว่าน่าประหลาด

ไม่รู้เพราะว่าอะไร การเคลื่อนไหวของเฉินฉางเซิงถึงได้ชะงักไป กระบี่ไร้ราคีในมือขวาที่เดิมทียอดเยี่ยมจนไร้ร่องรอย กลับเกิดการเคลื่อนไปบ้าง

สายลมอันแผ่วเบาพัดโชยอ่อน สวีโหย่วหรงยื่นนิ้วชี้ที่ผอมบางออกมา ดูแล้วเหมือนจะเชื่องช้า แต่ที่จริงกลับตรงเข้ามาที่หว่างคิ้วของเฉินฉางเซิงได้รวดเร็วอย่างหาใดเปรียบ

ทว่าเพียงนิ้วที่แสนจะธรรมดานี้ ไม่อาจจะทำอันตรายกับชีวิตของเฉินฉางเซิงได้ ร่างที่เคยอาบเลือดมังกรของเขาถึงแม้ว่าจะไม่สามารถต้านทานกระบี่มีชื่อที่อยู่ในอันดับร้อยศาสตราได้ แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่จะถูกนิ้วผอมบางนิ้วหนึ่งทำลายการป้องกันไปได้ ทว่าไม่รู้เป็นเพราะอะไร ในใจของเขาถึงได้รู้สึกถึงอันตรายแสนใหญ่หลวงอย่างกะทันหัน กระทั่งรู้สึกว่าชีวิตของตนกำลังจะจบสิ้นลง

ที่ปลายนิ้วของสวีโหย่วหรงมีแสงสว่างปรากฏอยู่ ราวกับแสงของหิ่งห้อย แต่ในนั้นดูเหมือนว่าจะซุกซ่อนพลังที่ไร้ขีดจำกัดอยู่

ไม่มีใครจะรวดเร็วไปกว่านิ้วมือนิ้วนี้ของนางได้

อย่างน้อยในการต่อสู้จำนวนมากที่เคยเกิดขึ้น นอกจากหนานเค่อแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะสามารถรวดเร็วได้เท่ากับนิ้วมือนิ้วนี้ของนาง

ตั้งแต่เริ่มสู้จนถึงตอนนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบนางก็ยังไม่เคยกางปีกหงส์สวรรค์ออกมา เพราะว่านางไม่ต้องการ

ร่างไร้ปีกหงส์สวรรค์หลากสี ในใจกลับตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว

นี่ก็คือดัชนีระลึกจิต!