ตอนที่ 199 โดย Ink Stone_Romance
ตอนที่ 199 แบกรับข้อกล่าวหา (1)
อี้เป่ยซีพยักหน้า ตอนแรกลั่วจื่อจี้ต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสายตาเป็นกังวลของอี้เป่ยซีหยุดอยู่ที่ลั่วจื่อหานตลอดเวลา จึงคิดว่าควรเปลี่ยนหัวข้อ เขารินน้ำแก้วหนึ่ง แล้ววางลงบนมือที่เย็นเฉียบของอี้เป่ยซี “ฉันจะไปถามข้อมูลจากหมอให้ละเอียด”
“อืม” ลั่วจื่อจี้ปิดประตูแผ่วเบา มีเพียงสองคนอยู่ภายในห้อง มันเงียบสงัดจนมีเพียงเสียงลมหายใจและเสียงน้ำตาที่ร่วงหล่นลงไปในน้ำ
อี้เป่ยซีเกาะสิ่งของที่อยู่ด้านข้างเพื่อเดินไปที่ข้างเตียงของลั่วจื่อหาน เอื้อมมือลูบโครงหน้าที่ชัดเจนของเขา เมื่อเธอคิดว่าใบหน้าที่เยือกเย็นนี้มักจะแสดงความอบอุ่นและความรักอย่างสุดซึ้งเวลาที่อยู่ต่อหน้าเธออย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียว น้ำตาก็พรั่งพรูออกมาอย่างควบคุมไว้ไม่อยู่
“ลั่วจื่อหาน นายเคยบอกว่า นายจะไม่จากฉันไปไหน นายคงไม่ผิดคำพูดหรอกนะใช่ไหม?” เธอเอาหน้าแนบชิดกับท้องของลั่วจือหาน “วันนี้ แค่วันนี้ที่ฉันจะอนุญาตให้นายไม่คุยกับฉัน ไม่สนใจฉัน แต่ถ้าพรุ่งนี้นายยังเป็นแบบนี้อีก ฉันก็จะไม่สนใจนายแล้ว”
“นายได้ยินหรือเปล่า ฉันจะไม่สนใจนายอีกเลย”
สิ้นสุดเสียง ภายในห้องก็เงียบสงัดยิ่งกว่าเดิม อี้เป่ยซีกอดเขาไว้ทั้งอย่างนี้ ค่อยๆ เข้าสู่ความฝัน เธอลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อฟ้าสาง คนที่อยู่บนเตียงยังคงหลับตาสนิท ไม่มีท่าทีสนใจเธอเลยแม้แต่น้อย
“ฟ้าสว่างแล้ว ลั่วจื่อหาน ทำไมนายถึงขี้เกียจแบบนี้ ยังไม่ลืมตาอีก” เธอสูดหายใจลึก “งั้นฉันจะอนุญาตให้นายนอนต่ออีกหน่อย นายต้องรีบลืมตานะโอเคไหม?”
อี้เป่ยซีไม่เห็นลั่วจื่อหานลืมตาขึ้นมาตลอดจนถึงเที่ยง แต่เห็นคุณนายลั่วผู้เกรี้ยวกราดแทน เธอไม่สนใจภาพลักษณ์โดยสิ้นเชิง ทันทีที่เปิดประตูเข้ามา เห็นลั่วจื่อหานนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ก็จ้องอี้เป่ยซีเขม็งด้วยดวงตาแดงก่ำ ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ตบหน้าเธออย่างแรงไปฉาดหนึ่ง อี้เป่ยซีที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณอยู่แล้ว เมื่อถูกตบเธอก็ลงไปกองบนพื้นทันที และในหูก็ส่งเสียงดังหึ่งๆ
ลั่วจื่อจี้ผลักประตูเข้ามาก็เห็นอี้เป่ยซีล้มอยู่บนพื้นแล้ว ที่มุมปากยังคงมีรอยเลือดเปื้อนอยู่ สามารถเห็นรอยนิ้วทั้งห้าได้อย่างชัดเจนบนผิวที่ขาวใส แววตาของเธอเหม่อลอยราวกับตุ๊กตาอย่างไรอย่างนั้น
“แม่ แม่ทำอะไรน่ะ” ลั่วจื่อจี้ประคองอี้เป่ยซีขึ้นมาพร้อมถามเธอเสียงเบา อี้เป่ยซีส่ายหัวน้อยๆ ผมที่ยุ่งเหยิงขยับเบาๆ
“เป็นเพราะเขา ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้ พี่ชายลูกจะกลายเป็นแบบนี้เหรอ? ยังจะถามอีกว่าแม่ทำอะไร? ลูกต่างหากกำลังทำอะไร”
“เป่ยซีจ่อปืนยิงพี่เหรอ? ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นที่สนามบิน แม่คิดว่าตอนนี้ในใจของเป่ยซีมีความสุขเหรอ? แม่กล่าวหาเขาอย่างไร้เหตุผลแบบนี้ มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”
“ถ้าไม่ใช่เขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขา พี่ชายลูกจะคิดถึงเรื่องที่จะไปแทรกแซงบ้านลู่ได้ยังไง ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ลู่เซิงจะลงมือกับพี่ชายลูกได้ยังไง! แบบนี้แล้วยังว่าแม่ทำเกินไปอีกเหรอ?”
ลั่วจื่อจี้ต้องการพูดอะไรบางอย่างกับเธอ แต่ถูกอี้เป่ยซีดึงแขนเสื้อไว้
“คุณน้าคะ ฉันขอโทษ” เธอก้มศีรษะ น้ำเสียงแผ่วเบา แต่ว่าทุกคนภายในห้องสามารถได้ยิน “เป็นเพราะฉันเอง จื่อหานถึงได้กลายเป็นแบบนี้ ขอโทษจริงๆ ค่ะ คุณน้า ที่คุณน้าทำกับฉันแบบนี้ก็สมควรแล้ว”
เธอพ่นลมหายใจเย็น “เธอรู้แล้วยังไม่รีบไสหัวออกไปอีก? หรืออยากให้ฉันทำอะไรเธอจริงๆ?”
“แม่ครับ เป่ยซีเขาก็เป็นห่วงพี่ใหญ่เหมือนกัน ถ้าแม่ให้เขาไปแล้ว พอพี่ใหญ่ตื่นขึ้นมา จะไม่โกรธแม่เหรอ?”
“ตื่นเหรอ เขาจะตื่นขึ้นมาเมื่อไร ลูกก็รู้ดีกว่าแม่ไม่ใช่เหรอ?” เธอสูดหายใจลึก “ตอนนี้แม่ให้จื่อเซี่ยมาแล้ว คนอื่นรีบออกไปซะดีกว่า ดีกว่าอยู่ที่นี่ให้คนเขาโมโห”
เมื่ออี้เป่ยซีได้ยินประโยคแรกของเธอก็อึ้งอยู่นานก่อนเงยหน้าขึ้นมองลั่วจื่อจี้ด้วยความสั่นเทาเพื่อขอความช่วยเหลือ ลั่วจื่อจี้กลับไม่ได้มองเธอ แต่จงใจมองไปยังทิศอื่นและเม้มปากแน่น อี้เป่ยซีรู้สึกว่าเรี่ยวแรงสุดท้ายใรร่างกายถูกดูดออกไปจนเกลี้ยง ดวงตาเธอดับวูบ ล้มลงไปกับพื้นทันที
ขณะที่เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว อี้เฉิงกับคุณแม่อี้เฝ้าเธออยู่ข้างเตียงผู้ป่วย สีหน้าเปี่ยมด้วยความกังวล
“แม่” อี้เป่ยซีกอดแม่ของตัวเอง ไม่ช้าน้ำตาก็เปรอะเปื้อน “แม่คะ หนูกลัวจังเลย”
คุณแม่อี้ตบๆ หลังของลูกสาวตัวเอง “เป่ยซี ไม่ต้องกลัว มันผ่านไปแล้ว ตอนนี้คนร้ายถูกจับแล้ว ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะ”
“แม่คะ ลั่วจื่อหาน ลั่วจื่อหานเขาเป็นยังไงบ้าง พ่อกับแม่รู้ไหมว่าตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง พาหนูไปหาเขาได้หรือเปล่า ตอนนี้เขาเขาฟื้นแล้วใช่ไหมคะ”
ได้ยินชื่อของลั่วจื่อหานแล้วทั้งสองคนมีสีหน้าวิตก อี้เป่ยซีเห็นพวกเขานิ่งเงียบก็รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย
“แม่ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ลั่วจื่อหาน ลั่วจื่อหาน ยังไม่ฟื้นอีกเหรอคะ?”
“เป่ยซี ลูกไม่ต้องเป็นห่วง บ้านลั่วจะไม่ปล่อยให้เขาเป็นอะไรหรอก ลั่วจื่อหานจะไม่เป็นไร”
น้ำตาของอี้เป่ยซีไหลหนักกว่าเดิม ตอนนั้นที่ลู่เยี่ยหวาอยู่ที่โรงพยาบาล พ่อก็บอกกับเธอแบบนี้
“เป่ยซี ลูกไม่ต้องเป็นห่วง ลู่เยี่ยหวาจะไม่เป็นไร บ้านลู่ก็จะไม่ยอมให้เขาเกิดเรื่องหรอก”
เธอกัดริมฝีปาก “พ่อคะ พ่อพา หนูไปเยี่ยมเขาได้ไหม?”
อี้เฉิงขมวดคิ้วกันเล็กน้อย “เป่ยซี ตอนนี้ร่างกายของลูกไม่ค่อยแข็งแรง รอลูกพักฟื้นสองสามวันแล้วพ่อค่อยพาลูกไปหาเขาดีไหม อีกอย่างถ้าลูกไปหาลั่วจื่อหานในสภาพนี้ เขาจะต้องโกรธลูกแน่ แล้วจะบอกให้ลูกกลับมาดูแลตัวเองใช่ไหมล่ะ?”
อี้เป่ยซีพยักหน้า นอนลงบนเตียงและหลับตาลงอย่างว่าง่าย ทั้งสองคนจึงวางใจที่จะจากไปครู่หนึ่ง อี้เป่ยซีถือโอกาสนี้รีบวิ่งไปยังห้องพักฟื้นของลั่วจื่อหาน บัดนี้ห้องคนไข้ว่างเปล่าแล้ว เธอยืนอยู่นาน แสงอาทิตย์ไหววูบตรงหน้าเธอ จู่ๆ เธอก็มีความรู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกใบหนึ่ง และแล้วก็มีเสียงรองเท้าหนังดังขึ้นด้านหลัง
“พวกเขาพาพี่ไปที่โรงพยาบาลเอกชนแล้ว” น้ำเสียงของลั่วจื่อจี้เปี่ยมด้วยความเศร้าโศก “ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว เธอไม่ต้องเป็นห่วง”
อี้เป่ยซีคว้าแขนเสื้อของเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความความคาดหวัง “นายช่วยพา…”
เธอยังไม่ทันพูดจบ ลั่วจื่อจี้ก็ขัดจังหวะเธอ “ขอโทษนะ อาซ้อ คือว่า พ่อแม่ฉันเหมือนกับว่าจะต่อต้านเธออยู่หน่อยๆ ที่ฉันทำได้ก็แค่มาบอกเธอว่าอาการของพี่ชายฉันเป็นยังไงบ้าง” เขาหัวเราะขมขื่น “เธอเองก็ดูออกว่าพ่อแม่ฉันจะไม่อนุญาตให้ใครขัดคำสั่งพวกเขา”
อี้เป่ยซีปล่อยมือ “เขา เขาฟื้นแล้วยัง?”
“ยังไม่เร็วแบบนี้หรอก แต่ว่าตอนนี้ตอบสนองแล้ว”
“อ๋อ ดี” อี้เป่ยซีไม่กล้าเงยหน้ามองเขา “งั้น งั้นฉันกลับไปก่อนนะ”
“อาซ้อ ร่างกายเธอก็ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว พี่ฉันก็ยังไม่ฟื้น เธออย่าหลับไปซะก่อนล่ะ ไม่งั้นพอถึงตอนนั้น ฉันอธิบายกับพี่ชายฉันไม่ถูก”
อี้เป่ยซีเผยรอยยิ้มซีดขาว “ฉันรู้แล้ว ขอบคุณนายนะ รบกวนแล้ว”
————