ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


“น่าโมโหนัก ยังรู้ว่าตัวเองต้องมาหรือ?” เซียวอวี๋กลอกตาบ่นอุบ

โถวปาหงหัวเราะ “มีเจ้าอยู่ ข้ายังต้องกังวลอะไร?”

“มารดาเจ้าเถอะ ข้าอยู่แล้วไม่ต้องกังวล หรือเจ้าไม่กลัวข้ายึดจักรวรรดิของเจ้าไป?” เซียวอวี๋แค่นเสียง

“ฮ่าฮ่า มีขนมเปี๊ยะแผ่นใหญ่อย่างพยัคฆ์คำรนรอเจ้ากลับไปขโมยอยู่ เจ้ายังจะสนใจดินแดนแร้นแค้นอย่างจักรวรรดิเมฆาหรือ?” โถวปาหงกล่าวกลั้วหัวเราะ

เซียวอวี๋พลันเหนื่อยใจ เจ้าผู้นี้กลับมองความคิดของเขาออก

“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรต่อ? อ๋องหู่ ท่านมีข้อแนะนำหรือไม่?” โถวปาหงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายราวกับถามความเห็นจากสหาย

โถวปาหู่ส่ายหน้าเบาๆก่อนจะกล่าวว่า “สำหรับสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่มี มีเพียงต้องตั้งรับให้รัดกุมก่อนจะหาโอกาสโต้กลับ นี่สมควรเป็นสงครามที่กินเวลายาวนาน”

โถวปาหงพยักหน้า “ท่านกล่าวถูก ครั้งนี้คงเป็นสงครามชี้ชะตาของจักรวรรดิแล้ว”

โถวปาหู่กล่าวต่อ “การฟื้นฟูประเทศไม่ใช่งานง่าย หลังผ่านพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้ จักรวรรดิเมฆาจะยิ่งแข็งแกร่ง และฝ่าบาทก็จะถูกจารึกชื่อว่าเป็นจักรพรรดิที่ปรีชาที่สุดของจักรวรรดิเมฆา พระนามของพระองค์จะถูกแซ่ซ้องสรรเสริญไปนับพันๆปี”

“ฮ่าฮ่า…ท่านอ๋อง ท่านกล่าวเกินไปแล้ว แซ่ซ้องไปนับพันๆปีหรือ ซึ่งอันที่จริง ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกับเซียวอวี๋ หากเป็นไปได้ข้าก็อยากจะใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานไปวันๆ เรื่องจารึกชื่อในประวัติศาสตร์นั้นคงต้องเหนื่อยทั้งชีวิต”

โถวปาหงบิดเอวพลางมองดวงตะวันลับขอบฟ้า บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจางๆ

“แก่งแย่งกันไปใย บางครั้งชีวิตที่เรียบง่ายนั้นดีที่สุดแล้ว”

…………………………

หลายวันผ่านไป ทัพทหารทมิฬยังคงบุกโจมตีอย่างต่อเนื่อง การต่อสู้กลายเป็นสงครามปิดล้อม ทหารทุกขบวนล้วนตบเท้าเข้าสู่สนามรบ ภายใต้การบัญชาการที่โดดเด่นของเซียวอวี๋ กองทัพทมิฬก็ค่อยๆสูญเสียอย่างหนัก

ทุกๆวัน โถวปาหงจะส่งทหารม้ากลุ่มเล็กๆออกค้นหาชาวบ้านที่ยังไม่กลายสภาพเพื่อพากลับมาที่ด่าน แม้การทำเช่นนี้จะอันตราย แต่ก็สามารถชนะใจชาวเมฆา

หลายคนย่อมมีญาติที่พลัดหลงสาบสูญ และการกระทำที่มีคุณธรรมเช่นนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าโถวปาหงคู่ควรกับฐานะจักรพรรดิ ตราบเท่าที่ยังมีความเป็นไปได้แม้เพียงเศษเสี้ยว โถวปาหงก็ยังส่งหทารออกช่วยเหลือผู้คน

ซึ่งผลที่ตามมาก็ได้พิสูจน์ว่าการตัดสินใจนี้ถูกต้องเพียงใด ด้วยเพราะจักรวรรดิเมฆามีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ผู้คนย่อมไม่ถูกแปรสภาพไปทั้งหมด ต้องมีผู้คนบางกลุ่มที่ยังเหลือรอด ซึ่งผู้คนเหล่านั้นก็ผ่านประตูด่านเข้ามาแทบทุกวัน

เพื่อที่จะปกป้องเหล่าผู้อพยพเหล่านี้ ทัพพยัคฆ์ได้เข้าปะทะกับพวกทหารทมิฬอย่างดุเดือดเพื่อซื้อเวลา ซึ่งนั่นก็ทำให้ไพร่พลทัพพยัคฆ์ลดน้อยลงทุกที

อย่างไรก็ตาม ฐานะของทัพพยัคฆ์ในใจของประชาชนชาวเมฆาได้พุ่งทะยานสูงเสียดฟ้า ทุกคนล้วนรู้สึกภูมิใจในทัพพยัคฆ์ เด็กๆต่างวาดฝันอยากสวมเครื่องแบบของทัพพยัคฆ์

ทัพพยัคฆ์กลายเป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งโรจน์แห่งจักรวรรดิ

สงครามดำเนินต่อไปกว่าหนึ่งเดือน ฝ่ายทหารทมิฬยิ่งมายิ่งบุกอย่างคลุ้มคลั่ง ชาวบ้านที่ช่วยเหลือกลับมาได้ก็ลดน้อยถอยลงทุกวัน อาจกล่าวได้ว่าหากชาวบ้านไม่เห็นญาติตนเองในกลุ่มผู้อพยพก็สามารถเข้าใจได้ว่าญาติเหล่านั้นตกตายไปแล้ว

วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม เมฆแทบจะปกคลุมไปทั่วทั้งผืนฟ้า ฝนห่าใหญ่ตั้งเริ่มเค้า

ไม่นานบรรยากาศก็เริ่มหนักอึ้ง ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง

“ฝนคงตกหนักเป็นแน่” โถวปาหงและเซียวอวี๋ยืนอยู่บนกำแพงด่านพลางแหงนหน้า

“อืม ลมคลุ้มฝนคลั่ง พวกเราคงต้องตัวเตรียมรับศึกหนักแล้ว” เซียวอวี๋มองดูทัพทหารทมิฬที่เริ่มรวมตัวกันอยู่ไกลๆ ในใจทราบว่าศึกอันดุเดือดใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว

ตลอดเดือนที่ผ่านมา ทหารทมิฬได้บุกโจมตีอย่างต่อเนื่อง และสูญเสียอย่างหนัก ซากศพสีดำทับถมจนก่อเป็นเนินขนาดย่อม ซึ่งหลังจบการต่อสู้ทุกครั้ง โถวปาหงก็จะสั่งให้เผาทำลายศพเหล่านั้นทันที

เพราะหากว่าศพไม่ถูกกำจัดและถูกทิ้งไว้เป็นเวลานาน โรคระบาดก็จะลุกลามไปทั่ว

โถวปาหงได้จัดพิธีศพเพื่อปลอบประโลมประชาชน ไม่ว่าชาวเมฆาที่กลายสภาพหรือชาวเมฆาที่ถูกทหารทมิฬสังหาร กระทั่งทหารที่ติดตามเซียวอวี๋มาก็ถูกจัดพิธีศพพร้อมกัน

โถวปาหงกล่าวว่าจะสลักนามของทุกคนไว้บนกำแพงที่ทอดยาวนับร้อยกิโลเมตรแห่งนี้

คำกล่าวนี้กลายเป็นคำกล่าวไว้อาลัยแก่ผู้วายชนม์ ชาวเมฆาที่ได้ฟังต่างก็รู้สึกเปรียบการตายดั่งการหวนคืนสู่บ้าน และพวกเขาจะต้องชนะศึกนี้ ไม่มีทางเลือกอื่นอีก

“ตราบที่เรายังยืนหยัดที่ด่านแห่งนี้อย่างมั่นคง พวกเราก็จะมีโอกาสตอบโต้กลับ แม้อีกฝ่ายจะมีจำนวนมากมายดุจเม็ดฝน แต่ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่นี้ พวกมันก็เข้ามาได้อย่างจำกัด เวลานี้ผู้คนจากทั่วจักรวรรดิเมฆากำลังหลั่งไหลมา ทุกคนล้วนเป็นนักรบที่ต้องการปกป้องแผ่นดินเกิด พวกเรามีทหารนับล้าน ศึกนี้พวกเราจะต้องชนะ!”

โถวปาหงหันไปมองค่ายกระโจมที่เรียงรายทอดยาวไปหลายสิบกิโลเมตรที่เบื้องหลัง ในใจของเขาพลันรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา มีชาวเมฆามากมายกำลังเดินทางมาปกป้องแผ่นดิน เช่นนี้แล้วเขายังต้องเกรงกลัวสิ่งใดอีก? ตราบที่ชาวเมฆายังสนับสนุนเขา เขาจะยืนหยัดต่อสู้อยู่ที่นี่ในฐานะจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเมฆา หลังจากนี้อีกสิบปี จักรวรรดิเมฆาจะกลายเป็นกลุ่มอิทธิพลทรงอำนาจ

เซียวอวี๋พยักหน้าก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าพูดถูก หลังผ่านเหตุการณ์มากมาย เจ้าก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก เวลานี้เจ้าคู่ควรกับตำแหน่งจักรพรรดิแล้ว”

“เพ้ย เจ้าพูดอย่างกับข้าเป็นชนรุ่นหลังของเจ้า” โถวปาหงไม่พอใจ

“เหอะ….หรือข้าไม่คู่ควร? แม้เจ้าจะพอมีฝีมือเชิงยุทธ์อยู่บ้าง แต่หากไม่ได้ข้าคอยชี้นำในด้านอื่นๆ เจ้ายังจะมีความสำเร็จดังทุกวันนี้หรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า…..” เซียวอวี๋หัวเราะ

ได้ยินเซียวอวี๋กล่าวเช่นนั้น โถวปาหงก็นิ่งงัน ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เจ้าพูดถูก ปราศจากเจ้า ข้าคงไม่มีความสำเร็จดังทุกวันนี้ กระนั้นเจ้าก็ไม่ใช่ผู้อาวุโสของข้า เจ้าเป็นพี่น้อง พี่น้องที่ยอดเยี่ยมของข้าโถวปาหง”

เซียวอวี๋ชะงัก ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “อืม เอาเถอะ พี่น้องในตระกูลข้าล้วนแต่ตายหมดสิ้น ได้เจ้าเป็นพี่น้องก็ไม่เลวนัก”

โถวปาหงยื่นมือออกมา และเซียวอวี๋ก็ยื่นมือออกมาจับ ฉากนี้ปรากฏขึ้นในสายตาของชาวเมฆาที่อยู่โดยรอบ และมันก็ถูกเล่าต่อกันไป หลังจากนี้อีกหลายปี ภาพดังกล่าวก็ถูกกระจายไปทั่วทั้งแผ่นดิน ผู้คนต่างกล่าวขานถึงมิตรภาพของสองจักรพรรดิ และนั่นเป็นผลให้จักรวรรดิเมฆาและอาณาจักรพยัคฆ์คำรนสงบสุขไปหลายร้อยปี

ครืน……

ทหารทมิฬนับไม่ถ้วนหลั่งไหลมาทางแนวป้องกัน มองจากระยะไกลคล้ายกับคลื่นกำลังจะสาดซัดใส่กำแพง และกำแพงด่านที่ทอดยาวนับร้อยกิโลเมตรนี้ก็กำลังจะได้รับบททดสอบครั้งสำคัญ

เวลานับเดือนที่ผ่านมา ชาวเมฆาได้หลั่งไหลกันมาและทั้งหมดก็ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับแนวป้องกันแห่งนี้ คำกล่าวของเซียวอวี๋ที่ว่า ‘กำแพงยิ่งมั่นคงจะยิ่งลดชีวิตที่ต้องสูญเสีย’ ได้ปลุกกระตุ้นชาวเมฆาและถูกกล่าวต่อไปอย่างแพร่หลาย สตรีและเด็กที่ไม่สามารถต่อสู้ล้วนแต่เดินทางมาช่วย และด้วยการชี้นำของก๊อบลิน แนวป้องกันแห่งนี้จึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

ก๊อบลินมีบทบาทในสงครามนี้อย่างมาก และยังรวมไปถึงสงครามครั้งก่อนกับพวกเซิก กล่าวได้ว่าพวกก๊อบลินก็เป็นผู้กอบกู้แห่งจักรวรรดิเมฆาเช่นกัน

เวลานี้กำแพงของแนวป้องกันมีความหนากว่าสิบเมตร และฐานของมันก็หยั่งลึกไปกว่าสิบเมตรเพื่อป้องกันพวกทหารทมิฬมุดผ่านมา

บนกำแพงเวลานี้สามารถควบม้าได้อย่างสะดวก พื้นที่ที่ราบเรียบและมั่นคงทำให้ทัพพยัคฆ์สามารถพุ่งเข่นฆ่าได้ดังใจ ในบางสถานการณ์ พลังทะลุทะลวงของทัพม้าก็สามารถตัดสินผลแพ้ชนะ

นอกจากนั้น บนกำแพงยังมีเครื่องมือป้องกันต่างๆถูกจัดวางทอดยาวอย่างเป็นระเบียบ ทุกอุปกรณ์ล้วนมีทหารคอยประจำการ การแบ่งหน้าที่ของแต่ละทีมก็ถูกกำหนดอย่างชัดเจน

ขณะที่ทอดมองแนวป้องกัน เซียวอวี๋ก็อดคิดถึงแนวป้องกันแนวมาฌีโนของฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่สองขึ้นมาไม่ได้ ความแข็งแกร่งของมันทำให้ทุกคนล้วนแต่รู้สึกทึ่ง ภายในแนวป้องกันนั้นมีหลุม อุโมงค์มากมายจนราวกับเป็นปราการแห่งหนึ่ง เป็นปราการที่มั่นคงประดุจเหล็กกล้า หากว่าเยอรมันเลือกโจมตีที่แนวป้องกันมาฌีโน เช่นนั้นผลลัพธ์ของสงครามก็อาจเปลี่ยนไป

แนวป้องกันที่เซียวอวี๋และทุกคนสร้างขึ้นนี้เต็มไปด้วยเครื่องธนูหน้าไม้ เครื่องยิงหิน รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆอย่างห้องน้ำและห้องครัวจนเรียกได้ว่ามีอย่างครบคัน

เซียวอวี๋แนะนำให้โถวปาหงขายสิ่งของบางอย่างที่ปกติจักรวรรดิไม่ขายออกเพื่อหาซื้อเครื่องยิงหน้าไม้และอาวุธต่างๆมาติดตั้งไว้ที่นี่

และด้วยเส้นสายที่กว้างขวางของหอการค้ามั่งคั่งของสการ์เล็ต สิ่งของต่างๆจึงถูกจัดส่งมาที่นี่ไม่ขาดสาย

ในเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆเกือบสองเดือน แนวป้องกันแห่งนี้ก็เสร็จสมบูรณ์

และด้วยสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้โถวปาหงรู้สึกมั่นใจเต็มเปี่ยม กำแพงที่ทอดยาวนับร้อยกิโลเมตร เครื่องยิงธนูหน้าไม้อีกนับไม่ถ้วน ลูกธนูที่มีตั้งแต่ลูกธนูธรรมดาไปจนถึงลูกธนูเวท เครื่องยิงหิน และกระสุนชินต่างๆล้วนถูกขนมาจากที่ต่างๆทั่วทวีป

พวกเด็กๆ สตรีและคนชราล้วนรับหน้าที่หน่วยสนับสนุน

จักรวรรดิเมฆาเวลานี้เรียกได้ว่าพร้อมถึงขีดสุดสำหรับสงครามที่กำลังจะมาถึง

แน่นอนว่าคนจำนวนนับล้านเหล่านี้ไม่ใช่ประชากรทั้งหมดของจักรวรรดิเมฆา ยังมีผู้คนอีกมากที่ไม่สามารถเดินทางมายังที่นี่ แต่พวกเขาก็ยังจัดส่งสิ่งของเท่าที่จัดหาได้มาช่วยสนับสนุน

ในสงครามขนาดใหญ่เช่นนี้ การจัดส่งเสบียงนับเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง หากไม่สามารถเลี้ยงดูทหารที่แนวหน้า เช่นนั้นการจะชนะสงครามก็เป็นเรื่องยากแล้ว

ตึง ตึง ตึง…..

เสียงฝีเท้าของพวกทหารทมิฬสั่นสะเทือนดั่งแผ่นดินไหว ขณะที่คลื่นมนุษย์สีดำคืบกรายมาทางแนวกำแพง

“ชาวเมฆาเอ๋ย พวกเราเป็นชาติพันธุ์ที่ได้รับคำอวยพรจากสวรรค์ ธงหมาป่าสีทองของพวกเราจะปลิวสะบัดทุกหนแห่ง ม้าศึกของเราจะพุ่งทะยานไปทั่วแผ่นดิน เพื่อลูกหลาน เพื่อภรรยา เพื่อตัวเราเอง! จงแสดงความกล้าหาญแห่งสายเลือดหมาป่าที่ฝังแน่นในกระดูกของพวกเรา! ฆ่าทหารทมิฬล้างแค้นให้พี่น้องที่ตายไป!”

เสียงตะโกนของโถวปาหงดังดึกก้องไปทั่วบริเวณ

“ฮ่าฮ่าฮ่า…โถวปาหง คิดหรือว่าเจ้าจะชนะศึกนี้ได้? บอกต่อเจ้าก็แล้วกันว่าสุดท้ายแล้วชันชนะจะเป็นของข้า! ข้าจะได้ปกครองโลกใบนี้! ฮ่าฮ่าฮ่า….” สิ้นเสียงคำกล่าวของโถวปาหง จู่ๆก็มีเสียงหัวเราะอันชั่วร้ายปรากฏขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มวิปลาส

เจ้าของเสียงนั้นก็คือ โถวปากุ้ย…..