TB:บทที่ 310 บอร์แมน (1)

 

คำแนะนำจากแฟรงค์ ทำให้โอรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาในทันที เขาเป็นถึงผู้พิทักษ์อังกฤษ แต่อีกฝ่ายกลับเตือนเขาว่าห้ามไปมีเรื่องกับทหารพวกนั้น นี่มันชักจะดูถูกกันเกินไปแล้ว!

“บอร์แมนคนนั้นเป็นใครกันแน่ นี่คุณจำเป็นต้องกลัวเขาขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

“กลัว? ผมไม่ได้กลัว ผมแค่เคารพเขา หวกผู้พันบอร์แมนยังอยู่ในกองทัพ ผมก็ยินดีที่ได้เป็นนายทหารใต้บังคับบัญชาของเขา แต่เกรงว่าฝ่ายศัตรูคงไม่อยากเห็นหน้าเขาเท่าไหร่ ที่ผมแนะนำมิสเตอร์โอแบบนั้นเพราะผมคิดว่าคุณคงไม่อยากเสียเหล่าทหารมากความสามารถหลายหมื่นนายไปจัดการกับคนอย่างเขาครับ” แฟรงก์อธิบายพร้อมกับแสดงความชื่นชมบอร์แมนออกมาผ่านใบหน้าของเขา

 

โอตอบเขาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ส่งข้อมูลของบอร์แมนมาให้ผมเดี๋ยวนี้”

“ข้อมูลของผู้พันบอร์แมน… คุณแน่ใจแล้วใช่ไหมครับ? เอ่อ ผมขอแนะนำว่า สิ่งแรกที่คุณควรทำคือการเตรียมใจ เพราะใครก็ตามที่ได้อ่านข้อมูลของเขาแล้ว เขาคนนั้นจะรู้สึกสะเทือนใจมาก ส่วนเรื่องประวัติ ผมขอเริ่มพูดจากวีรกรรมที่สุดยอดที่สุดของผู้พันบอร์แมนในกองทัพครับ เขาใช้หมัดต่อเนื่องเอาชนะทหารเก้าร้อยแปดสิบสองนายจากกองกำลังพิเศษของหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่มีฝีมือได้ในหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น นี่คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ทหารคนอื่นๆไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผม ในตอนที่บอร์แมนเข้ารับตำแหน่งครั้งแรก” แฟรงก์เล่าเรื่องให้อีกฝ่ายฟังด้วยใบหน้าที่โศกเศร้า

 

อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เขาได้มองหน้าของโอ บนใบหน้าของแฟรงค์ก็ผุดรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง

หลังจากนั้น แฟรงค์ได้ส่งข้อมูลต่างๆของบอร์แมนให้กับโอ

“ผมได้ส่งข้อมูลทั้งหมดให้คุณแล้วครับ” หลังจากที่ส่งข้อมูลให้โอเรียบร้อยแล้ว แฟรงค์ได้พูดต่อว่า “สุดท้ายนี้ ผมขอเตือนคุณอีกครั้งว่า ถ้าพวกเขาไม่ได้ล่วงเกินคุณ คุณก็อย่าไปหาเรื่องพวกเขาเลยครับ…”

กล่าวจบ แฟรงค์ก็ตัดขาดการเชื่อมต่อไปทันที

เมื่อเห็นว่าแฟรงค์ตัดการเชื่อมต่อไปแล้วโอรู้สึกหมดหนทาง นี่สินะที่เขาเรียกว่า คนเราควรพูดในสิ่งที่ควรจพูด แถมอีกฝ่ายยังย้ำนักย้ำหนาว่า คนๆนี้แข็งแกร่งมาก และเขาไม่ควรเข้าไปยุ่ง

“เฮ้อ! ทำไมพวกนายต้องมาสร้างเรื่องที่อังกฤษด้วย!”

จากนั้นโอเริ่มอ่านรายละเอียดข้อมูลของบอร์แมน แม้ว่าเขาจะเตรียมตัวเตรียมใจก่อนเปิดข้อมูล แต่หลังจากที่ได้เห็นข้อมูลของบอร์แมน เขาก็ยังรู้สึกถึงความกดดันตามที่แฟรงค์ได้บอกเขาไว้ก่อนหน้านี้

 

บอร์แมนเป็นเด็กกำพร้าจากเมืองเล็ก ๆ ในฮัมบูร์ก เขาเติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเช่นเดียวกับเด็กกำพร้าคนอื่นๆ ไม่แปลกที่ในโลกนี้จะมีเด็กกำพร้าจำนวนไม่น้อย เพราะในโลกนี้ยังมีคนที่ยากจนและไม่พร้อมที่จะเลี้ยงดูบุตรอยู่ จริงอยู่ที่บอร์แมนเติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่เขากลับไม่เคยเสียใจเลยสักครั้งเพราะเขามีเพื่อนที่ดีอย่าง ไอดา เด็กสาวที่เติบโตมาพร้อมกับเขา

เมื่อเวลาผ่านไป ไอดาเติบโตขึ้นและกลายเป็นหญิงสาวอย่างสง่างาม ส่วนบอร์แมนเองก็เติบใหญ่กลายเป็นเด็กหนุ่มตัวสูงและแข็งแรง ในจิตนาการของบอร์แมน เขาได้วาดฝันเอาไว้ว่า ในอนาคตเขาจะขอไอดาเป็นภรรยา

 

อย่างไรก็ตาม อาจเป็นไปได้ว่าในระหว่างบอร์แมนที่กำลังปฏิบัติตนตามคำสอนของพระเจ้า ในวันเกิดครบรอบสิบห้าปีของไอดา หัวหน้าแก๊งเด็กรังแกในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และเหล่าลูกน้องได้จับตัวบอร์แมนและไอดาไป โดยพวกเขาต้องการล่วงเกินไอดาต่อหน้าบอร์แมน จนในที่สุดไอดาตัดสินใจฆ่าตัวตายเนื่องจากว่าเธอรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

วินาทีที่ไอดาฆ่าตัวตายของ ในที่สุด บอร์แมนหมดความอดทน ใช้กำลังทั้งหมดที่มีตะเกียกตะตายจนหลุดจากการจับคุมของเหล่าเด็กเกเร ทั้งหัวหน้าแก๊งและลูกน้องทุกคนต่างถูกบอร์แมนฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ พวกเขาเห็นบอร์แมนกำลังกอดศพของไอดาที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดสีสด ช่างเป็นภาพที่น่าสลดใจยิ่งนัก

 

เนื่องจากบอร์แมนอายุยังน้อยอยู่ เขาจึงถูกส่งตัวเข้าไปในคุกแห่งหนึ่ง

เป็นที่ทราบกันดีว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือสภาพแวดล้อมใดก็ตาม ที่นั่นจะมีผู้นำอยู่เสมอ แม้แต่ในเรือนจำของเด็กและเยาวชนเองก็มีผู้นำเช่นกัน ผู้ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในเรือนจำเด็กและเยาวชนจะต้องถูกเด็กที่อยู่ก่อนรังแกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เว้นแม้แต่บอร์แมน แต่พวกเขาไม่รู้ว่าบอร์แมนก่อเหตุอะไรไว้ เพราะถ้าพวกเขารู้ พวกเขาคงไม่มีความคิดที่จะทำเรื่องแบบนั้นอีก

 

หัวหน้าเรือนจำเด็กและเยาวชนเตือนให้บอร์แมนนึกว่าตนคือเด็กเกเรในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ในขณะที่ใบหน้าของเด็กเกเรพวกนั้นโผล่ขึ้นมา วินาทีนั้นบอร์แมนก็ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนได้อีก

เด็กชายวัยยี่สิบเอ็ดและชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็บ ทั้งสองคนถูกบอร์แมนเล่นงานหลังจากที่เขาได้สูญเสียการควบคุมไป ในตอนที่เจ้าหน้าที่มาหยุดเขาไว้กลับไม่ทันเวลา สุดท้ายนักโทษเด็กและเยาวชนวัยยี่สิบเอ็ดและยี่สิบเจ็บปีถูกบอร์แมนวัยสิบห้าสังหารตายแล้ว

 

เนื่องจากบอร์แมนนั้นแข็งแกร่งมาก หัวหน้าได้ทำลายข้อมูลทั้งหมดของเขาและส่งเขาอยู่ในคุกที่มีการควบคุมมอย่างแน่นหนาที่เยอรมนี

ในเรือนจำแห่งนี้บอร์แมนมีหน้าที่อันหนักอึ้ง กิจวัตรประจำวันของเขาคือการกิน การนอน การทำธุระส่วนตัว และช่วงเวลาพักผ่อนครึ่งชั่วโมง เนื่องจากเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงจึงมีผู้คุมแปดคนคอยถือกระบองไฟฟ้าและปืนฉีดยาชาอยู่ตลอดเวลา

เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นทำให้บอร์แมนต้องติดอยู่ในคุกนานถึงห้าปี

ในวันที่บอร์แมนมีอายุครบยี่สิบเอ็ดปี ในที่สุด เขาก็อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

วันนั้นบอร์แมนกำลังนอนอยู่บนเตียงที่เขานอนมาตลอดห้าปี นึกถึงฉากในวันวานที่ไอดาได้อยู่กับเขาในวันเกิดของตน และตอนนั้นเองที่รอยยิ้มได้ผุกขึ้นมาบนใบหน้า

ตลอดห้าปีที่เขาถูกจองจำอยู่ในคุก ทุกๆปี บอร์แมนจะฝันถึงฉากในวันเกิด นี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เขาสัมผัสได้ว่าเขาเองก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งนี้

บอร์แมนไม่ต้องการตายไปพร้อมเขาไอดา เขาจำสามคำสุดท้ายที่ไอดาบอกกับเขาเอาไว้ก่อนตายได้ขึ้นใจ ‘ห้ามตายนะ’ บอร์แมนจึงพยายามอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองได้มีชีวิตอยู่ในทุกๆวัน

 

ในตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ควรจะปล่อยให้ลมได้พัดผ่านมา  จิตใจที่บริสุทธิ์ แม้แต่ผู้กระทำความผิดซ้ำซากอย่างบอร์มันน์ก็มีสิทธิ์ได้เห็นแสงสว่าง

เมื่อได้นึกถึงไอดา ใบหน้าบอร์แมนก็ประดับด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของบอร์แมน ผู้คุมกลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย โดยปกติ อีกฝ่ายเคยแสดงสีหน้ามาก่อน เขาเป็นเหมือนกับไม้ที่ไม่มีวันยิ้มได้

อย่างไรก็ตาม บอร์มันน์จะเป็นยังไงก็ช่าง เมื่อถึงเวลาปล่อยตัว เขาก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเยอรมัน

หอบสัมภาระหนักๆ เดินตามผู้บังคับบัญชาร่างสูงแปดคนไปตามทาง บอร์แมนก้าวเท้าออกจากห้องคุมขังด้วยรอยยิ้ม

หากคุ้นชินกับนิสัยปกติของบอร์แมนที่เป็นคนในร่างไม้ ไม่เคยแสดงสีหน้า ในวันที่เขายิ้มได้อย่างเช่นวันนี้ จึงทำให้ใครหลายคนรู้สึกไม่ชินกับมัน

ในตอนที่ชายแข็งแรงวัยสามสิบสักลายตามร่างกายพูดกับบอร์แมนว่า “ไอ้หนุ่ม ดูแลตัวเองดีๆล่ะ”

บอร์แมนไม่แม้แต่จะเหลือบไปมองนักโทษชายคนนั้นเลยแม้แต่น้อย เขายังคงนึกถึงแต่ช่วงเวลาดีๆของเขากับไอดา

เมื่อเห็นว่าบอร์แมนไม่ได้พุ่งมาฆ่าเขาให้ตาย นักโทษชายคนนั้นก็นึกผิดหวังขึ้นมาทันที

แต่ในตอนที่เขาจะพูดอะไรบางอย่าง เขากลับถูกโดยผู้คุมขังไล่ให้ไปอยู่อีกมุมหนึ่งในห้องขัง

 

อย่างไรก็ตาม บอร์แมนเป็นผู้ร้ายที่กระทำความผิดซ้ำซาก ได้รับคำสั่งจากหัวหน้าให้อารักขาคนและไม่ได้อนุญาตให้สื่อสารกับผู้อื่น

อย่างไรก็ตาม นักโทษคนนั้นยังคงพูดต่อไปว่า “ไอ้หนุ่ม นายคิดว่านายเป็นคนดีมากสินะ ฉันจะบอกอะไรให้เอาบุญ ข้างนอกนั่นมันสกปกกว่าที่นี่ซะอีก แล้วอย่างนี้ นายจะออกไปจากที่นี่ไปทำซากอะไร?”

บางที การนอนในคุกยังจะสบายมากกว่าการอยู่นอกคุก ชีวิตของเหล่านักโทษนั้นสบายมาก เมื่อเห็นว่าบอร์แมนได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าตน จึงอดไม่ได้ที่จะหาเรื่องบอร์แมน แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบกลัมา เขาจึงเลิกสนใจอีกฝ่ายทันที

บอร์แมนมีอิสระเหมือนกับนก เขาไม่สนว่าใครจะพูดอะไรกับเขา เนื่องจากว่าในตอนนี้ เขาได้จมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองไปเสียแล้ว