ตอนที่ 139-1 ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น รีบไสหัวออกมาตายเร็วเข้า

จำนนรักชายาตัวร้าย

‘เชียนเย่เสวี่ยปลอดภัย ไม่ต้องกังวล’

 

 

จดหมายหนึ่งฉบับ เขียนอักษรเพียงเจ็ดตัว ทว่ากลัวทำให้อวี้เฟยเยียนคลายความกังวลใจลงไปได้

 

 

จดหมายฉบับนี้ของเหลียนจิ่นมาได้ถูกที่ถูกเวลาพอดี!

 

 

หลังจากที่ตี้อู่เฮ่ออี้ได้รู้ว่าเหลียนจิ่นคือนักพยากรณ์ทำนายทายทักที่เก่งกาจที่สุดบนแผ่นดินหลัวอวี่ และการทำนายของเขาไม่เคยผิดพลาดมาก่อน ตี้อู่เฮ่ออี้ก็เอาแต่พร่ำบอกซ้ำไปซ้ำมาถึงสองครั้งสองคราว่า

 

 

“ขอเทพโอสถคุ้มครองนางด้วย!”

 

 

เชียนเย่เสวี่ยปลอดภัย นั่นคือสิ่งที่เขาปรารถนามากที่สุด!

 

 

‘ทำเป็นมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เจ้าไม่เท้าเทพ!’

 

 

เมื่อเห็นรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของทุกคน ซย่าโหวฉิงเทียนจึงเหลือบมองไปที่ลวดลายดอกบัวบนจดหมาย พลันเขาก็รู้สึกว่าเจ้าไม้เท้าเทพเริ่มจะเจาะแจะมากขึ้นกว่าเก่าไม่น้อยทีเดียว

 

 

‘เขียนจดหมายก็เขียนจดหมายสิ จำเป็นต้องแปะดอกบัวลงท้ายด้วยหรือ?’

 

 

‘หรือว่าเขาต้องการให้แมวน้อยเห็นจดหมายฉบับนี้กัน?’

 

 

‘หมอนั่นยังไม่ตัดใจจากแมวน้อย?’

 

 

‘เฮอะ! ไม่มีทาง!’

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนขยำจดหมายในมือจนเป็นก้อนกลมแล้วโยนเข้าไปในกองไฟทันที

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนไม่เคยลืม ว่าเมื่อครั้งที่เขากลายเป็นเด็กชายตัวน้อยอยู่ที่หอราชาโอสถนั่น เจ้าไม่เท้าเทพนี่ข่มขู่เขาอย่างไรบ้าง!

 

 

เขาต่างหากคือผู้ชายของแมวน้อย เจ้าไม่เท้าเทพไปให้พ้น!

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้น คนทั้งห้าก็เดินทางกลับเมืองเฮ่อ

 

 

โดยที่หมีเยว่ยืนยันที่จะกลับไปสะสางแค้นกับสกุลสุ่ยด้วยตัวเอง อวี้ซิงฉงและตี้อู่เฮ่ออี้เองก็หวังว่าจะได้จัดการสกุลสุยด้วยมือของตัวเองเช่นกัน

 

 

เดิมทีอวี้ซิงฉงกล่าวเอาไว้ว่า เขาคือพี่ชาย ทั้งยังเป็นคนรักของหมีเยว่ ในฐานะที่เป็นผู้ชาย เขาจึงมีหน้าที่รับผิดชอบ ไม่ใช่เรื่องอะไรก็เอาแต่พึ่งพาน้องสาวและน้องเขยท่าเดียว

 

 

ซึ่งตี้อู่เฮ่ออี้ก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก

 

 

แค้นของเชียนเย่เสวี่ย เขาจะต้องทวงคืนด้วยตัวของเขาเอง

 

 

เพียงแต่ตอนนี้พวกเขาทั้งสามคนวรยุทธ์ยังอ่อนด้อยนัก ซึ่งซย่าโหวฉิงก็วิจารณ์พวกเขาว่าอ่อนแออย่างตรงไปตรงมาโดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังบอกอีกว่า หากตอนนี้พวกเขาไปที่ตระกุลสุ่ยก็ไม่ต่างอะไรกับเศษธุลีที่ไปรนหาที่ตายเท่านั้น

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนทั้งสามก็ถึงกับหน้าดำหน้าแดง

 

 

มีปณิธาน มีอุดมการณ์ที่กล้าแกร่ง เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม!

 

 

แต่ทว่า ที่นี่คือโลกที่ใช้กำลังพูดคุยกัน อาศัยกำลังของพวกเขาในตอนนี้ มันไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับสกุลสุ่ยได้

 

 

นี่คือความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

เมื่อวานนี้หลังจากที่ได้เห็นวรยุทธ์ของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว ก็ทำให้อวี้ซิงฉงรู้สึกนับถือเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาจึงเอ่ยปากขอให้ซย่าโหวฉิงเทียนชี้แนะตนเองขึ้นมา

 

 

ได้ยินดังนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ถึงกบอมยิ้ม

 

 

“ให้ข้าชี้แนะ? ท่านแน่ใจนะว่าท่านจะทนรับไหว?”

 

 

รอยยิ้มของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้อวี้เฟยเยียนนึกถึงอวี้เชียนเสวี่ยและกองทัพสกุลอวี้เมื่อครั้งอยู่ที่จวนพระยาภักดีขึ้นมาทันที

 

 

ตอนนั้นพวกเขาก็โดนซย่าโหวฉิงเทียน ‘ตั้งใจชี้แนะเป็นอย่างดี’ มาแล้ว สุดท้ายแต่ละคนเมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนก็หวาดกลัวตื่นตระหนกราวกับหนูเห็นแมวอย่างไรอย่างนั้น

 

 

“ข้าทนลำบากได้! ข้าทนได้!” อวี้ซิงฉงยืนนิ่งหลังตรง

 

 

“เช่นนั้นก็ดี!” ซย่าโหวฉิงเทียนรู้ดีรู้ดีว่าลูกหลานสกุลอวี้ทุกคนต่างก็มีจิตวิญญาณในความเป็นนักรบอยู่ในตัว เพราะมองออกตั้งแต่เมื่อครั้งก่อนที่เขาทดสอบอวี้เชียนเสวี่ยมาแล้ว

 

 

ซึ่งแม้ว่าอวี้ซิงฉงจะเป็นพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของภรรยา แล้วอย่างไรเล่า หากว่าไม่อยากตายด้วยน้ำมือของผู้อื่นในวันหน้าละก็ จงอดทนต่อความยากลำบากจากน้ำมือของเขาเสียเถอะ

 

 

“พี่ใหญ่ ท่านกล้าหาญยิ่งนัก! ข้านับถือท่าน!” อวี้เฟยเยียนจ้องมองอวี้ซิงฉงด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ พร้อมกับตบที่บ่าของเขาเบาๆ

 

 

นางจินตนาการออกได้เลยว่า ซย่าโหวฉิงเทียนจะใช้วิธีไหนมา ‘ทรมาน’ พี่ใหญ่ ของนาง

 

 

ส่วนอวี้ซิงฉงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่ล่วงรู้เลยว่าอุปสรรคที่เขาต้องเจอในภายภาคหน้าจะยากลำบากมากเพียงใด จะต้องถูฝึกฝนอย่างหนักหน่วงชนิดที่ว่าถลอกปอกเปิกไปทั้งตัวเลยก็ว่าได้

 

 

แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมเอาไว้พูดกันทีหลัง

 

 

บัดนี้ เมืองอู๋โยวไม่มีสกุลหนานกงอีกต่อไปแล้ว ถิ่นของสกุลหนานกงเดิมกลายเป็นอาณาเขตของประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นไปดดยปริยาย

 

 

ซึ่งอวี้ซิงฉงอยากรู้ยิ่งนักว่า น้องสาวและน้องเขยของเขากำจัดสกุลหนานกงได้อย่างไร

 

 

เพียงแต่ซย่าโหวฉิงเทียนไม่ค่อยชอบที่จะพูดคุยกับใครนอกจากอวี้เฟยเยียน และอวี้เฟยเยียนเองก็มีนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน อวี้ซิงฉงถามอยู่เป็นนาน แต่กลับถามไม่ได้ความอะไรที่เกี่ยวข้องกับการล้มล้างตระกูลหนานกงเลย

 

 

แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่อวี้ซิงฉงก็ยังนับถือในตัวสองสามีภรรยาคู่นี้ทั้งกายและใจ

 

 

ส่วนตี้อู่เฮ่ออี้และเชียนเย่เสวี่ยที่ก่อนหน้านี้เพียงแค่คาดเดาเท่านั้นว่าเป็นฝีมือของซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนไม่ได้แน่ใจแต่อย่างใด

 

 

ทว่าในตอนนี้เมื่อแน่ใจแล้วว่าคนที่กำจัดตระกูลหนานกงคือซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียน ทำให้อวี้ซิงฉงก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก นี่น้องสาวของเขาเก่งกาจถึงเพียงนี้!

 

 

ดังนั้นตลอดทางที่เดินทางกลับ สภาพจิตใจของทุกคนจึงดีขึ้นมาก จะมีก็เพียงแต่หมีเยว่ ที่ในดวงตาของนางยังคงมีความทุกข์ใจฉาบเอาไว้อย่างบางเบา

 

 

เห็นหมีเยว่เป็นเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนจึงคอยอยู่เป็นเพื่อนนาง พูดคุยกับนาง ไปๆมาๆคนทั้งสองจึงกลับกลายเป็นเพื่อนที่พูดคุยกันได้ทุกเรื่องไปเสียแล้ว

 

 

มีเพียงคนเดียวที่ไม่ใกล้เคียงคำว่าสงบสุขกลมเกลียวเลยแม้แต่น้อย นั่นก็คือสุ่ยเจ๋อหนาน เพราะภายหลังจากที่เขารู้ว่าชายในชุดสีม่วงคือประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นที่ชื่อเสียงโด่งดังไม่ทั่ว กับสาวน้อยในชุดสีชมพูคือฮูหยินของเขา สุ่ยเจ๋อหนานก็แทบอยากจะกัดลิ้นตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

 

 

โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับสกุลหนานกง เลื่องลือไปทั่วทั้งอู๋โยว่มาตั้งนาน

 

 

คนสี่คน กำจัดตระกูลใหญ่ทั้งตระกูลได้ ซึ่งในเหตุการณ์นั้นประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นสังหารหนานกงซีรั่วบรรพชนเฒ่าแห่งสกุลหนานกงลงด้วยมือของเขาเอง นี่เขายังเป็นคนอยู่ใช่ไหม! โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้เห็นเขาฆ่าคนด้วยตาของตัวเองแล้ว สุ่ยเจ๋อหนานก็ยิ่งเสียใจภายหลังอย่างที่สุด!

 

 

เขาได้แต่หวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ความฝัน! เขาไม่สมควรจะสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของสุ่ยจูเอ๋อร์เลย ไม่ควรที่จะเอาเรื่องไปฟ้องบรรพชนเฒ่าแล้วยังนำทหารออกมาตามจับพวกเขาอีก เขาไม่ควรเป็นปฏิปักษ์กับสุ่ยเจ๋อซีเพียงเพราะเรื่องเกียรติยศหน้าตาเท่านั้น…

 

 

เพราะหากว่าเขาไม่สอดมือเข้ามายุ่งย่าม ก็คงไม่เกิดเรื่องบ้าๆเช่นนี้กับเขา

 

 

คราวนี้เป็นอย่างไรเล่า เขาล่วงเกินประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นเข้า ทั้งยังไปพูดจาแทะโลมฮูหยินของเขาอีกด้วย สุ่ยเจ๋อหนานถึงกับอยากตายขึ้นมาเลยทีเดียว

 

 

เดิมทีสุ่ยเจ๋อหนานยังคิดว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะฆ่าตนเองทิ้งเสีย ใครจะคาดคิดว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะยังไว้ชีวิตเขาไว้

 

 

ทั้งอวี้เฟยเยียนยังใช้ยาวิเศษช่วยชีวิตเขาเอาไว้อีกด้วย นับเป็นเรื่องล้ำค่าหายากจริงเชียว!

 

 

‘นี่พวกเขาจะทำอะไร?’

 

 

‘พวกเขาต้องการดูหมิ่นเขาใช่หรือไม่?’

 

 

ใจจริงสุ่ยเจ๋อหนานอย่ากจะพูดออกไปว่า ‘ท่านเทพ! ท่านพ่อ! ท่านแม่! บรรพชน! ข้าสำนึกผิดแล้ว!

 

 

ข้าสำนึกผิดแล้ว จริงๆนะ!’

 

 

สุ่ยเจ๋อหนานคิดจนหัวแทบแตก ก็คิดไม่ออกว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะทำอะไรกับตัวเอง จนกระทั่งเข้าใกล้ตัวเมืองนั่นเอง เขาถึงได้รู้ผลของการล่วงเกินประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นว่าจะมีจุดจบอย่างไร

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนโยนสุ่ยเจ๋อหนานเข้าไปในหอนายโลม

 

 

เมื่อเห็นหน้าซย่าโหวฉิงเทียน เฒ่าแก่ของหอนางโลมก็เข้ามาต้อนรับทันทีพร้อมกับรอยยิ้ม

 

 

ประชาชนในอาณัติที่ถ้ำจื่ออวิ๋นดูแลอยู่ได้รับรู้ว่านายใหญ่ของตนเองคือใครผ่านทางประกาศของหลิวเซิ้ง นั่นก็คือชายสวมใส่ชุสีม่วง มีจุดสีแดงที่กลางหน้าผาก จึงไม่มีใครไม่รู้จักซย่าโหวฉิงเทียน!