ตอนที่ 139-2 ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น รีบไสหัวออกมาตายเร็วเข้า

จำนนรักชายาตัวร้าย

เมื่อได้ฟังสิ่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนสั่งการ เฒ่าแก่ของหอที่ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างๆก็รีบพยักหน้ารับในทันที 

 

 

“ขอนายท่านโปรดวางใจ ข้าน้อยจะปรนนิบัตินายท่านนี้เป็นอย่างดี!” 

 

 

ดูจากสีหน้าของซย่าโหวฉิงเทียน เฒ่าแก่ของหอก็รู้ได้ในทันทีว่าชายพิกลพิการคนนี้คงจะล่วงเกินประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นเข้าให้ มิเช่นนั้นคงจะไม่ต้องพบกับการดูหมิ่นอย่างโดหร้ายเช่นนี้เป็นแน่ 

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนมอบหมายหน้าที่ให้กับตน ทำให้เฒ่าแก่ของหอรู้สึกดีใจอย่างบ้าคลั่งและภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก 

 

 

นายท่าน ท่านนี้คือผู้ที่กำจัดหนานกงซีรั่วเชียวนะ! 

 

 

ยังหนุ่มยังแน่น ก็กลายเป็นแบบอย่างของผู้คนโดยทั่วเสียแล้ว! 

 

 

ต่อให้เขาต้องแลกด้วยชีวิต ก็ต้องทำภารกิจที่ท่านประมุขมอบหมายให้ ให้สำเร็จให้จงได้! 

 

 

ก่อนที่จะกลับออกไป ซย่าโหวฉิงเทียนยังกับชับกับเฒ่าแก่ของหอเป็นพิเศษ อีกว่า ต่อให้หนานกงเจ๋อหนานตายไป ก็ยังต้อง ‘ข่มขืนศพ’ ด้วย 

 

 

เมื่อได้ยินคำว่า ‘ข่มขืนศพ’ สองคำนี้ ในที่สุดสุ่ยเจ๋อหนานก็เข้าใจอะไรๆได้ในทันที 

 

 

คนผู้นี้มีเรื่องด้วยไม่ได้เด็ดขาด! 

 

 

เมื่อวานเขาใช้เพียงแค่วาจาแทะโลมสาวน้อยในชุดสีชมพูเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้นเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็กระทำกับเขาถึงเพียงนี้ แรงแค้นของเขาช่างรุนแรงเหลือเกิน! 

 

 

อื้อๆ 

 

 

คางของสุ่ยเจ๋อหนานถูกซย่าโหวฉิงเทียนเลาะออกไป จึงพูดไม่ได้ ทำได้เพียงร้อง ‘อื้อๆ’ เท่านั้น 

 

 

เขาเป็นถึงคนของตระกุลสุ่ยแต่กลับต้องมาถูกลบหลู่ถึงเพียงนี้! 

 

 

ราวกับล่วงรู้ว่า สุ่ยเจ๋อหนานต้องการจะพูดอะไร ซย่าโหวฉิงเทียนจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า 

 

 

“เพราะการกระทำโง่ๆของเจ้า สกุลสุ่ยจึงไม่มีความจำเป็นต้องดำรงอยู่อีกต่อไป!” 

 

 

‘เจ้า เจ้ากล้า…’ 

 

 

สุ่ยเจ๋อหนานมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความหวาดกลัว ทว่าพลันก็พบว่าในดวงตาของชายผู้นี้วูบหนึ่งมีแสงสีม่วงสว่างวาบออมา แล้วค่อยกลับคืนกลายเป็นสีดำสงบนิ่งเช่นเดิม 

 

 

‘เจ้าจะทำอะไร?’ 

 

 

‘เจ้าจะกำจัดตระกุลสุ่ยหรือ?’ 

 

 

เมื่อนึกถึงว่าประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นเพียงแค่ปรากฏตัว ก็ล้างบางสกุลหนานกงทันที ดวงตาของสุ่ยเจ๋อหนานก็ยิ่งเบิ่งกว้างเพราะความหวาดกลัวที่มีมากยิ่งขึ้น 

 

 

ตระกูลสุ่ยจะเกิดเรื่องไม่ได้! ตระกูลสุ่ยคือที่พึ่งพิงของเขา หากว่าตระกูลสุ่ยถูกซย่าโหวฉิงเทียนกำจัดทิ้งละก็ เขาจะไม่มีวันได้ออกไปจากที่นี่อีกเลย! 

 

 

รอจนกระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนกลับออกไป เฒ่าแก่ของหอก็ยิ้มร้ายตอบกลับแววตาขอร้องอ้อนวอนของสุ่ยเจ๋อหนาน 

 

 

“เจ้านะ อย่าฝันเฟื่องไปอีกเลย!”  

 

 

เมื่อจัดแยงเอายาเม็ดหนึ่งยึดใส่ปากของสุ่ยเจ๋อหนานแล้ว เฒ่าแก่ก็สั่งการให้คนแขวนป้ายแล้วหิ้วเขาออกไป 

 

 

ภายหลัง สุ่ยเจ๋อหนานก็ใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัสอยู่ในหอนายโลมถึงเจ็ดวนเจ็ดคืน จนกระทั่งบอบช้ำไปทั่วทั้งร่างตายอย่างน่าอนาถอยู่บนเตียงนั่นเอง และแม้กระทั่งเขาตายไปแล้ว ก็ยังได้ลิ้มรสประโยคที่เขาเคยพูดจาหยาบคายกับอวี้เฟยเยียนเอาไว้ ‘ข่มขืนศพ’ นั่นเอง… 

 

 

กองกำลังทหารที่ส่งไปตามจับสุ่ยเยว่เอ๋อร์หายสาบสูญไปโดยไม่มีข่าวคราว สุดท้ายข่าวนี้ก็แพร่ไปถึงหูของสกุลสุ่ย 

 

 

“อะไรนะ?!” 

 

 

บรรพชนเฒ่าสุ่ยฮั่วอีเมื่อได้ยินรายงาน เขาก็เบิ่งตากว้าง แววตาตาดุดัน 

 

 

“ใคร? ใครทำกัน?!” 

 

 

นักรบของสกุลสุ่ยยี่สิบสี่คน ไปแล้วไปลับไม่ได้กลับมามาอีกเลย ทุกคนตายอยู่ที่ริมแม่น้ำฮาซือถูทั้งหมด สกุลสุ่ยต้องสูญเสียยอดฝีมือกว่ายี่สิบสี่คนในคราวเดียวกัน! 

 

 

“ยังไม่รู้ขอรับว่าใครทำ——” 

 

 

“บัดซบ!” สุ่ยฮั่วอี้ฟาดฝ่ามือลงที่กลางกะหม่อมของผู้ที่รายงาน จนกะโหลกของเขาแตกละเอียด มันสมองไหลตายคาที่ 

 

 

“นายเฒ่าอภัยด้วย! นายเฒ่าอภัยด้วย!” 

 

 

ลูกน้องคนอื่นที่อยู่ข้างๆเมื่อเห็นดังนั้น ทั้งหมดก็รีบคุกเข่าโขกศีรษะร้องขอชีวิตทันที 

 

 

“สุ่ยเจ๋อซีละ? ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน?” 

 

 

“เรียนนายเฒ่า คุณหนูใหญ่ตั้งครรภ์ นายท่านและฮูหยินจึงเดินทางเยี่ยมไปที่สกุลหลิวขอรับ” 

 

 

“รีบสั่งให้มันไสหัวกลับมาเดี๋ยวนี้! ไอ้พวกสวะมันรังแกถึงที่แล้ว มันยังมีแก่ใจไปท่องเที่ยวข้างนอกอยู่ได้! ไปบอกมันนะว่า หากไม่กลับมาภายในสามวัน ก็ไม่ต้องเป็นประมุขของบ้านสกุลสุ่ยอีกต่อไป!” 

 

 

“ขะ ขอ ขอรับนายเฒ่า!” 

 

 

ทางด้านสุ่ยเจ๋อซีกลับไม่ล่วงรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่สกุลสุ่ยเลยสักนิด แม้ว่าเขาจะรู้เรื่องราวบางส่วนตั้งแต่แรกจากพิราบสื่อสารที่สุ่ยเจียงส่งมารายงาน ว่าหมอเหออี้ ช่วยสุ่ยเยว่เอ๋อร์และอวี้ซิงฉงหลบหนี แต่เขากลับคิดว่า นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะสุ่ยเจียงจะต้องตามจับพวกเขากลับมาได้อย่างแน่นอน 

 

 

ขณะนี้สุ่ยเจ๋อซีได้เอ่ยถึงเรื่องการตายของหลิวติงขึ้นมา และคนของสกุลสุ่ยก็ก้าวขึ้นมาเป็นประจักษ์พยาน 

 

 

เมื่อได้ยินว่า ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นสังหารหลานชายสุดที่รัก หลิวอ้าวหลานก็โกรธเคืองจนแทบกระอักเลือด 

 

 

“ข้าจะไม่ปล่อยมันเอาไว้แน่ ข้าจะต้องแก้แค้นให้กับหลิวติง!” ดวงตาทั้งสองข้างของหลิวอ้าวหลานแววร้ายแดงเลือด มองดูแล้วน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก 

 

 

แท้ที่จริงแล้ว ในจของหลิวอ้าวหลานมีความลับที่มิอาจบอกใครได้ นั่นก็คือ แม้ว่าตามอายุแล้วหลิวติงจะเป็นหลานชายของหลิวอ้าวหลาน แต่ฐานะที่แท้จริงของเขาก็คือผลจากความผิดพลาดที่ครั้งหนึ่งหลิวอ้าวหลานเคยธาตุไฟเข้าแทรกแล้วข่มเหงลูกสะใภ้ของตนเองเข้าจนมีหลิวติง 

 

 

พูดง่ายๆก็คือ หลิวติงคือลูกชายแท้ๆของเขานั่นเอง 

 

 

ใครๆต่างก็บอกว่า พ่อแม่มักจะรักลูกคนเล็กที่สุด 

 

 

หลิวอ้าวหลานมีหลิวติงตอนอายุปาเข้าไปแปดสิบ แน่นอนว่าย่อมต้องรักมา ให้ท้ายมากจนเสียคน 

 

 

ลูกชายของเขา ประมุขแห่งสกุลหลิวคนปัจจุบัน หลิวอวี่เซิงรู้อยู่เต็มอกว่าบิดาและภรรยาของตัวเองทำเรื่องบัดสีขึ้น แต่เพื่อรักษาหน้าตาของสกุลหลิวเอาไว้ หลิวอวี่เซิงจึงต้องอดทนอดกลั้นถูกสวมเขาโดยบิดาของตัวเอง 

 

 

ซึ่งนี่คือเรื่องภายในส่วนตัวของสกุลหลิว ซึ่งหลิวเจ๋อไม่ได้ล่วงรู้ 

 

 

เพราะหากว่าเขารู้ เขาจะต้องใส่สีตีไข่ เทน้ำมันลงบนกองไฟเป็นแน่ 

 

 

ลูกชายคนเล็กสุดที่รักถูกประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นที่โผล่มาจากไหนไม่รู้สังหารจนตาย หลักฐานพยานพร้อมมูล แล้วจะให้หลิวอ้าวหลานยอมได้อย่าไร 

 

 

เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นจะวางแผนการอะไรอยู่! 

 

 

แต่ในเมื่อมันสังหารลูกชายของเขา เช่นนั้นก็ต้องชดใช้หนี้เลือดนี้ด้วยชีวิต! 

 

 

หลิวอ้าวหลานมีนิสัยใจร้อนวู่วาม หลังจากที่มั่นใจเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงขี่ม้าฮ้อตะบึงออกจากจวนสกุลหลิว ไปยังเมืองเฮ่อทันทีเพื่อทวงความยุติธรรมให้กับบุตรชาย 

 

 

หลังจากที่กลับออกมาจากจวนสกุลหลิว สุ่ยเจ๋อซีก็อารมณ์เบิกบานแจ่มใส่เป็นอย่างมาก 

 

 

เขาสามารถยุแหย่ให้สกุลหลิวและประมุขแห่งถ้ำจื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างกันขึ้นได้สำเร็จ นั่นทำให้สุ่ยเจ๋อซีรู้สึกภาคภูมิใจยิ่งนัก 

 

 

เสือสองตัวต่อสู้กัน และเขาคือผู้ที่จะได้ตักตวงผลประโยชน์ 

 

 

แม้ว่าสุดท้ายจะไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลยก็ตาม แต่เพียงแค่ได้เห็นยักษ์ชนยักษ์จนบาดเจ็บไปตามๆกัน สุ่ยเจ๋อซีก็สบายใจยิ่งแล้ว 

 

 

ผู้อื่นกำลังเดือดเนื้อร้อนใจ ใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นสุข นับเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองยิ่งนัก 

 

 

แต่ทว่า สุ่ยเจ๋อซีดีใจได้ยังไม่ทันไร ก็ได้รับคำสั่งด่วนจากสกุลสุ่ยสั่งการให้เขากลับจวนในทันที คำสั่งด่วนนั้นบรรพชนเฒ่าแห่งสกุลสุ่ยเขียนด้วยตัวเอง ซึ่งเนื้อหามีเพียงหกคำนั่นก็คือ 

 

 

‘ไม่กลับมาภายในสามวัน ตาย!’ 

 

 

คราวนี้ทำเอาสุ่ยเจ๋อซีตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก 

 

 

‘สามวัน!’ 

 

 

‘นี่มิเท่ากับเอาชีวิตของเขาอย่างนั้นหรือ!’ 

 

 

สุ่ยเจ๋อซีไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างที่จวนสกุลสุ่ย แต่คำสั่งของบรรพชนเฒ่าเขามิอาจฝ่าฝืนได้ 

 

 

เมื่อเป็นเช่นนั้น สุ่ยเจ๋อซีจึงบอกลาหลิวอวี่เซิง แล้วพาหมี่หลานฮูหยินของเขารวมทั้งทหารผู้ติดตามรีบร้อนเดินทางกลับสกุลสุ่ยในวันเดียวกันนั้นเลย จนกระทั่งในที่สุดก็กลับถึงสกุลสุ่ยในกลางคืนวันที่สามพอดี 

 

 

“สุ่ยเจ๋อซี ในตอนนั้นที่ข้าเลือกเจ้าให้เป็นผู้นำตระกูลสุ่ย เพราะชื่นชอบในสติปัญญาและความสามารถของเจ้า แต่ว่า เจ้ากลับทำให้ข้าต้องผิดหวัง!” 

 

 

สุ่ยฮั่วอีหิ้วสุ่ยเจ๋อซีเข้ามาแล้วโยนเขาเข้าไปในห้องบรรพชนของตระกูลทันที ที่พื้นของห้องบรรพชนนั้น มีศพอยู่ทั้งหมดยี่สิบสามศพ 

 

 

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า สุ่ยเจ๋อซีก็ตกตะลึงงัน 

 

 

“บรรพชนเฒ่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? นะ นี่ มันเรื่องอะไรกัน?”