บทที่ 576 ตอนนี้เขาไม่ใช่อะไรเลย

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

พนาวันพูดด้วยเสียงเรียบ “หทัย ฉันไม่มีสิทธิ์พักผ่อน”

“ทำไม?” หทัยขมวดคิ้วเป็นปม

“ตอนนี้ฉันขาดแคลนเงินมาก”

พนาวันเงยหน้าขึ้น “เคมีบำบัดเป็นหลุมที่ไม่มีก้น เงินเก็บของฉันในหลายปีมานี้ต้องรับมือได้ไม่นานแน่นอน”

หทัยกัดฟันกรอด “อาคิระ ไอ้สารเลวนั่นไม่ให้เธออะไรเลยหรือไง?”

“มี แต่ฉันเก็บไว้ให้หมีพูลหมดแล้ว”

“คนสำคัญหรือว่าเงินสำคัญกันแน่? เงินยังหาใหม่ได้ ถ้าเธอตายไป หมีพูลคงไม่มีแม่แล้ว!”

หน้าอกของพนาวันกระเพื่อม “โอกาสที่มะเร็งจะหายขาดนั้นต่ำมาก คงไม่อาจเสียทั้งคนทั้งเงิน อาคิระไม่ชอบหมีพูล วันข้างหน้าแต่งงานมีลูกอีก ก็แค่จะทำไม่ดีกับเขากว่าเดิม ฉันจึงต้องคิดเผื่ออนาคตของเขา”

ได้ยินแบบนี้ หทัยน้ำตาคลอทันที

ดั่งที่คาด บนโลกใบนี้มีแค่ความรักของแม่เท่านั้นที่ไม่เห็นแก่ตัว

“ฉันรู้สึกว่าถ้าเทียบกับเงิน หมีพูลยิ่งอยากได้แม่มากกว่า”

พนาวันเงียบงันไป

ผ่านไปสักพัก เธอก็เอ่ยว่า “ฉันอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ ทว่าเรื่องในโลกนี้ยากที่จะคาดเดา”

หทัยพูดขึ้นต่อ “ฉันรู้ ฉันก็ไม่หวังว่าเธอจะยอมแพ้ ไม่มีเงิน ฉันช่วยเธอได้!”

พนาวันยิ้มขึ้น แล้วมองเธอด้วยความอ่อนโยน “เธอกำลังท้อง ยังมีบ้านและรถที่ต้องผ่อน ฉันไม่เอาแน่นอน”

ถ้าเกิดเธอตายไป เงินที่ใช้ไปก็เปล่าประโยชน์

หทัยครุ่นคิด แล้วพูดว่า “ถ้าเธออยากหาบริษัททำงานจริงๆ ฉันมีหนึ่งวิธี”

“อะไร?”

“ทางฝั่งถนนข้าวทิพย์ตอนกลางคืนจะครึกครื้นมาก มีแต่คนไปร้านค้าบนพื้น เธอลองดูได้ งานค่อนข้างมีความยืดหยุ่นสูง รายได้ก็ไม่ต่ำเลย”

พนาวันนิ่งงัน “ตั้งร้านบนพื้น ฉันจะขายอะไร?”

“ของกิน ของใช้ เธอวาดรูปเป็นไม่ใช่เหรอ ก็สามารถวาดรูปคนให้คนอื่น”

รอให้หทัยจากไป พนาวันก็นึกถึงคำแนะนำของเธอตลอด

พูดความจริง คำแนะนำนี้ไม่เลวจริงๆ

ตอนนี้ยังไม่เริ่มเคมีบำบัด ร่างกายและความมีชีวิตชีวาของเธอก็ยังไม่เลว ยังพอทนไหว

ฉะนั้น เธอจึงเริ่มทันที

ยังไรก็ตามนี่คือคืนแรก เธอกลัวว่าร้านวาดรูปจะเงียบ คนน้อยเกินไป ฉะนั้นเธอจึงไปตลาดขายส่ง แล้วซื้อของเล่นเล็กๆ

เมื่อถึงตอนกลางคืน พนาวันยกของพวกนั้นไปริมถนนทั้งสองข้าง ตอนนี้มีคนเริ่มตั้งร้านกันเยอะมากแล้ว

ครั้งแรกของเธอทั้งรู้สึกฝีมือตก รู้สึกกินแรง เธอใช้กำลังมหาศาลขนของพวกนั้นไปตั้ง คนอื่นเรียกลูกค้าเป็น ส่วนเธอกลับค่อนข้างมึนตึง

มีแขกมาถามราคา เธอพูดตามความจริง ทว่าไม่ได้พูดจาสร้างความประทับใจเลยแม้แต่น้อย

บนถนนสายนี้ รถเบนท์ลีย์สีดำคันหนึ่งค่อยๆ ขับไปด้านหน้า

ในรถมีหมีพูลและอาคิระนั่งอยู่ ส่วนลุงสินก็กำลังขับรถ

หมีพูลก้มหน้าลง ไม่พูดไม่จา และไม่ได้มองอาคิระ แค่มองถุงมือบนตัก นั่นเป็นถุงมือที่แม่ถักให้เขา

อาคิระสังเกตมองเขาไปสักพัก จากนั้นก็ละสายตาไปนอกรถ ทันใดนั้น เขาก็หรี่ตาลง จ้องไปยังทิศทางหนึ่ง

พนาวันกำลังตั้งร้าน ทันใดนั้นก็เห็นคนตะโกนขึ้นมาว่า “เทศกิจมาแล้ว!”

จากนั้น วินาทีก่อนหน้านี้ร้านค้าที่ตั้งอยู่บนพื้นก็รีบหอบของเริ่มวิ่งหนี

เป็นครั้งแรกที่พนาวันเห็นเหตุการณ์แบบนี้ เธอก็ไม่ได้หยุดนิ่ง จึงรีบหอบของตนเอง แล้ววิ่งไปด้วยขาเป๋ ทว่าของหนักเกินไป เธอกลับวิ่งไม่ไหว

คนที่ใส่ชุดตำรวจสองสามนายวิ่งมาทางฝั่งนี้ ในมือของกุญแจมือ ไม่รู้ว่ากำลังด่าอะไร และกำลังไล่ตามไป

พนาวันช้าเกินไป ตำรวจเร็วเกินไป หัวใจของเธอเต้นแรงจนจะกระดอนออกมา รวมไปถึงหิ้วของไปด้วย จึงวิ่งไม่ไหว และตำรวจเองก็ใกล้เข้ามาทุกที

อาคิระหรี่ตาลงมากขึ้น

ผู้หญิงคนนี้ มีกลอุบายมากมายจริงๆ

ตั้งใจตั้งร้านบนพื้นบนถนนที่เขาผ่าน นี่มันกลอุบายอะไรกันแน่?

นี่คิดว่าจะเรียกคะแนนสงสาร เพื่อให้เห็นใจหรือไง?

กลยุทธ์สามสิบหกอย่าง เธอกลับเล่นเป็นทุกอย่าง

ระยะห่างที่ไกลออกไป เห็นแค่ผู้หญิงที่ถ้าไม่ทำก็ไม่ทำ พอได้ทำก็ทำถึงที่สุดโดยไม่ยอมฟังอีร่าค่าอีรม โยนของพวกนั้นทิ้งบนพื้น แล้วหลบเข้าไปในพุ่มหญ้า

ตำรวจไม่ได้จดจ่อที่เธอ จึงไล่ตามไปด้านหน้าต่อ

เขาดึงมือกลับ จัดคอเสื้อสูทของเขา ไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ

แสดงละครน่าสงสาร นี่ไม่มีประโยชน์สำหรับเขาเลย

อีกอย่าง ไม่ง่ายเลยที่จะหย่า เขาไม่มีทางพัวพันกับเธอแม้แต่น้อยอีกแน่นอน

เมื่อมองผ่านหน้าต่าง เห็นร่างที่เดินส่ายไปส่ายมาออกมา แล้วนั่งยองๆ บนพื้น เก็บของพวกนั้น…

ลุงสินและหมีพูลไม่ได้สนใจ ฉะนั้นจึงไม่เห็นเธออยู่แล้ว

วันที่หนึ่ง ออกไปรบแต่ตัวตายก่อนจะรบชนะแล้ว ไม่ราบรื่นเลย

พนาวันไม่ได้ยอมแพ้ ยังคงยืนหยัดต่อไป

สามวันหลังจากนี้ สถานการณ์ค่อยๆ ดีขึ้น เริ่มมีรายได้บ้าง บางครั้งยังได้หนึ่งร้อยกว่า

คืนนี้ เธอเก็บข้าวเก็บของตั้งแต่เนิ่นๆ

ใครจะไปรู้ เทศกิจโผล่มาอีกแล้ว

เพราะว่ามีประสบการณ์จากก่อนหน้านี้ พนาวันเก็บของเสร็จอย่างรวดเร็ว

ทว่า ขาของเธอไม่สะดวก วิ่งได้เร็วด้วย จึง “เผลก” ล้มลงบนพื้นอย่างแรง ของกระจุยกระจายไปทั่ว

บนรถคันสีดำ

ภาพนี้ สะท้อนเข้าไปในตาของอาคิระอีกครั้ง

เหอะ

ผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงแต่ไม่หยุดตามความเหมาะสม แต่กลับทำให้รุนแรงกว่าเดิม

ไฟเขียวสว่างขึ้น ลุงสินกำลังเร่งคันเร่ง แล้วกำลังจะเคลื่อนไปด้านหน้า อาคิระกลับพูดว่า “จอดรถ”

ถึงแม้ลุงสินจะไม่เข้าใจ ทว่าก็ยังจอดรถ เขาเปิดประตูรถออกไป ตอนจากไปก็ทิ้งท้ายคำๆ เดียว “ไม่ต้องรอผม พาเขาไปกินมื้อค่ำก่อนเถอะ”

เขาที่เอ่ยถึงก็คือหมีพูล ลุงสินพยักหน้า แสดงให้เห็นว่าตัวเองเข้าใจแล้ว

จึงเร่งรถ รถค่อยๆ เคลื่อนไปด้านหน้า

ของกระจัดกระจายบนพื้นค่อนข้างเยอะ พนาวันลุกขึ้นแล้วเก็บข้าวของพวกนั้นอย่างวุ่นวะวุ่นวาย

จู่ๆ สองขายาวๆ ก็สะท้อนเข้าไปในนัยน์ตา แขนยกขึ้นเล็กน้อย ยื่นของเล่นที่ตกอยู่บนพื้นของเธอ

“ขอบคุณค่ะ” เธอพูดขึ้น ขณะที่กล่าวขอบคุณก็เงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นก็หยุดอยู่ที่เดิมเหมือนหุ่นหิน

คนที่มาเหนือการคาดเดาของเธอ นั่นก็คืออาคิระ

ทว่าทันใดนั้นก็ดึงสติที่แล่นไปไกลของเธอกลับมา ไม่ได้สนใจเขา และไม่ได้ยื่นมือไปรับของในมือของเขา แต่ก้มหน้าก้มตาเก็บของตัวเอง

เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว พนาวันไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขาทั้งสองยังมีความจำเป็นที่ต้องคุยกัน

พนาวันยังคงไม่เอ่ยพูด ของบนพื้นก็เก็บเกือบเสร็จแล้ว

เธอยกถุงขึ้น แล้วเดินไปด้านหน้า

ความอดทนของอาคิระค่อยๆ หมดไป รู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าหลังจากหย่ากัน เธอค่อนข้างเซ้าซี้ “ยังเล่นกลไม่พอดีอีกหรือไง? หรือว่าคุณบอกผมมาก็ได้ มารยาสามสิบหกเล่ม มีเล่มไหนบ้างที่ยังไม่ได้เล่นอีก?”

เล่นกลบ้าบอ?

เล่น?

มาถึงขั้นนี้แล้ว เธอยังเล่นอะไรอีก?

เธอไม่ได้หันหน้าไป ยิ่งไม่ได้ชะงักฝีเท้าลง แค่เดินไปด้านหน้าต่อ

ถ้าเป็นแต่ก่อน ปรากฏตัวต่อหน้าเขาด้วยสภาพแบบนี้ ต้องรู้สึกตะลีตะลานแน่ อยากจะหารูหนูมุดเข้าไป ทว่าตอนนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้ว

เธอในเวลานี้ตกอับมากพอแล้ว และสามารถเดินผ่านหน้าเขาไปด้วยความนิ่งเฉย

ตอนที่เธอให้ความสำคัญกับคนคนหนึ่ง เขาจะเป็นทุกอย่างของเธอ เป็นน้ำหนักที่ไม่อาจทนรับไหวที่สุดในชีวิต และขณะเดียวกัน ตอนที่เธอดูหมิ่นเขาแล้ว ฉะนั้นตั้งแต่วันนี้ไป เขาจะไม่ใช่อะไรในชีวิตของเธออีก