บทที่ 577 คุณลืมไปแล้วเหรอว่าเราหย่ากันแล้ว

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

เวลานี้ สำหรับพนาวันแล้ว อาคิระก็มีตัวตนแบบนี้เท่านั้น

ตอนที่อาลัยอาวรณ์ เขาก็คือสวรรค์ของตัวเอง

แค่อยากจะเฝ้าคอยเขา มองเขา ต่อให้จะถูกเย็นชาและถูกเย้ยหยัน เธอก็รู้สึกหวานชุ่มหัวใจ

ตอนนี้พอนึกได้แล้ว รู้สึกว่าตัวเองทั้งผ่อนคลายเป็นอิสระ ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากขนาดนั้นแล้ว

เห็นเธอไม่แยแส อาคิระก็รู้สึกโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ

เขาสาวเท้าเรียวยาวไปด้านหน้า แล้วขวางทางเดินของเธอไว้โดยตรง “คำพูดของผม คุณไม่ได้ยินหรือไง”

“ได้ยินแล้วจะทำไม ไม่ได้ยินแล้วจะทำไม?”

เธอหยุดเดิน แล้วถามกลับด้วยเสียงเรียบ

เป็นคำตอบที่เหนือการคาดเดามาก!

ครั้งนี้ เปลี่ยนเป็นอาคิระที่ตะลึงงัน

เวลาไหนที่เธอเย็นชาใส่ตัวเองขนาดนี้บ้าง?

เหอะ

เล่นละคร ยังเล่นจนติดแล้ว

สุดท้าย เขาก็เอาของมือส่ายไปส่ายมา “ยังจะเอาหรือไม่เอา?”

“ไม่เอา!” เธอพูดขึ้นโดยตรง

เธอเดินอ้อมเขา ยกถุงยืนอยู่ตรงป้าย รอรถเมล์

“พนาวัน ถ้าวันนี้คุณใช้อันนี้มาดึงดูดความสนใจของผม งั้นผมจะบอกคุณให้รู้ไว้ด้วย ไม่มีประโยชน์!”

พนาวันเลิกคิ้วมองอาคิระ “ดึงดูดความสนใจของคุณ? ความสนใจอะไร?”

อาคิระทำนัยน์ตาหม่นหมองทันที “ตั้งร้านบนถนนที่ผมต้องผ่านทุกวัน ไม่ใช่ว่าอยากแกล้งทำเป็นลำบากหรือไง อยากจะเรียกคะแนนความสงสารและความสนใจจากผมน่ะสิ?”

“พู่ว…”

พนาวันทนไม่ไหว จึงหัวเราะพุ่งออกมา มองเขาแล้วพูดว่า “อาคิระ หลงตัวเองคือโรคชนิดหนึ่ง ต้องรักษานะ!”

อาคิระทำตัวหยิ่งยโส “จะป่วยหรือไม่ป่วย ผมรู้ดีแก่ใจ คุณคิดยังไง ผมก็รู้ดี”

“อาคิระ ฉันว่าคุณไปโรงพยาบาลเถอะ ดูที่นี่” พนาวันยกมือขึ้น แล้วแตะตรงขมับ

อาคิระเลิกคิ้ว ไม่ได้ฟังเข้าไปเลย

ในมุมมองของเขา พนาวันก็แค่ตั้งใจแสดงละครเท่านั้น

ผู้หญิง มีเล่ห์เหลี่ยมเยอะจริงๆ!

เวลานี้ รถเมล์ก็จอดลง

พนาวันหิ้วถุง ยกของอย่างใช้กำลังเดินไปที่รถเมล์

ทว่า เพิ่งจะเดินหน้าสองก้าว ถุงกลับถูกคนด้านหลังแย่งไป

เธอหันไปมอง “ปล่อยมือ!”

แววตาสีนิลของเขาจับจ้องไปยังร่างของเธอ

ริมฝีปากบางขยับ แล้วพูดอย่างไร้ความอดทน “หรือว่า คุณยังไม่รู้สึกอับอายขายขี้หน้าอีกเหรอ?”

อับอายขายขี้หน้า?

พนาวันรู้สึกเย็นยะเยือกในใจเป็นช่วงๆ

เธอหันไปมองอาคิระ

ชายคนนี้ยังคงมีใบหน้าหล่อเหลา เพียงแต่ว่าวงหน้าเฉียบคมเกินไป แววตาเย็นชาเสียวไปถึงกระดูก

เพียงแต่ว่าพนาวันในตอนนี้ไม่ได้สนใจเขามาก ถึงขั้นยังยิ้มจางๆ แล้วพูดว่า “อาคิระ พวกเราหย่ากันแล้ว ไม่ใช่เรื่องของคุณ! ไหนๆ จะขายหน้า ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณเลยสักนิด คุณไม่มีอำนาจ และไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับฉัน”

ได้ยินแบบนี้ ม่านตาอาคิระหดเล็กลง สีหน้าตะลึงงัน

ให้ตายเถอะ เกือบลืมไปเลยว่าทั้งสองหย่ากันแล้ว

“เหอะ คุณไม่กลัวทำให้หมีพูลขายหน้าหรือไง?”

พนาวันหน้าอกกระเพื่อม แล้วนิ่งเงียบไป

และรถเมย์ใกล้จะออกแล้ว ถ้าจะยุ่งเกี่ยวกันแบบนี้ต่อไป คงไม่ทันขึ้นแล้ว

เธอก็ไม่อยากจะพัวพันกับเขามากเกินไป จึงปล่อยถุงออกแล้วนั่งขึ้นไปบนรถเมย์

ไหนๆ เขาก็อยากกิน งั้นเธอก็ให้!

ขาด้านหลังของเธอเพิ่งจะก้าวขึ้นไป ประตูรถก็ปิดลง ทำให้เธอเดินซวนเซจนเกือบจะหกล้ม จึงรีบพยุงร่างของตัวเองไว้

บนรถว่างมาก โดยเฉพาะแถวสุดท้าย

พนาวันนั่งบนที่นั่งด้านหลัง มีหน้าต่างคั่นกลางไว้ เธอเห็นอาคิระหิ้วถุงนั้นอย่างชัดเจน

เธอดึงสายตากลับอย่างไร้ความรู้สึก แล้วมองตรงไปด้านหน้า

ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา หัวใจที่รักเขาตายไปแล้ว

อาคิระยังยืนอยู่ตรงนั้น ยังคงหิ้วถุงใบนั้น

เขาขมวดคิ้วเป็นปม แล้วจับจ้องไปยังถุงนั้นอย่างขยะแขยง

แล้วมองไปรอบๆ มีรถส่วนตัวสัญจรไปมา ไม่งั้นก็เป็นรถโดยสารประจำทาง เขตนี้มีรถแท็กซี่น้อยมาก

หลังจากก่นด่าเสียงต่ำไปสองสามประโยค เขาก็โทรหาเลขาในบริษัท ให้ขับรถของเขามา

ประมาณสิบกว่านาที เลขาก็รีบขับรถมา

อาคิระยังคงหิ้วถุงนั้นไว้ เลขาก็ตะลึงงันไป

จากนั้น ก็รีบลงจากรถ

หลังจากลงรถ สิ่งแรกที่ทำก็คือรีบไปรับถุงในมือของเขาแล้วพูดว่า “ท่านประธานครับ ท่านขึ้นรถเถอะ ผมจะเอาไปทิ้งเอง”

พอเอาถุงให้เลขา แล้วก้าวขึ้นรถ จากนั้นปรายตามองเลขาที่กำลังจะเอาถุงนั้นทิ้งในขยะที่อยู่ละแวกนั้น

และไม่รู้ว่าทำไม ท่าทางของเลขาและร่างของผู้หญิงคนนั้นทับซ้อนกัน อาคิระจึงพูดว่า “ช่างเถอะ ทิ้งไว้ที่ฝาท้ายรถก่อนเถอะ”

เลขาคนนั้นก้มหน้ามองถุงที่เปื้อนฝุ่นและดินนั้น แสดงถึงความไม่เข้าใจ

นี่ไม่ใช่ขยะเหรอ?

คุณอาคิระจะเก็บไว้ทำไม?

กลับถึงบ้านตระกูลอนันต์ธชัย หมีพูลกำลังกินข้าว

เมื่อเทียบกับสองวันก่อน เขาเป็นเด็กดีขึ้นเยอะ ไม่ได้หาเรื่องและไม่ได้โวยวาย แต่ก็คือไม่พูดไม่จา ราวกับหุ่นไม้

ลุงสินทำได้เพียงถอนหายใจยาว

ทีแรก คุณชายก็รู้สึกกลัดกลุ้มมากอยู่แล้ว

ตอนนี้ แม้กระทั่งคุณชายน้อยที่ร่าเริงแจ่มใสยังกลายเป็นแบบนี้

ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป คุณชายน้อยต้องกลายเป็นคุณชายคนที่สองแน่นอน

บ้านตระกูลอนันต์ธชัย ไม่มีรสชาติในโลกมนุษย์เลย ราวกับบ่อน้ำแข็ง

เมื่อเหลือบตาเขาเพียงพริบตาเดียว อาคิระก็กำลังกินมื้อค่ำอยู่

เพียงแต่ว่าเขาถูกพนาวันวางแผนทำลาย เลยรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก

ผู้ใหญ่หนึ่งเด็กหนึ่งกำลังนั่งกินข้าวกันอย่างเงียบๆ ราวกับหุ่นแกะสลักน้ำแข็งสองอัน

หลังจากกินมื้อค่ำเสร็จ ทั้งสองยังคงไม่พูดคุยกัน อาคิระก็ขึ้นชั้นบน

เขาโยนเสื้อคลุมโยนลงบนเตียง แล้วกดโทรหาทนาย ถามถึงการแบ่งทรัพย์สินตอนหย่า

“ท่านประธานอาคิระครับ บ้านและเช็คทุกอย่าง คุณพนาวันไม่ได้รับ เธอขอแค่อย่างเดียวก็คือส่งของพวกนี้ให้คุณชายน้อย สำหรับเรื่องพวกนี้ ผมเคยรายงานกับท่านประธานแล้ว”

อาคิระตอบกลับสั้นๆ ไม่พูดไม่จาอีก

ทนายเคยพูดจริงๆ เพียงแต่เขาไม่ได้ใส่ใจ ฉะนั้นเลยไม่ได้ยินเท่านั้น

กลับรู้สึกแปลกใจและคาดคิดไม่ถึง ของพวกนั้นที่เขาให้ เธอกลับไม่ได้ยื่นมือไปรับทั้งหมด

นิ้วมือเรียวยาวกดมือถือ แล้วทำนัยน์ตาหม่นหมอง แล้วโทรไปสายหนึ่ง พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ

กลับถึงห้อง พนาวันเปิดไฟ ในห้องเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ราวกับหัวใจของเธอ

ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ไม่มีที่พึ่งพิง ว่างเปล่าเหมือนเป็นแผลเลือดที่มีรูพรุน

เหนื่อย เหนื่อยมากจริงๆ

ความเหนื่อยล้าที่เกลื่อนกลาดไปทั่วร่างยากที่จะสรรหาคำพูดมาอธิบาย เธอทรุดตัวลงไปนั่งยองๆ บนพื้นโดยตรง

ไม่มีร่างน้อยๆ ของหมีพูล และไม่มีคำพูดที่ใส่ใจและรู้กาลเทศะของเขา ทุกอย่างว่างเปล่า ยิ่งไม่มีความรู้สึกมั่นคงที่ได้กอดเขานอน

สองมือของเธอกอดเข่าไว้ หัวผุดหว่างขาทั้งสองข้างอย่างเงียบๆ

มีเพียงท่านี้ถึงจะทำให้ตัวเองไม่รู้สึกโดดเดี่ยวขนาดนั้น และไม่มีที่พึ่งพาขนาดนั้น

เธอคิดว่า งานที่ตั้งร้านบนพื้นทำต่อไปไม่ได้แล้ว

ยังไง แต่ก่อนเธอคือภรรยาของอาคิระ เคยขึ้นหนังสือพิมพ์ของฮ่องเต้ บางคนไม่รู้จักเธอ ทว่าบางคนกลับรู้จักเธอ

ถ้าเรื่องนี้ให้คนที่ประสงค์เห็นแล้วถ่ายลงบนโซเชียล หรือไม่ก็ขึ้นในนิตยสาร

เช่นนั้น คนที่ประสงค์ร้ายจะใช้สายตายังไงมองหมีพูล?

เขาเรียนในโรงเรียนที่ตระกูลเศรษฐีเรียนต้นๆ ในฮ่องเต้ ทำให้ขายขี้หน้าไม่ได้

เป็นเรื่องจริงที่เธอไม่ควรใช้ชีวิตรันทดขนาดนี้

จริงๆ ลำพังตัวเองก็คงไม่เป็นไร ทว่าหมีพูลล่ะ?

อนาคตที่มืดมิด ราวกับเต็มไปด้วยพายุทราย ทรายสีเหลืองอันเกรี้ยวกราดคำรามทำร้ายดวงตา และไม่เห็นความหวังเลยสักนิด

เคมีบำบัดก็ใกล้เข้ามาเช่นกัน ราวกับว่าสิ่งเลวร้ายทั้งหมดกำลังทับร่างเธอ หนักและหายใจไม่ออก

ทำให้เธอนอนไม่หลับคืนหนึ่งเต็มๆ