ตอนที่ 101-1 โยกย้ายทหารที่ใกล้สุด

จารใจรัก

กระแสพระราชโองการสององค์เผยแพร่มาถึงเมืองหลินอันในไม่เกินครึ่งวัน 

 

 

           ฉินอวี้เติบโตข้างพระวรกายฮ่องเต้มาตั้งแต่เด็ก เข้าใจอารมณ์ของพระองค์ได้อย่างปรุโปร่ง คาดการณ์ได้แต่เนิ่นๆ แล้วว่าฮ่องเต้จะมิทรงอนุญาตให้มีการแก้ไขระบบทหาร มากสุดก็แค่ออกพระราชโองการให้รัศมีหนึ่งร้อยลี้รอบม่อเป่ยรอฟังคำสั่งโยกย้ายของกองทัพม่อเป่ย ทว่าถึงแม้ทรงรับสั่งให้คนขี่ม้าเร็วออกจากเมืองไปเผยแพร่พระราชโองการที่ม่อเป่ย เดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือน 

 

 

           เป่ยฉีระดมกำลัง สำหรับการโจมตีพรมแดนม่อเป่ยแล้วนั้น ครึ่งเดือนคงช้าเกินไป 

 

 

           หากยิ่งมิแก้ระบบทหารด้วยแล้ว รอบม่อเป่ยเคยชินกับการมิฟังคำสั่งจากทัพม่อเป่ยมาตั้งหลายปีแล้ว เรียกได้ว่าอยู่ห่างจากสายตาฮ่องเต้ แค่พระราชโองการฉบับเดียวยากจะออกคำสั่งให้ออกทัพสนับสนุนกองทัพม่อเป่ยโดยเร่งด่วน 

 

 

           หากเป็นเช่นนี้ ค่ายทหารม่อเป่ยก็จะต้องต่อต้านการระดมกำลังของเป่ยฉีเพียงลำพัง 

 

 

           ฉินอวี้มีใบหน้าตึงเครียด คิดในใจว่าเสด็จพ่อทรงประชวรและชรามากแล้ว จนป่านนี้ยังยืนกรานในความมุ่งมั่นของตนเอง มิอยากให้ตระกูลเซี่ยมีตำแหน่งสูงและมากอำนาจ กลับมิได้คิดว่าหากเป่ยฉีบุกประชิดเข้ามาได้อย่างราบรื่น หนานฉินก็จะเป็นดินแดนที่มิใช่ดินแดนอีกต่อไป 

 

 

           ยามนี้คงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่เซี่ยม่อหานว่าจะไปถึงค่ายทหารม่อเป่ยในเร็ววัน หลังจัดการทุกอย่างแล้วก็จะไปขอให้เมืองเสวี่ยเฉิงออกทัพช่วยเหลือ 

 

 

           เมืองเสวี่ยเฉิง… 

 

 

           เขายืนริมหน้าต่างพลางเคาะลายฉลุ ใบหน้าค่อนข้างมืดครึ้ม 

 

 

           “รัชทายาท ท่านหญิงเหลียนฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” มีคนรายงานขึ้นจากหน้าประตู 

 

 

           “น้องเหลียนฟื้นแล้วหรือ” ฉินอวี้หันกลับมา 

 

 

           “ทูลรัชทายาท ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นพยักหน้า 

 

 

           “ข้าจะไปดูนางหน่อย” ฉินอวี้หันหลังเดินออกมาจากห้อง ไปยังเรือนพำนักของฉินเหลียน 

 

 

           เมื่อมาถึงเรือนพำนักของฉินเหลียน กลิ่นยาสมุนไพรเข้มข้นก็ตีรวนปะทะใบหน้า 

 

 

           ฉินอวี้ย่างเท้าเข้าไปข้างใน พบว่าหมออาวุโสท่านหนึ่งในเมืองหลินอันกำลังตรวจชีพจรให้ฉินเหลียนอยู่ ฉินเหลียนกะพริบตามองทั่วห้อง ราวกับยังมิได้สติมากเท่าไรนักหลังฟื้นขึ้นมา 

 

 

           “ฟื้นแล้วหรือ” ฉินอวี้แย้มยิ้มบาง 

 

 

           ฉินเหลียนได้ยินเสียงนั้นก็หันมามอง เห็นว่าเป็นฉินอวี้ก็ฝืนกะพริบตาอีกหน พอเอ่ยปากเรียกลำคอก็แหบแห้ง “พี่ฉินอวี้” 

 

 

           “อืม ข้าเอง” ฉินอวี้พยักหน้า เดินมาหยุดข้างเตียงแล้วเอ่ยถามหมออาวุโสที่กำลังตรวจชีพจรคนนั้น “เป็นเช่นไรบ้าง” 

 

 

           “ทูลรัชทายาท ท่านหญิงเหลียนวาสนาหนักดวงแข็ง ผ่านระยะอันตรายไปแล้ว ทุกอย่างปกติดีพ่ะย่ะค่ะ แม้จะฟื้นแล้วก็ยังมิอาจขยับตัวตามใจชอบได้ จำต้องนอนพักฟื้นอย่างน้อยสิบวัน รอจนบาดแผลสมานกันแล้วถึงลุกมาเดินเล่นได้ แต่เดินได้เพียงนิดหน่อยเท่านั้น มิอาจเคลื่อนไหวก้าวกระโดดได้ หากอยากกระโดดโลดเต้น อย่างน้อยต้องพักฟื้นอีกสองเดือนพ่ะย่ะค่ะ” หมออาวุโสวางมือลง หันกลับมาประสานมือคารวะกล่าวกับฉินอวี้  

 

 

           ฉินอวี้พยักหน้าก่อนถามฉินเหลียน “ได้ยินหรือยัง ถึงเจ้าดวงแข็ง แต่ยังต้องพักรักษาตัวให้ดี” 

 

 

           แววตาฉินเหลียนยังคงเลื่อนลอยอยู่บ้าง เนิ่นนานกว่าจะนึกถึงสภาพความเป็นจริง นางยกมือสัมผัสบริเวณทรวงอกแล้วบอกกับฉินอวี้ “ข้าจำได้ว่าถูกกระบี่แทงหน้าอกและตกลงมาจากกำแพงเมือง…ผู้ใดเป็นคนช่วยข้า” 

 

 

           “เซี่ยอวิ๋นจี้” ฉินอวี้ตอบ 

 

 

           “เซี่ยอวิ๋นจี้” ฉินเหลียนพลันเบิกตากว้าง “เป็นเขาหรือ” 

 

 

           “เป็นเขา โชคดีที่เขามาถึงเมืองหลินอัน และรับตัวเจ้าไว้ทันจากด้านล่างกำแพงเมือง มิฉะนั้นถึงกระบี่มิได้แทงโดนหัวใจของเจ้า แต่ตกลงไปย่อมไม่รอดชีวิต” ฉินอวี้กล่าว “โชคดีมาก เจ้าฟื้นมาแล้วต้องขอบคุณเขาด้วย” 

 

 

           “เขามิใช่หายตัวไปหรือ ไฉนจู่ๆ ถึงมารับตัวข้าที่เมืองหลินอันได้” ฉินเหลียนคับแค้นใจ “ถูกเขารับไว้ มิสู้ตกลงไปตายดีกว่า” 

 

 

           “พูดอันใดแบบนั้น” ฉินอวี้ตีหน้านิ่ง “หากเจ้าเป็นอันใดไปที่เมืองหลินอัน ข้าจะกลับไปบอกเสด็จแม่อย่างไร และจะบอกท่านลุงกับท่านป้าอย่างไร อย่าพูดจาเป็นเด็กอีกเลย รักษาตัวให้ดี เชื่อฟังท่านหมอด้วย ท่านหมอให้เจ้าดูแลตัวเองอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ได้ยินหรือยัง” 

 

 

           ฉินเหลียนทำปากจู๋แล้วพยักหน้า “เซี่ยม่อหานเล่า” 

 

 

           “เป่ยฉีมีการระดมกำลัง เขาเดินทางไปม่อเป่ยตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” ฉินอวี้ตอบ 

 

 

           “หา เขาไปม่อเป่ยแล้วหรือ แล้วข้าเล่า” ฉินเหลียนจะผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความร้อนรน ทว่ามิทันระวังก็สะเทือนถึงบาดแผล นางร้องโอยด้วยความเจ็บปวดจนหน้าซีด เหงื่อผุดพรายบนหน้าผากทันที 

 

 

           ฉินอวี้เอื้อมมือกดตัวนางเอาไว้พลางถลึงตาใส่ “ข้ายังพูดมิทันขาดคำเจ้าก็ขยับตัวแล้ว ดูท่าคงต้องหาคนมาจับตามองเจ้าแล้วจริงๆ” พูดจบก็หันหลัง กล่าวบอกหมออาวุโสคนนั้น “ท่านหมอ รีบมาดูเร็วเข้า นางขยับตัวสะเทือนไปถึงบาดแผลแล้ว” 

 

 

           หมออาวุโสรีบเดินข้ามาตรวจดูบาดแผลให้ฉินเหลียน พบว่าบริเวณที่พันแผลเอาไว้มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย เขาเอ่ยขึ้น “ท่านหญิงขยับตัวสะเทือนไปถึงบาดแผลจริง บาดแผลของท่านหญิงลึกมาก แม้ทายารักษาแผลชั้นดีแล้ว ทว่าแผลยังมิสมาน ระวังอย่าผลีผลามขยับตัวอีกเลย” 

 

 

           ฉินเหลียนเจ็บจนพูดไม่ออก 

 

 

           ฉินอวี้หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อบนหน้าผากให้นางแผ่วเบา “ห้ามผลีผลามขยับตัวอีก ได้ยินหรือยัง โชคดีที่หัวใจของเจ้าเอียงไปหนึ่งชุ่น มิฉะนั้นคงเอาชีวิตไม่รอดแล้ว” 

 

 

           “ข้าอยากไปม่อเป่ย เซี่ยม่อหานทิ้งข้าแล้วไปก่อนได้อย่างไร” ฉินเหลียนน้อยใจอยู่บ้าง  

 

 

           “เป่ยฉีระดมกำลัง ตอนนี้ทัพม่อเป่ยไม่มีผู้บัญชาการ เขารีบไปค่ายทหารม่อเป่ยเพื่อควบคุมสถานการณ์ก่อน หากเป่ยฉีบุกประชิดเข้ามาได้ บ้านเมืองหนานฉินต้องมีภัยแน่นอน” ฉินอวี้ปลอบนาง “ม่อเป่ยมิได้อยู่สุดขอบฟ้าสักหน่อย เจ้ารักษาตัวให้ดี หากแผลหายดีแล้ว หลังจากนี้ถ้าอยากไปอีกก็ยังมีโอกาส” 

 

 

           “ก็ได้ ถึงแม้ให้ข้าไปตอนนี้ ข้าก็ไปมิไหวอยู่ดี” ฉินเหลียนมิกล้าผลีผลามอีก “พี่ฉินอวี้ หาสมุนไพรดำม่วงเจอหรือยัง” 

 

 

           “หาเจอแล้ว” ฉินอวี้พยักหน้า 

 

 

           “ท่านเป็นคนหาเจอหรือ” ฉินเหลียนมองเขา 

 

 

           “มิใช่ข้า ฟางหวาเป็นคนหาเจอ” ฉินอวี้ส่ายหน้า 

 

 

           “พี่สะใภ้ของข้าหรือ” ฉินเหลียนกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “นางมาเมืองหลินอันหรือ” 

 

 

           “ประกาศหย่าร้างประกาศไปทั่วใต้หล้า นางมิใช่พี่สะใภ้ของเจ้าอีกแล้ว ตอนนี้เจ้าควรเรียกนางว่าพี่ฟางหวา นางบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย” นัยน์ตาฉินอวี้หดลงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยบอกนาง  

 

 

           ฉินเหลียนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายามที่เมืองหลินอันกำลังเผชิญกับโรคห่าระบาด พระราชโองการฉินเจิงหย่าร้างกับเซี่ยฟางหวาก็ถูกปิดประกาศทุกเขตการปกครองโจวและเซี่ยนในหนานฉิน นางลอบตวัดตามองฉินอวี้ พบว่าใต้ตาเขาปรากฏรอยคล้ำจางๆ จึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “พี่ฟางหวาบาดเจ็บสาหัสได้อย่างไร” 

 

 

           “เพื่อตามหาสมุนไพรดำม่วง เรื่องนี้ให้เล่าคงยืดยาว เจ้าเพิ่งฟื้นมามิควรพูดมากและใช้สมองหนักจนเหนื่อยเกินไป” ฉินอวี้ลูบศีรษะนาง “ดื่มยาแล้วก็พักผ่อนเสีย” 

 

 

           “ก็ได้” ฉินเหลียนหลับตาลง 

 

 

           “เด็กดี” ฉินอวี้ถอนมือออก ก่อนกำชับสาวใช้ปรนนิบัติข้างกาย “ดูแลท่านหญิงให้ดี คอยดูอย่าให้ท่านหญิงผลีผลามเคลื่อนไหว หากสะเทือนถึงบาดแผลอีก เป็นอันใดขึ้นมา พวกเจ้าต้องรับผิดชอบ” 

 

 

           “เพคะ องค์รัชทายาท” สาวใช้ทั้งสองคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกัน 

 

 

           ฉินอวี้เดินออกไปจากห้อง 

 

 

           ฉินเหลียนลืมตาขึ้นเชื่องช้า แลบลิ้นใส่หน้าประตู แล้วกวักมือเรียกสาวใช้มาเอ่ยถามเสียงเบา “พี่ฟางหวาพักอยู่ที่ใด อยู่ใกล้กับข้าหรือไม่” 

 

 

           “คุณหนูฟางหวาพักที่เรือนปีกตะวันออก ห่างจากตรงนี้มิใกล้นัก ต้องเดินประมาณหนึ่งถ้วยชาเจ้าค่ะ” สาวใช้ส่ายหน้าตอบ 

 

 

           “หากหามไปเล่า พวกเจ้าไปตามคนมาแล้วหามข้าออกไป เป็นเช่นไร” ฉินเหลียนย่นหัวคิ้ว 

 

 

           สาวใช้ทั้งสองสะดุ้งโหยงก่อนส่ายหน้าพร้อมเพรียงกัน “เรียนท่านหญิง ท่านหมอกำชับไว้ว่าห้ามท่านผลีผลามขยับตัว รัชทายาทเองก็ทรงกำชับไว้เมื่อครู่เช่นกัน ท่านต้องนอนพักฟื้นสิบวันกว่าจะลุกลงจากเตียงได้ บ่าวสองคนมิกล้าตามคนมาหามท่าน หากสะเทือนถึงบาดแผลขึ้นมา พวกบ่าวรับผิดชอบมิไหวหรอกเจ้าค่ะ” 

 

 

           ฉินเหลียนเบะปาก “เซี่ยอวิ๋นจี้เล่า อยู่ที่ไหน” 

 

 

           “คุณชายอวิ๋นจี้พักในห้องข้างเคียงที่ท่านโหวเซี่ยเคยพัก อยู่ที่เรือนส่วนหน้าเจ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งสองรีบตอบ 

 

 

           ฉินเหลียนครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วก็โบกมือไล่ “ช่างเถอะ ถึงแม้เขาช่วยชีวิตข้า แต่ข้าก็ไม่อยากพบปีศาจน่าชังเช่นเขา” พูดจบก็หลับตาลงด้วยความขุ่นเคือง 

 

 

           “ท่านหญิงทำใจให้สบายเถิด อดทนอีกหน่อย เมื่อแผลหายดีแล้ว ท่านก็จะได้เดินไปไหนมาไหนตามใจชอบ” สาวใช้ทั้งสองปลอบใจ 

 

 

           ฉินเหลียนพยักหน้า ไม่ส่งเสียงใดอีก 

 

 

           สาวใช้ทั้งสองเห็นว่านางไม่มุ่งมั่นที่จะให้หามไปส่งที่เรือนของเซี่ยฟางหวาแล้วก็สบายใจขึ้น ลอบถอนหายใจโล่งอก