ฉินอวี้ออกมาจากเรือนของฉินเหลียน ตรงไปยังเรือนปีกตะวันออกที่เซี่ยฟางหวาพักอาศัย
ซื่อฮว่า ซื่อม่อ ซื่อหลาน ซื่อหว่าน ผิ่นจู๋ ผิ่นชิง ผิ่นเซวียน และผิ่นเหยียนแปดคนแบ่งออกเป็นกลุ่มละสี่คน ผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลนางในช่วงกลางวันและกลางคืน คอยเฝ้าหน้าเตียงไม่กล้าผละห่างแม้แต่ก้าวเดียว
“องค์รัชทายาท” ซื่อฮว่า ซื่อม่อ ซื่อหลาน และซื่อหว่านเห็นฉินอวี้มาหาก็รีบทำความเคารพ
“ฟางหวายังไม่ฟื้นหรือ” ฉินอวี้ยกมือปราม เอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยน
“คุณหนูยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นเลยเพคะ” ทั้งสี่ส่ายหน้า
“ข้าจะเข้าไปดูนางหน่อย” ฉินอวี้บอก
ทั้งสี่รีบแหวกม่านออกให้
ฉินอวี้เข้ามาข้างใน กลิ่นยาอบอวลทั่วห้องเช่นกัน เซี่ยฟางหวานอนอยู่บนเตียง หลับลึกอย่างยิ่ง สีหน้ามิได้ซีดขาวแล้ว มีเลือดฝาดบ้างเล็กน้อย ลมหายใจมิได้หนักยุ่งเหยิงอย่างตอนเพิ่งหมดสติแล้วเช่นกัน กลายเป็นแผ่วเบา
ฉินอวี้นั่งลงบนหัวเตียง นิ่งมองนาง
พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองหน้ากัน ก่อนที่ซื่อม่อจะรินน้ำชาส่งให้ฉินอวี้
ฉินอวี้ยกมือปัดเป็นการบอกว่ามิดื่ม
ซื่อฮว่าถือน้ำชาถอยออกมา ก่อนกล่าวบอกฉินอวี้ “ได้ยินว่าท่านหญิงเหลียนฟื้นแล้ว รัชทายาทมาจากเรือนปีกตะวันตกหรือเพคะ ท่านหญิงเหลียนปลอดภัยดีหรือไม่”
“อืม ปลอดภัยดี แต่ต้องนอนพักฟื้นสิบวัน พอบาดแผลสมานกันแล้วถึงจะลุกมาเดินเหินได้” ฉินอวี้ตอบ
“ตอนนั้นพวกบ่าวดูแลได้มิทั่วถึง โชคดีที่ท่านหญิงมีวาสนาหนักดวงแข็ง” ซื่อฮว่ากล่าว
“สถานการณ์ในตอนนั้นมิโทษพวกเจ้า” ฉินอวี้ส่ายหน้า
ซื่อฮว่ามิเอ่ยคำใดอีก
ฉินอวี้นั่งบนหัวเตียงมองเซี่ยฟางหวาต่ออีกราวสองถ้วยชาก่อนลุกขึ้นเชื่องช้า พร้อมเอ่ยกำชับ “ฟางหวาฟื้นแล้วบอกข้าด้วย”
“รัชทายาทโปรดวางพระทัย หากคุณหนูฟื้นแล้ว บ่าวจะรีบไปบอกท่าน” ซื่อฮว่าผงกศีรษะ
ฉินอวี้เดินออกมาอย่างไม่รีบร้อน เมื่อเดินมาถึงกลางลานก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความดีใจของซื่อม่อดังขึ้นว่า “คุณหนู ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ” เขาจึงหยุดฝีเท้าทันที
ซื่อฮว่าที่ออกมาส่งฉินอวี้ออกจากเรือนได้ยินเช่นนั้นก็หันหลังกลับเข้าไปในห้องทันที
ฉินอวี้เองก็หันหลังกลับเช่นกัน สาวเท้าเข้าไปในห้อง
เซี่ยฟางหวาฟื้นแล้วจริงๆ นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยเพราะเพิ่งฟื้นขึ้นมา ก่อนที่จะลืมตากว้างขึ้นทีละน้อย ม่านดวงตาราวกับปกคลุมด้วยหมอกชั้นหนึ่ง
“คุณหนูฟื้นแล้วจริงด้วย” ซื่อฮว่าถลันเข้ามาในห้อง พุ่งตัวมายังหน้าเตียงด้วยความดีใจ “คุณหนู ท่านอยากดื่มน้ำหรือไม่เจ้าคะ”
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า เมื่อเห็นฉินอวี้ที่สาวเท้าตามหลังซื่อฮว่าเข้ามาแววตาพลันวูบไหวเล็กน้อย คล้ายไม่แน่ใจชั่วพริบตาหนึ่ง
“เมื่อครู่ข้านั่งอยู่ตรงนี้ตั้งนาน พอจะกลับเจ้าก็ฟื้นมาพอดี รู้สึกเช่นไรบ้าง ไม่สบายตรงไหนหรือไม่” ฉินอวี้เดินมาที่หน้าเตียง
แววตาของเซี่ยฟางหวาค่อยๆ กลับมากระจ่างใส หยัดแขนลุกขึ้นนั่งเชื่องช้า ก่อนส่ายหน้าให้ฉินอวี้
“วันนั้นจู่ๆ เจ้าก็หมดสติไปทำพวกเราตกใจแทบแย่ โชคดีมีเหยียนเฉินอยู่ เขาตรวจชีพจรให้เจ้า บอกว่าในช่องท้องเจ้าถูกสูบไปจนน่ากลัว ลมปราณและเลือดดุจเส้นไหม หัวใจอ่อนแอมากเกินไป เสียหายอย่างยิ่ง” ฉินอวี้แย้มยิ้มบาง
เซี่ยฟางหวานึกถึงวันนั้นจึงพยักหน้า
“เหยียนเฉินบอกว่าเป็นเพราะเจ้าใช้เคล็ดวิชาเผ่าภูตผีติดต่อกันมากเกินไป ทำให้หัวใจเสียหายอย่างหนัก เขาให้เจ้ากินยาลูกกลอนควบคุมชีพจรหัวใจเม็ดหนึ่ง ควบคุมมิให้หัวใจเสียเลือดมากเกิน ภายในครึ่งปีมิอาจใช้วิชาเผ่าภูตผีใดๆ ได้อีก ภายในหนึ่งเดือนห้ามจับกระบี่หรือใช้พลังภายใน จำต้องพักฟื้นบำรุงร่างกายไปอย่างช้าๆ” ฉินอวี้กล่าวอีก
เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว
“วิชาภูตผีใช้หัวใจเป็นรากฐานถึงจะควบคุมสรรพสิ่งในหล้าได้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องสวนทางกับธรรมชาติ ดังนั้นทุกครั้งที่ใช้วิชาภูตผีจึงต้องเสียเลือดไปอย่างมาก ต่อไปหากมิใช่เหตุการณ์ที่จวนตัวจริงๆ ทางที่ดีอย่าใช้มันอีกเลย” ฉินอวี้นั่งลงข้างเตียง กล่าวกับนางด้วยความอ่อนโยน
เซี่ยฟางหวาเม้มปาก พยักหน้ารับแล้วเอ่ยถามเสียงแผ่ว “ข้าหมดสติไปนานแค่ไหน”
“หนึ่งวันหนึ่งคืน” ฉินอวี้ตอบ
“สมุนไพรดำม่วงมาถึงเมืองหลินอันราบรื่นหรือไม่ รักษาโรคห่าได้หรือยัง” เซี่ยฟางหวาถามอีก
“สมุนไพรดำม่วงมาถึงเมืองหลินอันอย่างปลอดภัย รักษาโรคห่าได้แล้ว” ฉินอวี้พยักหน้า
“ท่านพี่ เหยียนเฉิน และพี่อวิ๋นจี้เล่า ปลอดภัยกันหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถามอีก
“เมื่อวานได้รับข่าวว่าเป่ยฉีมีการระดมกำลัง พี่จื่อกุยรอเจ้าฟื้นไม่ไหวจึงเดินทางไปค่ายทหารม่อเป่ยตั้งแต่กลางดึกแล้ว หลังเหยียนเฉินกลับมาจากภูผาวกวนก็ยังมิได้พักผ่อน มาช่วยรักษาโรคห่าในเมืองหลินอันก่อน ตอนนี้พักผ่อนอยู่ที่เรือน เจ้าเพิ่งฟื้นมาจึงยังไม่มีใครไปบอกเขา ส่วนพี่อวิ๋นจี้ออกไปเที่ยวเล่นตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่รู้ว่าไปที่ใด” ฉินอวี้ตอบ
“เป่ยฉีระดมกำลังหรือ” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว
ฉินอวี้พยักหน้า
“เหตุใดเป่ยฉีถึงมีการระดมกำลัง” เซี่ยฟางหวาไม่เข้าใจ “เป็นความคิดของฮ่องเต้เป่ยฉีรึ”
“น่าจะมิใช่ พี่อวิ๋นจี้กลับมาจากเป่ยฉีบอกว่าฮ่องเต้เป่ยฉีไม่มีความคิดนี้” ฉินอวี้ส่ายหน้า “เท่าที่เราคาดการณ์กัน น่าจะเป็นความคิดของฉีเหยียนชิง เขามีความทะเยอทะยาน ทั้งมีตระกูลอวี้คอยสนับสนุนเบื้องหลัง หลายปีที่ผ่านมาเป่ยฉีมีเขาเป็นองค์ชายเพียงผู้เดียว อีกอย่างเขาก็วางตัวเก่ง ภาคราชสำนักประชาชน รวมไปถึงราษฎรในท้องตลอดต่างยกย่องสรรเสริญเขา เขามีเจตนาก่อความไม่สงบต่อหนานฉินตลอดมา ดังนั้นตอนนี้จึงฉวยโอกาสที่หนานฉินปั่นป่วนอย่างยิ่ง ถือโอกาสระดมกำลังออกทัพ สิ่งนี้ก็อยู่ในความคาดการณ์เช่นกัน”
เซี่ยฟางหวาก้มหน้าครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “ในเมื่อเป็นความคิดของฉีเหยียนชิงกับตระกูลอวี้ เช่นนั้น รวมกองทัพเข้าด้วยกันแล้ว เกรงว่ายากจะต่อต้าน ระบบทหารในเป่ยฉีกับหนานฉินแตกต่างกันมาก หากฉีเหยียนชิงกับตระกูลอวี้เตรียมการไว้ตั้งนานแล้ว ตอนนี้พรมแดนม่อเป่ยไร้ผู้บัญชาการ พรมแดนเป่ยฉี
กลับรวมกันเป็นหนึ่ง ทหารสามแสนนายในม่อเป่ยเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของฉีเหยียนชิงที่มีกำลังมากกว่าเท่าตัว ท่านพี่ไปม่อเป่ยครั้งนี้จะนำสิ่งใดไปต่อต้าน”
“ฟางหวาฉลาด เพิ่งพูดว่าเป่ยฉีระดมกำลัง เจ้าก็นึกถึงความแตกต่างระหว่างระบบทหารของหนานฉินกับเป่ยฉีได้แล้ว เมื่อวานข้าได้ส่งจดหมายราชการด่วนขอให้เสด็จพ่อทรงแก้ไขระบบทหารแล้ว” ฉินอวี้ชื่นชม
“ฝ่าบาทจะทรงยินยอมรึ” เซี่ยฟางหวามองเขา
“เสด็จพ่อย่อมทรงมิยอม แต่ออกพระราชโองการมาว่ารัศมีหนึ่งร้อยลี้รอบม่อเป่ยให้รอฟังคำสั่งโยกย้ายของทัพม่อเป่ย ทรงรับสั่งให้คนขี่ม้าเร็วไปยังม่อเป่ยแล้ว” ฉินอวี้ถอนหายใจออกมาแล้วส่ายหน้า
“ต่อให้เดินทางทั้งวันทั้งคืน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือน ถึงเวลานั้นคงสายเกินแก้แล้ว” เซี่ยฟางหวาหัวเราะเยาะ “ฝ่าบาททรงชราและเลอะเลือนแล้วจริง นึกไม่ถึงว่าแม้แต่การกำจัดตระกูลเซี่ยสำคัญหรือปกป้องบ้านเมืองหนานฉินสำคัญกว่ากันก็แยกไม่ออกแล้ว”
“เป็นความมุ่งมั่นของเสด็จพ่อตลอดชีวิต มาถึงขั้นนี้แล้วหากทรงอนุญาต ความมุ่งมั่นของพระองค์ก็จะกลายเป็นเพียงเรื่องน่าขำ พระองค์ทรงรับมิไหวหรอก เกรงว่าถึงสวรรคตก็ยังมิยอมลั่นวาจาแก้ไขระบบทหาร” ฉินอวี้จำใจ
“แล้วเจ้าเล่า” เซี่ยฟางหวาตวัดตามองเขา
“ขอเพียงข้าได้ครองราชย์ ย่อมแก้ไขระบบทหารก่อน” ฉินอวี้ตอบ
เซี่ยฟางหวายิ้ม มิสอดปากสอดคำกับเรื่องนี้อีก เอ่ยถามเขาแทน “แล้วตอนนี้จะแก้ไขวิกฤตในม่อเป่ยอย่างไร เจ้ามีแผนการดีๆ แล้วหรือยัง”
“พี่จื่อกุยไปม่อเป่ย หนึ่งเพื่อปลอบขวัญทหารในม่อเป่ย สองเพื่อขอให้เมืองเสวี่ยเฉิงช่วยออกทัพ ตอนนี้กองทัพสนับสนุนที่อยู่ใกล้ม่อเป่ยที่สุดก็คือเมืองเสวี่ยเฉิง ฉีเหยียนชิงกับตระกูลอวี้ในเมื่อจะระดมกำลัง แสดงว่ามีการเตรียมการมานานแล้ว ถึงแม้กำลังทหารใกล้พรมแดนม่อเป่ยจะฟังคำสั่งโยกย้ายมาช่วยสนับสนุนได้ทันกาล แต่เกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ที่เป่ยฉีเตรียมทัพใหญ่มานานแล้วเช่นกัน ทำได้เพียงขอช่วยทัพจากเมืองเสวี่ยเฉิงแล้ว” ฉินอวี้มองนางแล้วเอ่ยตอบ
“ขอทัพจากเมืองเสวี่ยเฉิง” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง
ฉินอวี้พยักหน้า
เซี่ยฟางหวาละสายตากลับมาแล้วก้มหน้าลง มองผ้าห่มถักทออย่างดงามบนกาย ไม่เอ่ยคำใดอีก
“ในอดีตเมืองเสวี่ยเฉิงเคยประสบภัยพิบัติจากหนอนและแมลง ตระกูลเซี่ยมีบุญคุณช่วยเหลือด้วยการให้ยืมธัญพืชล้านตัน ทำให้เมืองเสวี่ยเฉิงเทิดทูนซาบซึ้งต่อตระกูลเซี่ยตลอดมา พี่จื่อกุยเป็นทายาทตระกูลเซี่ย เขาไปเมืองเสวี่ยเฉิงด้วยตัวเองพร้อมนำจดหมายลับของข้าไปด้วย น่าจะมีความสำเร็จห้าส่วน” ฉินอวี้มองนาง
เซี่ยฟางหวากระตุกมุมปาก ยังคงไม่ส่งเสียงใด
“เป็นเช่นไร เจ้าคิดว่าไม่สำเร็จหรือ” ฉินอวี้ผินหน้ามองนาง อยากเห็นสีหน้านางชัดๆ
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “ข้าไม่คุ้นเคยกับเมืองเสวี่ยเฉิง ไม่เคยพบเจ้าเมืองมาก่อนด้วย” หยุดเว้นช่วงแล้วเม้มปากกล่าว “แต่ไม่ควรวางลูกตุ้มไว้ที่เมืองเสวี่ยเฉิง
อย่างเดียว จะฝากความหวังไว้ที่คนนอกได้อย่างไรกัน”
“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล” ฉินอวี้พยักหน้า ก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย “เดิมข้าจะไปม่อเป่ยเอง แต่
พี่จื่อกุยบอกว่าเมืองหลินอันเพิ่งพ้นเคราะห์ ข้าจำต้องอยู่สังเกตการณ์ก่อน หากไม่มีทางเลือกจริงๆ ข้าคงได้แต่ต้องไปม่อเป่ยเพื่อโยกย้ายทหารเอง”
เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าไปโยกย้ายทหารที่ม่อเป่ยเอง คนเดียวจะต้านทหารได้มากเท่าไร อีกอย่างรัศมีรอบม่อเป่ยหนึ่งร้อยลี้มีทหารอยู่เท่าไร ข้าคิดว่าเจ้ามิสู้โยกย้ายทหารที่ใกล้ที่สุดแทน”
“ความหมายเจ้าคือให้ข้าโยกย้ายทหารสนับสนุนม่อเป่ยจากเมืองหลินอัน” ฉินอวี้มองนาง
“ท่านพี่ไปม่อเป่ยครั้งนี้ หากเป่ยฉีระดมกำลังจริง หากเขาขอให้เมืองเสวี่ยเฉิงออกทัพไม่สำเร็จ ด้วยสถานการณ์กองทัพม่อเป่ยในตอนนี้ มากสุดคงประวิงเวลาได้สิบวัน การโยกย้ายทหารจากเมืองหลวง ถึงเร่งกรีธาทัพ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือนกระทั่งถึงยี่สิบกว่าวัน แต่เมืองหลินอันอยู่ห่างจากม่อเป่ยเดิมใกล้กว่าเมืองหลวงแปดร้อยลี้ หากเจ้าโยกย้ายทหารทันทีจากที่นี่แล้วรีบเดินทางไปหนุนกองทัพม่อเป่ย เช่นนั้น ภายในสิบวัน ระหว่างที่ท่านพี่ประคับประคองไม่ไหวแล้ว ย่อมไปถึงทันแน่นอน” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ฉินอวี้ได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจ “ไฉนข้าจึงคิดไม่ถึง” พูดจบก็ลุกขึ้นยืน มองนางแล้วยิ้มกล่าว “เจ้าพูดมีเหตุผล เสด็จพ่อแม้มิทรงแก้ไขระบบทหาร แต่ข้ามีฐานะเป็นรัชทายาท หากโยกย้ายทหารจากที่ใกล้ที่สุดได้ เสด็จพ่อก็มิอาจควบคุมได้เช่นกัน อย่างที่บอกว่ากองทัพด้านนอกนั้นมิรับฟังคำสั่งการทหาร”
“ฝ่าบาททรงเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว ขอเพียงเป็นเรื่องที่ตนเองตัดสินใจได้ เหตุใดเจ้าต้องขอคำอนุญาตจากฝ่าบาทอีก” เซี่ยฟางหวากล่าว
“ภัยของบ้านเมือง ปรับตัวตามสถานการณ์ นี่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเช่นกัน” ฉินอวี้ถอนหายใจออกมา พูดจบก็บอกนาง “เจ้าพักผ่อนเถอะ ข้าจะออกไปเตรียมบัญชาการทหารในเขตปกครองโจวและจวิ้นทั้งหมดที่อยู่ใกล้กับเมืองหลินอัน”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ฉินอวี้เดินออกไปด้วยฝีเท้าเร่งรีบ