ในสถานการณ์ที่สงครามกำลังดำเนินไปเช่นนี้ กองทัพที่จะมีบทบาทเด่นขึ้นมาก็คือ ทัพพยัคฆ์และทัพอากาศของเซียวอวี๋
ทหารทุกนายของทัพพยัคฆ์ล้วนแต่มีพลังฝีมือเหนือขั้นที่สี่ขึ้นไป บางคนกระทั่งอยู่ในขั้นที่ห้า ยิ่งเมื่อได้อาวุธชุดเกราะรวมถึงม้าอัสนีด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้พวกเขาราวกับพยัคฆ์ติดปีก ไม่เพียงเท่านั้น กระบวนทัพที่เป็นการรวมพลังของผู้แข็งแกร่งหลายคนก็ยิ่งทำให้พวกเขาแทบจะๆร้เทียมทาน
ทัพพยัคฆ์สิบคนสามารถจัดการกับสัตว์ประหลาดยักษ์หนึ่งตัว หรือต่อให้จัดการไม่ได้ พวกเขาก็สามารถพัวพันอีกฝ่ายไว้จนกระทั่งห่าศรเวทกระน่ำยิงใส่สัตว์ประหลาดเหล่านั้น
ทว่าการจัดการกับสัตว์ประหลาดยักษ์เหล่านี้ก็ทำให้ทัพพยัคฆ์บาดเจ็บล้มตายไม่น้อย แม้กระนั้นพวกเขาก็จะรวมตัวเป็นกลุ่มย่อยและกลับเข้าสู่สนามรบทันที
ทัพพยัคฆ์นี้สมกับเป็นแหล่งรวมทหารชั้นยอดจริงๆ
สงครามในชั่วโมงแรกเป็นไปด้วยความดุเดือดรุนแรง ทั้งสองฝ่ายต่างบาดเจ็บล้มตายอย่างหนัก เซียวอวี๋ที่ขี่มังกรน้อยบินพล่านไปทั่วก็เหนื่อยล้ามากเช่นกัน
ลมหายใจเพลิงของมังกรน้อยนั้นทรงพลังมาก หากแต่การพ่นไฟอย่างต่อเนื่องก็ทำให้มันเหนื่อยล้าเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนั้น ส่วนใหญ่มังกรน้อยจึงมักพึ่งพาสองหมัดและทอนฟาเสียมากกว่า ร่างกายที่แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์มังกรเหนือกว่าสัตว์ประหลาดร่างยักษ์เหล่านั้นมาก เมื่ออยู่ต่อหน้ามังกรน้อย สัตว์ประหลาดร่างยักษ์เหล่านั้นก็ราวกับเด็กทารกอมมือ ล้วนถูกมังกรน้อยทุบตีอยู่ฝ่ายเดียว
ดังนั้นฉากที่มังกรน้อยต่อสู้กับกลุ่มสัตว์ประหลาดยักษ์จึงกลายเป็นจุดสนใจของทุกฝ่าย หลายร้อยหลายพันปีถัดมา ฉากมังกรยืนควงทอนฟาจะถูกเล่าขานสืบต่อไป
อีกทั้งในอนาคต อาวุธประเภททอนฟาจะกลายเป็นอาวุธที่เป็นดั่งสัญลัษณ์แห่งเผ่าพันธุ์มังกร กล่าวกันว่ามังกรตัวผู้ที่ใช้ทอนฟาไม่เป็นนั้นไม่ใช่บุรุษ
ความดีความชอบในการรบครั้งนี้ มังกรน้อยถือว่ารับไปตัวเดียวหนึ่งจากสิบส่วนเต็มๆ เพราะไม่ว่าตำแหน่งใดที่เกิดการเพลี่ยงพล้ำ เมื่อมังกรน้อยปรากฏกาย สถานการณ์ก็จะถูกคลี่คลายโดยเร็ว ไม่มีศัตรูหน้าไหนสามารถหยุดยั้งมังกรน้อยได้
มังกรน้อยที่อยู่ในขั้นที่ห้านับว่าเป็นจ้าวแห่งสนามรบอย่างแท้จริง
อ้าวปาเองก็ถูกโถวปาหงส่งออกไปกอบกู้สถานการณ์ในหลายแห่ง และด้วยฝีมือระดับปรมาจารย์แห่งยุคก็ไม่ได้แสดงพลังด้อยไปกว่ามังกรน้อยสักเท่าใด อย่างไรเสียเขาก็คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิเมฆา
ดาบขนาดใหญ่ในมือของอ้าวปาปลดปล่อยแสงสีแดงเลือดเด่นสะดุดตา นอกจากนั้น ที่ตัวของเขายังมีม้วนคัมภีร์เวทที่เซียวอวี๋ให้ไว้ก่อนสงครามจะเริ่มอีกหลายม้วน พลังฝีมือและสิ่งเกื้อหนุนที่เพียบพร้อมย่อมทำให้เคลื่อนไปได้ทุกที่ในสนามรบ
อาศัยเพียงหนึ่งดาบก็ล้มสัตว์ประหลาดยักษ์ลงหนึ่งตัว การลงมืออันหมดจรดนี้เรียกเสียงโห่ร้องจากบนกำแพงได้เป็นอย่างดี
อ้าวปาเพียงคอยทำหน้าที่กำจัดศัตรูที่บุกขึ้นมาบนกำแพง แต่นั่นก็เพียงพอจะสร้างขวัญกำลังใจแก่ไพร่พลแล้ว ในสายตาของคนทั่วไป การปรากฏกายของยอดยุทธ์ก็ไม่ต่างอะไรกับเทพจุติลงสู่โลก ความแข็งแกร่งที่ปรากฏในสายตาล้วนแต่ทำให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกฮึกเหิมและเชื่อว่าพวกเขาจะชนะสงครามได้ในท้ายที่สุด
ในสงครามชั่วโมงที่สอง กองทัพทหารทมิฬได้เพิ่มความดุดันขึ้นไปอีก หากแต่ความสูญเสียของฝ่ายป้องกันกลับไม่มากเท่าชั่วโมงแรกเพราะพวกเขาเริ่มปรับตัวได้แล้ว การโต้กลับที่มีประสิทธิภาพเริ่มทำให้ฝ่ายกองทัพทมิฬรุกคืบขึ้นหน้าอย่างเชื่องช้า
“ตรงกำแพงหมายเลขสี่ร้อยห้าสิบเจ็ด ให้ทัพพยัคฆ์หน่วยที่สองร้อยห้าสิบสามไปหนุนเสริมทันที” พวกอัศวินกริฟฟ่อนเวลานี้ทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดคำสั่ง
เมื่อนายทหารทัพพยัคฆ์ได้ยินคำสั่ง เขาก็รีบนำกำลังไปเสริมที่กำแพงหมายเลขสี่ร้อยห้าสิบเจ็ดทันที
เซียวอวี๋ได้กำหนดหมายเลขของกำแพงแต่ละส่วนเอาไว้ล่วงหน้า เมื่อมีตำแหน่งใดต้องการความช่วยเหลือ ทุกคนก็สามารถเคลื่อนกำลังไปช่วยเหลือได้ทันที
ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงก็ได้พิสูจน์ประสิทธิภาพของแผนการนี้ ความช่วยเหลือที่มาถึงอย่างรวดเร็วทำให้ลดจำนวนผู้สูญเสียลงกว่าครึ่ง
ทุกครั้งที่ทัพพยัคฆ์ไปเสริมกำลัง แน่นอนว่าย่อมมีการสูญเสียเกิดขึ้น หากแต่ทหารทัพพยัคฆ์ที่เหลือก็จะรวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มใหม่ขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นอัศวินกริฟฟ่อนก็จะนำหมายเลขกลุ่มมาแจ้งให้พวกเขาทราบ
ตึง ตึง ตึง…..
บนกำแพงพลันปรากฏหมีแพนด้าตัวใหญ่พุ่งเข้าปะทะสัตว์ประหลาดสี่แขน สัตว์ประหลาดสี่แขนเหวี่ยงสะบัดแขนทั้งสี่โจมตีเข้าใส่อย่างดุดัน หากแต่แพนด้าตัวนั้นมีความพริ้วไหวดุจสายลม ไม่มีการโจมตีใดสามารถสัมผัสถูกร่างกลมตุ้ยนุ้ยนั้นได้
ต่อสู้ได้ไม่ถึงนาที สัตว์ประหลาดยักษ์สี่แขนก็ถูกสังหาร และหลังจากสังหารสัตว์ประหลาดลงได้ รอบกายของแพนด้าก็เปล่งกลิ่นอายอันแข็งแกร่งออกมา ในแววตาที่เฉียบคมทั้งสองปรากฏประกายแสงวูบผ่าน
ขั้นที่หก
หลังจากผ่านศึกมาอย่างโชกโชน ในที่สุดแพนด้าเฉินก็ตัดผ่านไปขั้นที่หกได้สำเร็จ สงครามที่ศัตรูบุกโถมเข้ามาไม่หยุดนี้ได้มอบโอกาสในการเก็บเกี่ยวค่าประสบการณ์ให้กับเหล่าฮีโร่และยูนิตจากระบบทั้งหมดอย่างหาได้ยาก
กระทั่งมัลฟูเรี่ยนที่เป็นฮีโร่สายสนับสนุนยังเลื่อนไปขั้นที่หก มัลฟูเรี่ยนนั้นมีบทบาทสำคัญต่อทหารชาวเอลฟ์ไม่ต่างจากที่อูเธอร์มีความสำคัญกับทหารมนุษย์และทอร์ลมีความสำคัญต่อทหารออร์ค
เมื่อมีมัลฟูเรี่ยนอยู่ในสนาม พลังต่อสู้ของพวกเอลฟ์ก็เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว
แม้พลังที่แสดงออกมาจะไม่หวือหวาเหมือนฮีโร่คนอื่นๆ หากแต่ประสิทธิผลที่ได้กลับมีสูงสุด
และเมื่อเป็นเช่นนี้ ฮีโร่ทุกคนก็อยู่ในขั้นที่หกทั้งหมดแล้ว
เซียวอวี๋พอใจยิ่ง ไม่มีการต่อสู้ใดที่ไม่มีผลรับ ทั้งระดับของฮีโร่และค่าผลงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เซียวอวี๋ประเมินว่าหลังจบการต่อสู้ครั้งนี้ ยศผู้บัญชาการของเขาคงได้เปลี่ยนเป็นแน่ และถึงตอนนั้นเขาก็จะสามารถอัญเชิญยูนิตระดับสามของเผ่าพันธุ์มนุษยืออกมา เพียงจินตนาการภาพรถถัง ปืนครกและอาวุธล้ำสมัยต่างๆปรากฏในสนามรบก็ตื่นเต้นแล้ว
และหากอัญเชิญยูนิตออร์คระดับสามออกมาได้ พลังต่อสู้ของกองทัพดินแดนไลอ้อนก็จะเพิ่มขึ้นอีกก้าวใหญ่
เซียวอวี๋คาดว่ากระทั่งยูนิตรถถังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็เทียบไม่ได้กับยูนิตทหารทัวเรนของเผ่าพันธุ์ออร์ค
“พวกสารเลว กลับกล้ามาหยุดยั้งข้า….ผู้ที่ขวางทางข้าล้วนต้องตาย!!” ขณะที่เซียวอวี๋กำลังตกอยู่ในภวังค์ ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากอีกฝากของสนามรบ เป็นโถวปากุ้ยที่คำรามอย่างเดือดดาล
สงครามนี้กินเวลาไปแล้วหลายชั่วโมง หากแต่ทัพทมิฬยังคงไม่มีความคืบหน้าใด โถวปากุ้ยย่อมไม่อาจทนรับผลลัพธ์เช่นนี้
ดูเหมือนสงครามอันดุเดือดกำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้ง…..