ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


“หรือเจ้านี่จะลงมือเองแล้ว?” ได้ยินเสียงโถวปากุ้ย เซียวอวี๋ก็เกาจมูก

เซียวอวี๋เดาไม่ผิด ไม่นาน ทั้งหมดก็ได้เห็นเกี้ยวสีดำของโถวปากุ้ยกำลังตรงมาทางแนวกำแพง

“วันนี้จะให้สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างพวกเจ้าได้เห็นพลังที่แท้จริงของข้า!”

พร้อมกับเสียงคำราม ม่านบังเกี้ยวถูกเลิกขึ้นก่อนที่โถวปากุ้ยจะก้าวลงมา

โถวปากุ้ยสวมใส่ชุดเกราะที่ดูแปลกตาไม่เหมือนชุดเกราะของทวีปนี้ บนตัวเกราะมีไฟกลุ่มเล็กๆลุกโชนทำให้โถวปากุ้ยดูคล้ายกับปีศาจจากขุมนรก

“มารดามัน ชุดอลังการจริงๆ”

เซียวอวี๋หรี่ตา กลิ่นอายของโถวปากุ้ยเวลานี้ทำให้นึกถึงผู้นำกอล็อกขึ้นมา

ตอนนั้นเขาร่วมมือกับนิโคลัสและลีโอนาโด ต่างคนต่างก็งัดไพ่ตายออกมาใช้จนสามารถสังหารผู้นำกอล็อกลงได้ในที่สุด

แต่ตอนนี้สองคนนั้นไม่อยู่แล้ว พลังของเซียวอวี๋เองก็ต่างจากตอนนั้นมาก ฮีโร่ทุกคนล้วนอยู่ในขั้นที่หก และนั่นยังไม่รวมสิ่งของต่างๆในแหวนมิติ มีม้วนคัมภีร์เวทต่างๆที่ได้มาจากสามจ้าวมนตราอยู่ จะจัดการโถวปากุ้ยก็ไม่ยากเท่าไร

แต่แน่นอนว่าเซียวอวี๋คงไม่นำม้วนคัมภีร์อันล้ำค่าออกมาใช้ง่ายๆ

หลังจากโถวปากุ้ยก้าวลงจากเกี้ยว เขาก็พลันชูมือขึ้นฟ้า และร่ายคาถาด้วยสำเนียงแปลกหู เสียงร่ายคาถาที่ทั้งซับซ้อนและฟังยากนี้ดังกึกก้องไปทั่วสนามรบ

ควบคู่กับเสียงร่าย พายุเพลิงลูกใหญ่ก็ก่อตัวขึ้น พายุลูกนี้คล้ายคลึงกับพายุที่ชัคคุนร่ายออกมาตอนอยู่ในวิหารอัลคีราฟ ต่างก็แต่พายุลุกนี้ไม่ได้เน้นพลังทำลายล้าง ระลอกพลังที่มันปลดปล่อยออกมาราวกับกำลังจะมีสิ่งที่น่าสะพรึงปรากฏตามหลัง

“บัดซบ นี่มันเวทอัญเชิญ!” เห็นว่ากำลังจะบางอย่างออกมา เซียวอวี๋ก็สบถ

“ทุกคนระวัง ฮีโร่ทุกคนเตรียมรับมือ” เจ้าสิ่งที่กำลังจะออกมานี้คงไม่เรียบง่าย เวลานี้จำต้องเรียกรวมเหล่าฮีโร่ทั้งหมด

หลังจากผ่านสนามรบเก็บเกี่ยวประสบการณ์มานาน ตอนนี้ก็ได้เวลาทดสอบแล้ว

พายุเพลิงเคลื่อนตัวกวาดผ่านสนามรบ มีทหารทมิฬมากมายตายด้วยพายุเพลิงนี้

อย่างไรก็ตาม โถวปากุ้ยไม่ได้สนใจความเป็นความตายของทหารทมิฬเหล่านั้นเลย

ครืน…….

พายุเพลิงยิ่งมายิ่งดูรุนแรง และสุดท้ายก็เกิดรอยแยกมิติขึ้นที่ใจกลางพายุ ‘ลูกไฟ’ นับไม่ถ้วนร่วงหล่นจากฟ้ากระทบสนามรบดังตูมตาม ‘ลูกไฟ’ ดวงแล้วดวงเล่าร่วงลงมาไม่ขาดสาย เมื่อ ‘ลูกไฟ’ เหล่านั้นเหยียดร่างขึ้นตรงทุกคนก็พลันเข้าใจ สิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นลุกไฟ ที่แท้คือพวกปีศาจที่มีเปลวเพลิงห่อหุ้มร่างกาย

ปีศาจเหล่านี้ล้วนมีใบหน้าอัปลักษณ์ ร่างกายของพวกมันปลดปล่อยกลิ่นอายชั่วร้ายออกมาไม่หยุด พวกมันแสยะยิ้มเลียปากก่อนจะพุ่งโถมไปทางแนวกำแพง

จำนวนปีศาจเหล่านี้อย่างน้อยก็หลักหมื่น เมื่อรวมพลังที่แผ่จากร่างกายของพวกมันด้วยแล้ว ชาวเมฆาทั้งหมดก็พลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงจะจับอาวุธ

ปีศาจมากมายถึงเพียงนี้ พวกเขาจะจัดการได้หรือ…

“มารดามันเถอะ! ไฉนภาพนี้มันคุ้นตานัก คงไม่ใช่ว่าพวกเบิร์นนิ่งลีเจี้ยนก็กลับมาแล้วหรอกนะ” แน่นอนว่าเซียวอวี๋ยอมไม่ลืมสงครามอันมีชื่อเสียงแห่งโลกวอคราฟที่แรกเริ่มเดิมทีเป็นสงครามของฝ่ายพันธมิตรกับพวกชนเผ่า ทว่าจู่ๆก็ถูกแทรกแซงโดยพวกปีศาจที่ตกลงมาจากฟ้า

ไม่ได้ ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่ เกรงว่าทุกคนคงจบสิ้นกันหมด แต่ตอนนี้เซียวอวี๋ก็คิดวิธีรับมือไม่ออก กองกำลังทั้งหมดก็เข็นลงสนามรบไปแล้ว เขาจะทำอย่างไรดี?

หากสามจ้าวมนตราอยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลอะไร ด้วยเวทมตร์วงกว้างของทั้งสาม จัดการปีศาจเหล่านี้รวดเดียวย่อมไม่ยาก แต่ปัญหาก็คือ ตอนนี้จ้าวมนตราทั้งสามไม่ได้อยู่ที่นี่…

นี่จะทำอย่างไรดี?

“มารดามันเถอะ สวรรค์เล่นตลกงั้นเหรอ แล้วแบบนี้จะไปสู้ได้อย่างไร?” เห็นกองทัพปีศาจพุ่งโถมมาทางกำแพง ขณะเดียวกันที่บนท้องฟ้าก็ยังมีปีศาจร่วงลงมาไม่หยุดหย่อน นับเป็นครั้งแรกที่เซียวอวี๋พลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา

ทว่าในเวลานั้นเอง จู่ๆเสียงร่ายเวทอีกบทก็ดังขึ้นกลางท้องฟ้า เสียงที่ร่ายนั้นฟังดูโบราณราวกับข้ามผ่านกาลเวลามานานแสนนาน คล้ายเป็นเสียงที่ดังมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของโลก และคล้ายดังมาจากในใจของทุกคน ทั้งหมดต่างก็ประหลาดใจที่ได้ยินเสียงนี้ดังก้องอยู่ในหัว

แต่เซียวอวี๋รู้ว่าเวทบทนี้กำลังจะแสดงพลังออกมาจริงๆ ทั้งยังเป็นพลังที่แข็งแกร่งมากด้วย

“นี่มันพลังอะไรกัน ดูไม่คล้ายเป็นพลังของศัตรู แต่มันคืออะไร? ยังมีพลังที่มหาศาลแบบนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ?”

เซียวอวี๋มึนงง หากแต่โถวปาหงที่ยืนอยู่ด้านข้างดูเหมือนจะรู้จักพลังขุมนี้ ใบหน้าของเขาเวลานี้มีน้ำตาแห่งความยินดีไหลออกมา โถวปาหงพลันคุกเข่าลงบนกำแพง เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าพลางกล่าวว่า “นี่ใช่เป็นวิญญาณบรรพกาลหรือไม่ แต่นี่จะเป็นไปได้อย่างไร เว้นก็แต่ท่านมหาปุโรหิตอี ที่ด้านนอกทะเลสาบไม่เคยมีผู้ใดสามารถอัญเชิญวิญญาณบรรพกาลได้ หรือนี่จะเป็นสวรรค์เห็นใจพวกเรา?”

อ้าวรีบกลับมาที่ข้างกายของโถวปาหง มองดูจุดแสงสีเขียวมากมายที่ลอยอยู่รอบกายของโถวปาหงแล้วก็อดกล่าวออกมาไม่ได้ “ไม่ใช่ บางทีตำนานนั้นอาจเป็นความจริง”

“ตำนานใด?” โถวปาหงรีบหันไปถาม

อ้าวปาหันกลับไปมองที่ด้านหลังของกำแพง มองดูทุ่งหญ้าเขียวขจีที่ทอดยาวไม่สิ้นสุดของจักรวรรดิเมฆา “มีตำนานเล่าว่ามหาปุโรหิตอีฮูยังไม่ตาย หากแต่ยังมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง มีเพียงยามที่แผ่นดินเมฆาตกอยู่ในอันตรายถึงขีดสุด เขาก็จะสละชีวิตของเขาเพื่ออัญเชิญวิญญาณเมฆาบรรพกาลออกมาปกป้องจักรวรรดิเมฆาจากหายนะ”

“ยังมีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วย?” เซียวอวี๋อ้าปากค้าง

อ้าวปาหันไปมองเซียวอวี๋ก่อนจะกล่าวเสียงเบา “ชาวเมฆาอาศัยอยู่ในแผ่นดินใหญ่มาช้านาน เรื่องนี้ย่อมเป็นไปได้”

เซียวอวี๋ตะลึง เขาตกใจมากจริงๆ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามหาปุโรหิตอีฮูเป็นใครหรือว่าวิญญาณเมฆาบรรพกาลคืออะไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าตัวตนเหล่านี้ทรงพลังมาก

อย่างน้อยที่สุด เซียวอวี๋ก็เชื่อว่าการรุกรานของพวกปีศาจคราวนี้คงไม่มีปัญหาหนักใจแล้ว

“ด้วยนามแห่งเทพหมาป่า นักรบผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย โปรดรับการเรียกขานเพื่อขจัดปีศาจร้าย และปกป้องจักรวรรดิเมฆาด้วยเทอญ”

ตอนนี้เอง เสียงร่ายเวทพลันสิ้นสุดลง และที่กลางท้องฟ้า ร่างของหมาป่าสีทองมากมายก็ปรากฏขึ้น หมาป่ายักษ์สีทองเหล่านี้ค่อยๆลอยลงมายืนอยู่บนกำแพง

“เพื่อที่จะหลอมรวมหมาป่าสีทองเหล่านี้ มีเพียงยอดยุทธ์ขั้นที่ห้าขึ้นไปจึงทำได้!” อ้าวปาพลันโพล่งออกมา

เขาเข้าใจทันทีว่าสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณบรรพกาลนี้คืออะไร และใช้อย่างไร

ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเซียวอวี๋ปกป้องเมืองอู่เหอ พวกเขาก็เคยประจันหน้ากับหน่วยรบพิเศษของจักรวรรดิเมฆา นักรบหมาป่า ซึ่งเหล่าหมาป่าที่ปรากฏขึ้นตอนนี้นั้นคล้ายกับตอนนั้นมาก หากแต่ดูทรงพลังยิ่งกว่า

เมื่อเหล่านักรบชาวเมฆาบางคนได้เห็นฉากนี้ ในใจก็คล้ายมีพลังขุมหนึ่งปะทุขึ้น พวกเขาพลันกระโดดขึ้นไปบนฟ้า กระโดดเข้าไปในฝูงหมาป่าสีทอง

แสงสีทองสว่างขึ้นอย่างฉับพลัน แสงสีทองเข้าห่อหุ้มร่างของนักรบเหล่านั้นก่อนจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขา นักรบที่หลอมรวมกับแสงสีทองเหล่านั้นต่างก็โก่งคอเปล่งเสียงหอนของหมาป่าออกมา บนร่างของนักรบเหล่านั้นพลันปรากฏชุดเกราะหมาป่าสีทองอันแปลกตาห่อหุ้มร่าง ที่มือของพวกเขามีกรงเล็บยาวสวมเป็นสนับมือ และนั่นทำให้พวกเขาดูทรงพลังอย่างมาก……