ตอนที่ 1152 วิธีโน้มน้าว

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1152 วิธีโน้มน้าว โดย Ink Stone_Fantasy

หลังจากนั้นสองวัน ซีกัลก็มาลงจอดยังลานบินที่สร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ ด้านข้างสถานีปลายทางในป่า

ในขณะที่เพิ่งลงมาจากเครื่องบิน ทิลลีก็มองเห็นแอชเชสที่มายืนรอเธออยู่ข้างลานบิน

ขอเพียงเครื่องบินต้องมาลงจอดที่นี่ เธอก็จะเห็นอีกฝ่ายมายืนรอเธออยู่เสมอ แม้จะแค่เจอหน้ากันเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม

บางครั้งเธอนึกสงสัยว่าแอชเชสได้ทำภารกิจที่โรแลนด์มอบหมายให้เสร็จเรียบร้อยดีหรือเปล่า

‘วางใจได้เพคะ เวลาที่หม่อมฉันไม่รู้ ลีฟจะเข้าสู่สภาพหัวใจแห่งป่า เมื่ออยู่ในสภาพนั้นจะไม่มีใครทำร้ายนางได้เพคะ ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งก็เป็นนางนี่แหละที่บอกหม่อมฉันว่าพระองค์มาถึงแล้ว’ ส่วนคำตอบของอีกฝ่ายก็มักจะเป็นแบบนี้

“วันนี้จะอยู่นานเท่าไรเพคะ?” กระทั่งคนอื่นๆ แยกย้ายกันไปแล้ว แอชเชสถึงเอ่ยปากถามขึ้นมา

“ถึงพรุ่งนี้เช้า” ทิลลีมองดูสายตายิ้มแย้มอันคุ้นเคยของอีกฝ่าย แต่ในใจเธอกลับไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้เลย เพราะเธอยังแอบรู้สึกผิดอยู่ในใจที่เอ่ยปากบอกโรแลนด์ว่า ‘ข้าจะพูดกล่อมนางเอง’ โดยไม่ได้ปรึกษาแอชเชสก่อน “คนที่มาด้วยยังมีขวานเหล็กกับเอดิธส์ ปฏิบัติการณ์คบเพลิงมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ที่นี่น่าจะมีอีกหลายเรื่องให้จัดการ”

“คืนเดียว….งั้นเหรอ” แอชเชสเหมือนกำลังคิดคำนวณอยู่ในใจ “อย่างนั้นพวกเราก็ไปเดินเล่นรอบๆ ค่ายก่อนก็ได้ ผลไม้ทดลองที่ลีฟปลูกเอาไว้รสชาติไม่เลวเลยเพคะ แล้วเดี๋ยวพอตกกลางคืนหม่อมฉันค่อยก่อกองไฟแล้วย่างอะไรให้พระองค์กิน….”

ทันทีที่มีเวลา เธอก็มักจะเตรียมทุกอย่างเอาไว้เสร็จสรรพแบบนี้ เหมือนว่าเธอไม่อยากจะเสียเวลาไปแม้แต่วินาทีเดียว

“ครั้งนี้ไม่ได้ คืนนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ”

แอชเชสดูเศร้าสร้อยไปทันที ก่อนจะถอนใจออกมาว่า “ก็ได้เพคะ”

เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของแม่มดอมนุษย์ ทิลลีก็อดขำออกมาไม่ได้ ความรู้สึกไม่สบายใจในตอนแรกพลันหายไปไม่น้อย “แต่ว่าคนที่ต้องยุ่งนั้นไม่ใช่ข้า หากแต่เป็นเจ้าต่างหาก เพราะอีกสองสามวันหลังจากนี้ พวกเราจะต้องอยู่ด้วยกัน ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม”

“หม่อมฉัน?”

“อื้อ เพื่อจะสกัดปีศาจเอาไว้ หน่วยจู่โจมพิเศษจึงต้องการเจ้าไปร่วมทีมด้วย ดังนั้นคืนนี้เจ้าต้องเก็บของให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เช้าออกเดินทางไปแนวหน้า — แน่นอนว่านั่งซีกัลไปนะ” เธอตอบยิ้มๆ “ส่วนเรื่องลีฟ โรแลนด์ได้เตรียมการเอาไว้แล้ว เดี๋ยวข้าจะไปพูดกับนางเอง”

“…..” ในที่สุดแอชเชสก็รู้ตัว “ทำไมพระองค์ไม่บอกหม่อมฉันตั้งแต่แรกล่ะเพคะ…”

ทิลลีเบือนหน้าหลบสายตาอีกฝ่าย “เรื่องที่จะเอาอะไรมาย่างกินกันคงจะไม่ทันแล้ว แต่ถ้าให้ไปชิมผลไม้น่าจะไม่มีปัญหา…เจ้าจะพาข้าไปไหม?”

แอชเชสรีบยื่นมือออกมาทันที “แน่นอนเพคะ”

…..

หลังกินอาหารเย็นและกลับมาถึงค่ายแล้ว ทิลลีก็เล่าเรื่องแผนการที่หน่วยเสนาธิการทหารใหญ่วางไว้ให้แอชเชสฟัง

ตอนที่พูดถึงทีมสกัดปีศาจระดับสูงนั้นยังดีหน่อย แอชเชสเหมือนจะรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร แต่พอพูดถึงเรื่องที่ต้องเอาซีกัลไปใช้เป็นแผนสำรอง สีหน้าเธอก็ดูคร่ำเคร่งขึ้นมาทันที

“อย่าบอกนะเพคะว่าคนที่ขับซีกัล…คือพระองค์”

ทีลลีนิ่งเงียบไปเล็กน้อย จากนั้นจึงหันหน้าไปสบตาเธอ “ข้าคือคนที่เหมาะสมที่สุดแล้ว”

“แต่โรแลนด์รับปากหม่อมฉันแล้วว่าจะดูแลพระองค์ แล้วก็จะไม่ปล่อยให้พระองค์เข้าใกล้สนามรบ!” แอชเชสลุกขึ้นยืนอย่างโมโห “หม่อมฉันจะไปหาเขา”

“เขาไม่ได้เห็นด้วยกับข้า”

“อะไรนะเพคะ?”

“คนที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ไม่ใช่โรแลนด์” ทิลลีสูดหายใจ “หากแต่เป็นตัวข้า เจ้าคิดว่าเขาจะใช้วิธีอะไรมาหยุดข้าล่ะ? จับข้ามัดเอาไว้ในปราสาทเหรอ?”

“เอ่อ…”แอชเชสตกตะลึงไปทันที

“แน่นอนว่าถ้ามันต้องไปเสี่ยงตายจริงๆ เขาก็อาจจะทำแบบนั้นก็ได้ แต่ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกแล้วไงว่าซีกัลเป็นแค่แผนสำรองในตอนที่แอนเดรียไม่สามารถยิงสกัดปีศาจได้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ข้าต้องทำก็แค่ขับซีกัลไปดักอยู่ข้างหน้าปีศาจ แล้วก็ปล่อยแม่มดอาญาสิทธิ์ลงไปข้างล่างเท่านั้น”

“นี่ยังอันตรายไม่พออีกเหรอเพคะ? นั่นมันผู้พิฆาตเวทมนตร์นะเพคะ….”

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องพูดแบบนี้” ทิลลีพูดตัดบทอย่างจนปัญญา “เจ้าคิดว่าข้าจะต้องไปบินแข่งกับปีศาจ แล้วก็แซงขึ้นไปอยู่ข้างหน้ามัน จากนั้นก็ปล่อยแม่มดอาญาสิทธิ์ลงไปต่อหน้ามันอย่างนั้นใช่ไหม?”

“ก็ถ้าไม่ทำแบบนี้ แล้วยังจะทำยังไงได้อีกล่ะเพคะ…” แอชเชสขมวดคิ้ว “แม่มดอาญาสิทธิ์บินไม่ได้ ถ้าไม่ทำให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นเครื่องบินแล้วก็ล่อให้มันเข้ามาสู้ด้วย แผนสำรองนี้มันก็ไม่มีทางใช้ได้ผลเลย”

สิ่งสำคัญที่สุดในการล่อศัตรูก็คือแสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อทำให้ศัตรูคิดว่ามันสามารถจัดการได้ง่ายๆ เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ ผู้พิฆาตเวทมนตร์ก็มีแต่จะเร่งความเร็วบินหนีไป และการที่เอาตัวเองไปเป็นเหยื่อล่อมันก็มีความเสี่ยงอย่างมาก

“ยังดีที่เอดิธส์ไม่ได้คิดอะไรง่ายๆ เหมือนเจ้า” ทิลลีกรอกตาใส่ “ปีศาจไม่มีทางอยู่ห่างจากหมอกแดงได้ ดังนั้นพวกเราจึงไม่จำเป็นต้องรีบบินไปดักหน้าอีกฝ่าย แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเอาซีกัลไปเป็นเหยื่อล่อด้วย พวกเราแค่ไปจัดการทีมขนส่งหมอกแดงของพวกศัตรูเอาไว้ล่วงหน้าก็พอ ผู้พิฆาตเวทมนตร์ย่อมไม่มีทางปล่อยให้เส้นทางขนส่งหมอกแดงนี้ถูกทำลายแน่ เพราะแค่ถังหมอกแดงที่มันพกติดตัว มันไม่มีทางที่จะหนีออกไปจากที่ราบลุ่มได้ พูดอีกอย่างก็คือแม่มดอาญาสิทธิ์แค่ไปดักรอแล้วก็บีบให้อีกฝ่ายมาสู้กับพวกนาง ส่วนข้ากับเวนดี้ก็จะมีเวลาเหลือพอให้หลบออกไป”

แอชเชสคิดหาคำที่จะมาแย้งไม่ออก เธอลังเลอยู่ครู่ก่อนจะพูดออกมาว่า “แต่ถ้าเกิด….”

ทิลลีส่ายหัว “ข้าไม่ได้บอกว่าแผนการนี้มันจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ความเสี่ยงของมันอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ แล้วก็มีคนซื่อบื้อแบบเจ้านั่นแหละถึงจะทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ความจริงแล้วนี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ข้าตัดสินใจมาที่แนวหน้า — เพราะถ้าไม่ได้มาจับตาดูเจ้าด้วยตัวเอง ข้าก็ไม่มีทางที่จะวางใจได้เลย!”

“องค์หญิง…” แอชเชสตกตะลึง

“เรียกชื่อข้า!”

“ทิล…”

แต่ยังไม่ทันทีที่เธอจะพูดจบ ทิลลีคว้าคอเสื้อของเธอเอาไว้แล้วดึงลงมา จากนั้นทิลลีก็เขย่งปลายเท้าพร้อมกับจูบไปที่ริมฝีปากของเธอ

แอชเชสรู้สึกได้ถึงสัมผัสอันอบอุ่นทันที

เท่าที่เธอจำได้ นี่เป็นครั้งแรกที่องค์หญิงลำดับที่ห้าเป็นฝ่ายรุกเธอ

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ทิลลีจึงผลักเธอออก ก่อนจะเบือนหน้าหนีเล็กน้อย

ภายใต้แสงเทียนที่วูบไหวไปมา แอชเชสมองเห็นแก้มอีกฝ่ายแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย

“ไม่ว่าจะอยู่ที่เกาะสลีปปิ้งหรือว่าเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ทุกครั้งข้าได้แต่นั่งอยู่เฉยๆ รอเจ้ากลับมา และครั้งนี้เจ้าก็อาจจะต้องไปหลายวัน บางทีอาจจะหลายเดือน —- สมัยตอนที่ยังอยู่เมืองหลวงเก่า ไม่ว่าจะไปที่ไหนพวกเราก็อยู่ด้วยกัน ทำไมเมื่อก่อนทำได้ แล้วทำไมตอนนี้ต้องมาคอยระมัดระวังตัวขนาดนี้ด้วยล่ะ? หรือว่าตอนที่ถูกศาสนจักรไล่ล่ามันไม่มีอันตรายเลยอย่างนั้นเหรอ?”

ทิลลีชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ามาสบตาแอชเชสอีกครั้ง “ข้าไม่อยากจะรอยู่คนเดียวอีกแล้ว”

แอชเชสมองเห็นความแน่วแน่จากดวงตาของเธอ

“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ” แอชเชสถอนหายใจออกมา ถ้าพูดถึงความดื้อรั้นแล้ว คนในตระกูลวิมเบิลดันนี่เหมือนๆ กันหมดเลย “แต่ว่ามีเงื่อนไขข้อนึงนะเพคะ”

“ห้ามฝืน ถ้าเจอปีศาจให้คิดถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญใช่ไหม? โรแลนด์บอกข้าเอาไว้ก่อนหน้านี้…เจ้านี่จริงๆ เลย ข้าไม่ได้โง่นะ ข้ารู้นะว่าเวลาไหนควรทำอะไร…”

“หม่อมฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้เพคะ”

“เอ๋?” ทีลลีงุนงงเล็กน้อย

“เอาอีกครั้งนึงเพคะ นี่คือเงื่อนไขของหม่อมฉัน”

พอพูดจบ แอชเชสก็ดึงทิลลีที่กำลังงุนงงเข้ามากอดอยู่ในอ้อมอก ก่อนจะก้มหน้าลงไป

…………………………………………………….