ตอนที่ 1153 สัตว์ประหลาดที่แท้จริง

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1153 สัตว์ประหลาดที่แท้จริง โดย Ink Stone_Fantasy

วันถัดมา ณ สถานีหมายเลขเก้า

ในที่สุดเหล่าผู้บัญชาการและเสนาธิการของแนวร่วมพันธมิตรที่ไปประชุมที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์เป็นเวลาสัปดาห์กว่าก็กลับมายังฐานบัญชาการแนวหน้า

แต่ว่าตอนนี้ที่นี่ไม่ถือเป็นฐานบัญชาการที่แท้จริงแล้ว

อกาธาสังเกตเห็นว่าสัญลักษณ์รางรถไฟที่อยู่บนแผนที่นั้นถูกลากยาวจนห่างจากซากเมืองทาคิลาประมาณ 15 กิโลเมตร แถมในระยะรัศมี 5 กิโลเมตรรอบๆ รางรถไฟยังถูกระบายให้เป็นสีเขียวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ด้วย แต่ทางพื้นที่ด้านหน้าห่างจากซากเมืองออกมาประมาณ 3 กิโลเมตรกลับถูกระบายให้เป็นสีแดง นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุดในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา

“ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว” เฟร์ราน ชิลต์เดินเข้ามาทำความเคารพทุกคน

สมาชิกคนอื่นๆ ของกองทัพและทีมที่ปรึกษาต่างพากันลุกขึ้นยืนทำความเคารพตามเฟร์ราน น่าจะเป็นเพราะเห็นเหล่าหัวหน้าคนสำคัญของกองทัพกลับมา สีหน้าของทุกคนจึงดูเหมือนยกภูเขาออกจากอก

ความรู้สึกผ่อนคลายนี้ทำให้อกาธารู้สึกเบาใจ สหายร่วมรบยังยิ้มออกมาได้ อย่างน้อยก็หมายความว่า ‘พื้นที่อันตราย’ ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมานั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อปฏิบัติการคบเพลิง

“ทำได้ดีมาก ดูเหมือนหลายวันมานี้ทุกคนจะทำงานกันอย่างหนักเลยนะเนี่ย” ขวานเหล็กพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงเดินไปที่หน้าแผนที่พร้อมกับเคาะไปบนแผนที่ “เฟร์ราน เจ้ามารายงานสถานการณ์หน่อยซิ ตรงนี้ปีศาจได้กำลังเสริมมาช่วยเหรอ?”

“ไม่ใช่ขอรับ ท่านผบ.” เฟร์รานตอบ “ตรงนั้นเป็นร่องที่ศัตรูขุดขึ้นมาขอรับ”

“ร่อง?”

“คนที่สังเหตเห็นความเคลื่อนไหวของศัตรูเป็นคนแรกคือคุณหนูซิลเวีย นางสังเกตเห็นปีศาจส่วนหนึ่งมันปีนขึ้นมาจากพื้นดินที่ถูกหมอกแดงกัดกร่อน จากนั้นก็เริ่มขุดพื้นดินให้เป็นร่องเมื่อ 6 วันก่อนหน้านี้ จากนั้นคุณหนูไลต์นิ่งก็บินไปสอดแนมดู แล้วก็พบว่ามีปีศาจกำลังขุดดินอยู่ในร่อง พวกเราก็เลยทำสัญลักษณ์ตรงนั้นให้กลายเป็นพื้นที่อันตรายขอรับ”

ขวานเหล็ก เอดิธส์และอกาธาต่างสบตากัน “หลุมเพลาะ?”

“พวกเราก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เพราะรูปที่ไลต์นิ่งวาดให้ดูคร่าวๆ ถึงแม้มันจะดูเหมือนทำขึ้นมาอย่างหยาบๆ แต่รูปร่างของมันก็ดูแล้วคล้ายคลึงกับหลุมเพลาะของกองทัพที่หนึ่งก่อนหน้านี้มาก ร่องแนวนอนแถวหน้ากับแถวหลังห่างกันบางแถวก็สิบเมตร บางแถวก็หลายสิบเมตร แถมยังมีร่องแนวตั้งอีกหลายแถวเชื่อมต่อระหว่างร่องแนวนอนพวกนั้นไว้ด้วย” เฟร์รานส่งภาพสเกตช์แบบคร่าวๆ แผ่นหนึ่งให้ทุกคนดู “สิ่งที่แตกต่างจากหลุมเพลาะก่อนหน้านี้ของพวกเรามากที่สุดก็คือร่องที่ปีศาจจะใช้สำหรับถอยนั้นมีเยอะกว่า ยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่ยังอยู่ในแนวเดียวกันด้วย ห่างกันอย่างมากก็ไม่เหิน 2 เมตร ทำให้หลุมเพลาะของพวกมันดูแล้วเป็นระเบียบมากกว่า”

“พวกมันกำลังเลียนแบบมนุษย์” อกาธาพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา

ถ้าหากตำนานก่อนที่จะเกิดสงครามแห่งโชคชะตาครั้งแรกเป็นเรื่องจริง อย่างนั้นก็หมายความหลังเวลาผ่านมาเกือบพันปี ปีศาจมันเริ่มเลียนแบบมนุษย์อีกครั้ง

“น่าสนใจ” เอดิธส์มองดูภาพสเกตช์อยู่ครู่ก่อนจะพูดออกมา “บางทีร่องแนวตั้งพวกนั้นอาจจะไม่ได้เอาไว้ถอย แต่เอาไว้โจมตีพวกเรา”

“อืม” ขวานเหล็กพูดเห็นด้วย “การหลบอยู่ในร่องมันช่วยลดโอกาสที่จะถูกสะเก็ดระเบิดโจมตีได้ แต่พวกมันไม่มีอาวุธที่จะใช้ต่อกรกับปืนใหญ่ป้อมได้ อาศัยแค่ร่องไม่กี่ร่องนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ มีแต่ต้องบุกเข้ามาในพื้นที่ของกองทัพที่หนึ่งเท่านั้นถึงจะมีหวังที่จะคว้าชัยชนะ”

“พวกมันก็เลยขุดร่องแนวตั้งให้อยู่ใกล้ๆ กันแบบนี้เหรอขอรับ?” เฟร์รานคิดตามทันอย่างรวดเร็ว “ถ้าขุดร่องให้อยู่ติดๆ กันแบบนี้ก็จะช่วยลดร่นระยะเวลาไปได้มาก”

“อย่างนั้นพวกเราควรทำยังไง?” อกาธาถาม

“ไม่ต้องทำอะไร” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือแค่นหัวเราะออกมาเล็กน้อย “เอาไว้พวกมันขุดมาถึงระยะยิงของปืนใหญ่เมื่อไรก็ค่อยให้แบล็คริเวอร์ยิงใส่มันก็พอ ถึงแม้จะสิ้นเปลืองไปหน่อย แต่ฝ่าบาททรงเตรียมกระสุนสำหรับศึกครั้งนี้เอาไว้มากพอ…ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าพวกมันยังจะขุดหลุมตรงหน้าพวกเราทั้งๆ ที่มีปืนใหญ่ยิงใส่ไปได้นานแค่ไหน”

ขวานเหล็กมองเฟร์ราน “การก่อสร้างรางรถไฟช่วงนี้มีปัญหาอะไรไหม?”

“ศัตรูโจมตีกลับค่อนข้างบ่อย เพียงแค่ความเสียหายจากการโจมตีไม่ได้มากเท่าไรขอรับ” อีกฝ่ายรายงาน “ปีศาจคุ้มคลั่งแทบจะบุกเข้ามาใกล้พื้นที่ของเราไม่ได้เลย ดังนั้นพวกมันจึงไม่ค่อยส่งพวกปีศาจคุ้มคลั่งออกมาเท่าไร การลอบโจมตีส่วนใหญ่จึงเป็นอสูรสยองเสียเป็นส่วนมาก แต่เมื่อดูจากจำนวนของอสูรสยองที่มีแค่ 10 – 15 ตัวในการโจมตีแต่ละครั้ง ข้าคิดว่าอสูรสยองที่ยังบินได้ในเมืองทาคิลาคงมีเหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะมีปีศาจระดับสูงคอยคุ้มครองอยู่ พวกเราคงจะฆ่าอสูรสยองได้มากกว่านี้”

“ผู้พิฆาตเวทมนตร์ออกมาโจมตีด้วยเหรอ?” อกาธาขมวดคิ้ว

“แถมไม่ใช่ครั้งเดียวด้วย” เฟร์รานพยักหน้า “ทุกครั้งมันจะเป็นคนดึงดูดความสนใจจากหน่วยปืนกล จากนั้นอสูรสยองก็จะโจมตีตามลงมาติดๆ” เมื่อพูดถึงตรงนี้สีหน้าเฟร์รานก็ดูคร่ำเคร่งขึ้นมาทันที “ทุกครั้งที่เห็นมัน ข้ามักจะรู้สึกว่า….ตัวเองกำลังสู้อยู่กับสัตว์ประหลาดที่แท้จริงอยู่”

“หมายความว่าไง?” เอดิธส์ถามอย่างสงสัย

“มันมักจะบุกโจมตีเข้ามาจากตำแหน่งที่การป้องกันอ่อนแอมากที่สุด หลังลงมายืนบนพื้นก็จะทำให้คนที่มองดูมันเหม่อลอยไปทันทีหลายวินาทีทั้งๆ ที่ทหารเหล่านั้นพกหินอาญาสิทธิ์ติดตัวเอาไว้ด้วย” เฟร์รานค่อยๆ พูด “ถ้าไม่มีหินอาญาสิทธิ์คอยคุ้มครองอยู่ —- อย่างเช่นพวกคนงานที่หลบอยู่ในบังเกอร์แต่ก็ไม่สามารถควบคุมความอยากรู้อยากเห็นในใจตัวเองได้ก็จะตกอยู่ในสภาพหวาดกลัวจนถึงขีดสุด คนที่ยิ่งอยู่ใกล้มันก็จะยิ่งได้รับผลกระทบมาก และพวกอสูรสยองที่รออยู่บนท้องฟ้าก็จะฉวยช่องว่างตรงนี้พุ่งโจมตีลงมา ถึงแม้ซิลเวียร์จะแจ้งเตือนแนวหน้าก่อนการรบทุกครั้ง แต่การจะหยุดยั้งเป้าหมายที่พุ่งลงมาจากบนท้องฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่งไปกว่านั้นถึงพวกเราจะยิงถูกมันไปครั้งสองครั้ง แต่ก็สร้างความเสียหายให้มันไม่ได้เท่าไรเลย ตอนนี้ผลงานที่ดีที่สุดของพวกเราคือยิงแขนปีศาจระดับสูงขาดไปข้างหนึ่งได้”

“ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีช่วงเวลาที่โชคร้ายเหมือนกันนะเนี่ย” เอดิธส์ยิ้มๆ ขึ้นมา

“แต่ปัญหาคือในตอนที่มันปรากฏตัวอีกครั้ง แขนข้างที่ขาดข้างนั้นกลับงอกขึ้นมาใหม่เหมือนเดิม เหมือนว่ามันไม่เคยถูกยิงอย่างไรอย่างนั้น” รอยยิ้มของเฟร์รานดูแห้งๆ ขึ้นมา “ถ้าเพียงแค่นี้ก็ว่าไปอย่าง เพราะพวกเราเองก็มีคุณหนูนาน่าอยู่ ไม่แน่พวกมันอาจจะมีวิธีการรักษาแบบพิเศษเหมือนกันก็ได้ แต่ว่า…”

“แต่ว่าอะไร?” ขวานเหล็กถาม

“ทหารจากหลายๆ หน่วยได้มารายงานทีมที่ปรึกษา พวกเขารู้สึกว่าผู้พิฆาตเวทมนตร์เคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนยากจะไล่ตามได้ทัน เหมือนว่ามันค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับการสู้รบแบบนี้ได้อย่างไรอย่างนั้น เมื่อก่อนนี้แค่ปืนกลกระบอกเดียวก็สามารถปิดเส้นทางการเคลื่อนไหวของมัน แล้วก็บีบให้มันเปลี่ยนทิศทางได้แล้ว แต่ตอนนี้ต้องใช้ปืนกล 2 – 3 กระบอกถึงจะทำแบบนั้นได้ ถ้าไม่มีอาวุธที่ฝ่าบาททรงประดิษฐ์ขึ้นมากับหินอาญาสิทธิ์ล่ะก็ ข้าว่า…เผลอๆ แค่มันตัวเดียวก็อาจจะฆ่าพวกเราทั้งหมดได้”

“ในยุคสมัยทาคิลาพวกมันก็ทำแบบนี้” อกาธาพูดกัดฟัน “ยิ่งไปกว่านั้นขอเพียงไม่ตาย พวกมันก็จะแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม”

“ขอเพียง…ไม่ตาย?”

“ปีศาจระดับสูงจะพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองได้จากการต่อสู้ ยิ่งบาดเจ็บหนัก เวลาที่ฟื้นกลับมาใหม่อีกครั้งก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น — ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังเวทมนตร์หรือว่าฝีมือการต่อสู้ก็ล้วนแต่แข็งแกร่งขึ้นทั้งนั้น มีอมนุษย์หลายคนที่ต้องตายด้วยน้ำมือพวกมัน ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองไปได้ แต่กลับทำให้พวกมันแข็งแกร่งขึ้นด้วย” แม่มดน้ำแข็งหลับตา “แต่ไม่ใช่ปีศาจทุกตัวที่จะสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้หลังบาดเจ็บหนัก การที่มันสามารถฟื้นตัวได้ในระยะสั้นๆ แบบนี้ มีความเป็นไปได้ว่านั่นอาจจะเป็นพลังของตัวมันเอง!”

“เจ้าหมายความว่า…ปีศาจระดับสูงที่มีทั้งพลังคำสาปและพลังในการฟื้นฟูตัวเองงั้นเหรอ?” สีหน้าของขวานเหล็กคร่ำเคร่งขึ้นมาทันที

“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นแบบนั้น” ในตอนที่อกาธาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ในดวงตาที่เยือกเย็นเหมือนน้ำแข็งของเธอเหลือเพียงแต่แววตาที่มุ่งมั่น “เฟร์รานพูดถูก มันคือสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง ถ้าให้มันหนีรอดไปได้ ต่อไปมันต้องสร้างปัญหาให้พวกเราอย่างมากแน่  — เราต้องกำจัดมันทิ้งที่นี่ ที่ซากเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้!”

…………………………………………………………………………