ภาคที่ 4 บทที่ 203 การฝึกกลุ่ม (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 203 การฝึกกลุ่ม (2)

“บัวขาว… อิงฮวาสี่ใบ… ปรอท…”

ซูเฉินเอ่ยเสียงมั่นคงสงบนิ่งระหว่างที่นั่งอยู่ในห้อง เขากำลังถือยาขวดหนึ่งไว้ในมือนิ่ง เล่อเฟิงกลายเป็นผู้ช่วยคนใหม่ เติมส่วนผสมสมุนไพรทั้งหลายลงไปในยาตามคำสั่งของซูเฉิน

ไม่ช้าก็ปรุงยาออกมาได้สำเร็จ

ซูเฉินส่งยาขวดนั้นให้เล่อเฟิง

“คนละ 1 หยด ห้ามมากไปกว่านั้น เข้าใจหรือไม่ ?” ซูเฉินอธิบายซ้ำ ๆ “หากให้มากเกินไป พลังต้นกำเนิดในร่างจะระเบิด หากไม่ระวังก็จะสิ้นใจ”

“ขอรับ !” เล่อเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกพลางมองขวดยาในมือซูเฉิน

ยาเสริมพลังต้นกำเนิดขั้นสูง !

ยาเสริมพลังต้นกำเนิดขั้นสูงเป็นสิ่งที่มีแต่ตระกูลผู้ร่ำรวยเท่านั้นจึงจะสามารถหามาใช้ได้

พลังต้นกำเนิดที่อยู่ภายในนั้นทรงพลังมากเสียจนผู้เชี่ยวชาญพลังระดับต่ำไม่สามารถใช้ได้ หากกลืนลงไปในคราเดียว ก็จะเป็นอย่างที่ชายหนุ่มอธิบาย ร่างกายระเบิดออกจากการที่มีพลังมากเกินไป

กระทั่งด่านสู่พิสดารยังไม่สามารถใช้ยาเสริมพลังต้นกำเนิดระดับสูงได้อย่างสมบูรณ์ จะทำได้ต้องอยู่อย่างน้อยด่านผลาญจิตวิญญาณ

แต่ซูเฉินกลับสามารถปรุงมันขึ้นมาได้ในตอนนี้แล้วมอบมันให้ทุกคนได้ใช้

สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว !

แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาไม่มีทรัพยากรระดับต่ำติดตัวเลย

ซูเฉินได้รับทรัพยากรมามากมายจากแดนคนเถื่อน และเพื่อดันประโยชน์ให้ได้สูงสุด เขาจึงเลือกเก็บมาจากทรัพยากรที่หายากและมีราคาที่สุดเท่านั้น เมื่อรวมกับของที่กองทัพกำลังสวรรค์มอบให้และของที่ชิงมาจากคลังสมบัติจักรพรรดิอสูรกายแล้ว ทุกสิ่งอย่างในแหวนพลังของเขาจึงมีมูลค่ามหาศาล มีทรัพยากรระดับกลางและระดับสูงมากกว่าทรัพยากรระดับต่ำ ทรัพยากรระดับต่ำทั้งหลายได้ถูกใช้ไปหมดแล้ว

ผลก็คือเขาสามารถปรุงได้แต่ยาระดับสูง ในตอนนี้เขาเป็นนักปรุงยาระดับปรมาจารย์ หมายความว่าสามารถปรุงยาระดับสูงที่มีอยู่ในท้องตลาดได้ทั้งหมดแล้ว เว้นเสียแต่ยาระดับตำนานบางอย่างเท่านั้น

ที่สำคัญ ทหารเหล่านี้ติดตามเขาแล้วประสบความสำเร็จ ดังนั้นจึงได้เริ่มการฝึกฝนด้วยการกินยาเสริมพลังต้นกำเนิดระดับสูงเข้าไป

โชคไม่ดีที่แม้จะมียาระดับสูงอยู่ตรงหน้า แต่ก็ไม่มีใครสามารถย่อยประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นยาเสริมพลังต้นกำเนิดระดับสูงขวดนี้จึงได้แต่ใช้กับทหารทั้งหมด

ซูเฉินสามารถผลิตยาเหล่านี้วันหนึ่งได้หลาย 10 ขวด แต่เพราะพวกทหารไม่สามารถกินเข้าไปได้ทัน จึงได้แต่สายหน้าถอนหายใจ คล้ายกับมีอาหารเลิศรสแต่กินไม่ได้อีก จึงได้แต่ลงอารมณ์ไปกับการฝึกฝนอย่างข่มขืน ค่อย ๆ เพิ่มความสามารถในการกลั่นพลังต้นกำเนิดขึ้นเรื่อยมา

ด้วยแรงสนับสนุนของซูเฉิน พลังของทหารทั้ง 73 คนจึงสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด

เจียงหลิ่วเป็นคนด่านก่อเกิดลมปราณคนแรกที่ทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิต แต่ก็ยังเป็นแค่คนด่านกลั่นโลหิตอยู่ดี มีเขาเป็นตัวอย่างแล้ว ทหารอีก 7 คนจึงสามารถทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตได้สำเร็จในวันที่ 2 ภายในวันที่ 3 ก็มีทหารอีกราว 10 คนสามารถทำได้ น่าแปลกประหลาดที่ไม่มีใครล้มเหลวสักคน

ไม่เพียงแต่วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์จะเพิ่มอัตราในการบ่มเพาะพลังเท่านั้น แต่ยังให้ผลลัพธ์ทวีคูณขึ้นด้วย เหล่าทหารสามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดดีขึ้น พลังที่ได้มาจากการบ่มเพาะนั้นบริสุทธิ์กว่าที่ได้มาจากสายเลือดเสียอีก ทำให้สามารถทะลวงไปสู่ด่านสูงกว่าได้ง่ายขึ้น พลังที่ได้มาหลังจากนั้นก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย

ยาของซูเฉินเพียงแค่ช่วยเร่งกระบวนการเหล่านี้ กระทั่งทหารที่เดิมทีอยู่ในพลังชั้นแรก ก็สามารถพุ่งสู่ชั้นขีดสุดอย่างรวดเร็วภายในเวลา 2 เดือน ทั้งยังทวงสู่ด่านต่อไปได้สำเร็จ

หรือก็คือโดยทฤษฎีแล้ว ทุกคนมีขั้นพลังสูงขึ้นหนึ่งด่านภายในเวลา 2 เดือน

ซึ่งเป็นความเร็วที่น่าเหลือเชื่อมาก

กระทั่งคนด่านทะลวงลมปราณทั้ง 3 ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น

แม้เล่อเฟิงและคนอื่นจะเป็นคนด่านทะลวงลมปราณในขั้นเริ่มแรก ยังอยู่ห่างจากด่านสู่พิสดารนัก ยาของซูเฉินก็ทำให้เรื่องเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องไม่สำคัญ

สำหรับซูเฉินแล้ว สิ่งเดียวที่จำกัดอัตราการทำให้คนทั้งหลายแข็งแกร่งขึ้นได้คือความสามารถในการแปลงพลัง หากทั้ง 73 คนเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณในขั้นต้น จะดันพวกเขาให้ถึงขั้นสุดคงยาก แต่ในเมื่อมีเพียงแค่ 3 คนจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร

อัตราการผลิตของข้าสูงกว่าอัตราการบริโภคของพวกเจ้ามากนัก

ดังนั้น คนด่านทะลวงลมปราณทั้ง 3 จึงไม่ได้รั้งท้าย สามารถขึ้นมาอยู่ในด่านพลังขั้นสุดได้เช่นกัน

สิ่งเดียวที่รั้งเขาไว้คือวิชาทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดนั่นเอง

ทว่าซูเฉินก็มีปัญหานี้เช่นกัน

แม้วิชาจะยังไม่สมบูรณ์ ตัวเขาเองก็ทำได้เพราะมีอารามพลังต้นกำเนิดช่วยหนุน แต่ประสบการณ์ก็ยังทำให้เขาเกิดความคิดขึ้นได้

ในเมื่อไม่อาจหาวิธีทำให้ทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารเองได้ แต่ใช้แรงกดดันจากภายนอกดูท่าจะได้ผล เช่นนั้นก็หาคนอื่นมาช่วยทำให้ทะลวงพลังได้สิ?

แทนที่จะใช้อารามพลังต้นกำเนิดก็เปลี่ยนเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังเสียงแทน !

นั่นคือความคิดที่เขาได้มา

กระบวนการคิดนี้เรียบง่ายมาก หาผู้เชี่ยวชาญพลังแกร่งพอจะสามารถใช้วิธีการเดียวกันเพื่อช่วยให้อีกฝ่ายทะลวงผ่านด่านได้

พลังต้นกำเนิดจำนวนมากที่อารามพลังต้นกำเนิดสามารถปล่อยออกมาหมายความว่ามีเพียงคนด่านผลาญจิตวิญญาณหรือด่านสูงกว่านั้นที่จะสามารถเป็นตัวแทนได้

แต่ซูเฉินก็ไม่คิดว่าเป็นปัญหา ตัวเขาเองก็เป็นด่านสู่พิสดารขั้นสุดแล้ว แม้จะอ่อนแอกว่าด่านผลาญจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่แตกต่างกันมาก พลังจากยานั้นเพียงพอจะกลบความต่างนั้นได้

หากไม่สามารถทำได้ ก็ยังมีคนอื่นที่ช่วยได้เช่นกัน

คนที่ฝึกวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์มีความเข้ากันได้ในระดับหนึ่งกับคนที่ฝึกวิชาเดียวกัน

ซูเฉินเองก็ใช้หลักการเบื้องหลังค่ายกลของอารามพลังต้นกำเนิดเพื่อเชื่อมทุกคนเข้าด้วยกันและเพิ่มความเข้ากันได้ สุดท้าย เล่อเฟิงและอีก 3 คนก็สามารถทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารได้ในที่สุด

หลังจากพาพวกเขาทะลวงข้ามด่านแล้ว ก็นับว่าซูเฉินสร้างวิชาทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดขึ้นมาได้ 2 วิชาแล้ว

วิชาหนึ่งคือต้องมีคนด่านผลาญจิตวิญญาณช่วยเหลือ ส่วนอีกวิชาหนึ่งต้องใช้ค่ายกลอารามพลังต้นกำเนิดที่ทรงพลังยิ่งกว่า

แม้วิธีทั้งสองจะมีข้อจำกัด แต่ก็ใช้เป็นตัวแทนชั่วคราวได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ กำลังของทหารทั้ง 73 นายจึงเพิ่มขึ้นสูงอย่างบ้าคลั่ง

วันที่ 20 ของเดือนที่ 2 ทหารส่วนมากก็ทะลวงผ่านด่านเรียบร้อยแล้ว ยังมีอีกหลายคนที่ก้าวข้ามขั้นหลังจากทะลวงด่าน พวกที่มีพลังอยู่ในขั้นแรกจะดีดขึ้นมาได้แค่ขั้นกลางของด่านต่อไปเท่านั้น พวกที่อยู่ในขั้นสุดจะสามารถทะลวงด่านได้อีกด่านเลยทีเดียว

เจียงหลิ่วเป็นหนึ่งในคนโชดดีที่ทะลวงด่านได้ถึง 2 ครั้ง

เมื่อ 50 วันก่อน เขาเป็นเพียงทหารด่านก่อเกิดลมปราณเท่านั้น แต่ใช้เวลาเพียง 3 วันก็ทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตได้ และเมื่อได้พลังจากยา กำลังก็ยิ่งพุ่งสูง ภายในระยะเวลา 40 วัน เขาจึงสามารถทำในสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถทำได้ นั่นคือสามารถทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณ

แม้การที่พลังพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้จะทำให้พื้นฐานพลังไม่มั่นคงอยู่บ้าง แต่เขาก็สามารถกลับมาอุดรอยรั่วตรงนั้นได้ภายหลัง ในตอนนี้ สำคัญที่สุดคือต้องรีบแกร่งขึ้นโดยเร็ว

“ทำได้ดีมาก”

ซูเฉินหัวเราะแล้วตบไหล่เจียงหลิ่ว มอบดาบเล่มหนึ่งให้ “ให้เจ้า”

“แต่ผู้บัญชาการ ข้ามีอาวุธอยู่แล้ว” เจียงหลิ่วเอ่ยเสียงประหลาดใจ

“อันนี้ไม่เหมือนกันนิดหน่อย” ซูเฉินหัวเราะ “ลองใช้ดู”

เจียงหลิ่วจึงรับมันมาด้วยความสงสัย สัมผัสได้ทันทีว่าเหมือนจะมีความเชื่อมโยงอะไรบางอย่างระหว่างเขากับตัวดาบ

เขาลองตัดมันออกไป 3 ครั้ง ใช้ถนัดมือเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเขาใช้มันมาหลายปีแล้ว ใช้แล้วน่าพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

“หือ ? ดาบนี่…… เหมือนจะมีเจตจำนง…… เชื่อมกับข้าเลย” เจียงหลิ่วร้องขึ้น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดของมันแล้ว

“ดาบที่มีเจตจำนงหรือ ?” ทุกคนเริ่มขำขัน

“นั่นมันเรื่องตลกอะไรกัน ?”

“ใช่แล้ว อาวุธที่ไหนจะมี ?”

เจียงหลิ่วเริ่มไม่พอใจ “จริงนะ ! ข้าสัมผัสได้ว่ามันมีความรู้สึกนึกคิด เหมือนว่ามันอยากจะ…… อยากจะ…… บินงั้นหรือ ?!”

เจียงหลิ่วร้องตะโกน

เสียงหัวเราะเริ่มดังลั่นขึ้น

ซูเฉินว่า “ในเมื่อมันอยากบิน ก็ปล่อยให้มันบินเสียสิ !”

เจียงหลิ่วปล่อยมือ ดาบในมือพุ่งออกไปจริง ๆ หมุนวนอยู่กลางอากาศ 2-3 ครั้ง ก่อนจะปล่อยริ้วแสงพลังดาบออกมา

“นี่… เกิดอะไรขึ้นกัน ?!!”

ทุกคนที่มองอยู่ต่างตะลึงไป

เจียงหลิ่วร้องด้วยความตื่นเต้น “มันกำลังบิน ! มันกำลังบินอยู่ ! ข้าสัมผัสได้ว่าจิตใจมันรับฟังคำสั่งข้า พวกเจ้าดู ! บินไปตรงนั้น !”

เจียงหลิ่วชี้ไปบนท้องฟ้า ดาบร่อนไปตรงจุดที่เขาชี้พอดี จากนั้นก็ปล่อยริ้วแสงออกจากปลายดาบ ตัดเข้ากับศิลาก้อนใหญ่จนแตกกระจาย

คนทั้งหลายจึงเริ่มถกเถียงกันอย่างมีชีวิตชีวา

ซูเฉินเอ่ย “อยากให้น่าตื่นเต้นกว่านี้หรือไม่ ?”

เจียงหลิ่วชะงัก “ยังมีอะไรอีกหรือ ?”

“เจ้าสัมผัสไม่ได้หรือ ?” ซูเฉินใช้คางชี้ไปยังดาบ

เจียงหลิ่วชะงักไป เขาสัมผัสถึงความคิดที่เหมือนจะมาจากตัวดาบได้ ทำเอาเขาตื่นตะลึงไป หน้าตาน่าขันไม่น้อย

เขาส่ายหน้าไปมา “เป็นไปไม่ได้หรอก”

“หากไม่ลองแล้วจะรู้หรือ ?” ซูเฉินว่า

“อะไรหรือ ?”

“มีอะไรกัน ?”

ทุกคนอดถามขึ้นไม่ได้

เจียงหลิ่วจองดาบแล้วบ่นพึมพำกับตนเอง “บิน…… มันอยากให้ข้าใช้ดาบบิน”

ฟ้าว !

ดาบเลี้ยวกลับมาแล้วพุ่งลงสู่พื้น

มันเคลื่อนที่ผ่านช่องว่างในฝูงชนอย่างช่ำชองและเคลื่อนมาใต้เท้าเจียงหลิ่ว

พริบตาเดียว มันก็พุ่งออกมา พาร่างเจียงหลิ่วที่ร้องลั่นขึ้นสู่ฟ้า

เขายืนอยู่บนดาบ ซวนเซไปมาพลางร้องลั่น “สวรรค์โปรด ! ข้าบินอยู่จริง ๆ! ข้ากำลังขี่ดาบบิน !”

ซูเฉินจับหูตน “เงียบเสียงลงหน่อย บอกไปแล้วว่าด้านล่างเขามีคนเถื่อนคอยจับตามองอยู่”

ทุกคนอึ้งมึนงงไป

ดาบบินไปรอบภูเขาพร้อมกับเจียงหลิ่วที่ยืนอยู่ด้านบน ตอนแรกร่างเขาก็ไหวไปมา แต่ไม่นานก็ปรับตัวได้ อย่างไรตอนนี้เขาก็อยู่ด่านทะลวงลมปราณแล้ว แม้จะไม่อาจปรับตัวเข้ากับลมหนาวได้ง่ายนัก แต่การยืนทรงตัวบนดาบก็ไม่เป็นปัญหา

เมื่อผ่านพ้นความกลัวในตอนแรกไปได้ เจียงหลิ่วก็เริ่มจิตใจมั่นคง จากที่กลัวกลายเป็นตื่นเต้น

“สุดยอด !”

“นี่มันจะเสพติดเกินไปแล้ว !”

เจียงหลิ่วหัวเราะลั่น คนข้างล่างได้แต่มองสายตาอิจฉา

หากแต่หลังจากนั้นไม่นาน ความเร็วของดาบก็เริ่มลดลง เห็นได้ชัดว่าพลังงานมันหมด

เจียงหลิ่วสามารถสัมผัสปัญหานี้ได้ เขาจึงร้องออกมาเสียงดัง “ผู้บัญชาการ ดาบมันไม่มีพลังต้นกำเนิดเพียงพอจะบินได้แล้วขอรับ”

ซูเฉินเอ่ยเสียงคร้าน “จะพึ่งดาบให้พาเจ้าบินอย่างเดียวไม่ได้ เพราะพลังมันอาจจะหมด แต่เจ้ายังมีพลังเหลือเฟือไม่ใช่หรือ ?”

เจียงหลิ่วเข้าใจ พลังต้นกำเนิดไหลเวียนลงไปที่เท้า ไหลเข้าตัวดาบ ให้ความเร็วเร่งในพลัน ไม่เพียงเท่านั้น แต่เมื่อดาบยอมรับพลังต้นกำเนิดจากเขาได้แล้ว ก็รับเจตจำนงมาด้วย มันเริงระบำไปในอากาศเรากลับเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายเขา

เจียงหลิ่วเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น “มันใช้อย่างนี้นี่เอง ต้องคอยเติมพลังให้มันด้วย”

ซูเฉินตอบ “มันควรจะต้องเป็นอย่างนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เราคิดว่ามันเป็นเรือเหาะหรือ ? นี่คืออาวุธวิญญาณ เป็นอาวุธที่มีจิตนึกคิด ใช้เสริมกำลังในการต่อสู้ได้ตามใจสั่ง ใช้มันบินเป็นประโยชน์อย่างหนึ่งเท่านั้น ที่แท้จริงคือการใช้โจมตีระยะไกลต่างหาก เช่นอย่างนี้”

ซูเฉินวาดมือ อาวุธวิญญาณบินเข้ามา ปล่อยพลังดาบดุดันอยู่ไกล ๆ ป่าส่วนหนึ่งถูกฟันจนราบ เมื่อเทียบกับที่ต่อสู้กันก่อนหน้านี้ วิธีนี้นับว่าล้ำหน้ากว่ามาก

อาวุธวิญญาณชิ้นหนึ่งช่วยเสริมความสามารถในการต่อสู้ให้ได้มาก ใครได้เห็นเป็นต้องอิจฉาตาเขียว

แต่เพราะทั้งหมดล้วนเป็นทหาร ไม่ว่าจะอยากได้เพียงไหนก็ไม่กล้าปริปากบอก

ซูเฉินเหลือบมอง “อะไร ? ไม่ชอบหรือ ?”

ทุกคนพูดพร้อมกัน “ชอบขอรับ !”

ซูเฉินถาม “แล้วทำไมไม่ขอเล่า ?”

ทุกคนชะงักไป “ได้หรือขอรับ ?”

ซูเฉินตอบ “ได้สิ ทุกคนจะได้คนละเล่ม”

ทุกคนตื่นตะลึง

ตึง !

เสียงของหนักบางอย่างร่วงกระแทกกับพื้น

เจียงหลิ่วคุมพลังต้นกำเนิดไม่อยู่ สุดท้ายร่วงหัวคะมำลงกับพื้น